The Jam Factory Gallery ย่านคลองสาน กำลังเป็นสเปซที่มีคนพูดถึง และมีงานอาร์ตงานอีเวนท์ที่น่าสนใจไปจัดนับครั้งไม่ถ้วนตลอดในช่วงครึ่งปีหลังที่ผ่านมานี้ และหนึ่งในกำลังสำคัญที่อยู่เบื้องหลังก็คือหญิงสาวมากฝีมือนามว่า ผ้าป่าน (สิริมา ไชยปรีชาวิทย์) ที่ตอนนี้เธอและทีมงานก็มีผลงานนิตยสาร Free Magazine อุดมไปด้วยภาพถ่ายภาพประกอบสวยและคอนเทนต์น่าสนใจชนิดที่นานปีมีหนในบ้านเราเกิดขึ้น “The Jam Factory Magazine” นอกจากนั้น เธอยังเป็นช่างภาพแนว Street Photography รุ่นใหม่ของเมืองไทยที่กำลังมีผลงานน่าจับตามองและเคยจัดแสดงนิทรรศการภาพถ่ายหลายครั้งอีกด้วย โอย… คนเดียว เก่งหลายอย่างขนาดนี้ สำหรับวันนี้เราจะมาพูดคุยกับเธอถึงผลงานที่ผ่านมา แรงบันดาลใจ และอุปกรณ์การทำงานกัน กับกล้อง Mirrorless รุ่นที่กำลังเป็น Talk of the Town ในตลาดตอนนี้ Olympus OM-D E-M5 II เรานัดเจอกันที่ร้านกาแฟไลบรารี่ ใน The Jam Factory แล้วบทสนทนาก็เริ่มขึ้น
ตอนนี้ทำอะไรอยู่บ้าง?
เป็น Gallery Director ให้กับ The Jam Factory Gallery และเป็น Managing Editor นิตยสารแจกฟรี “The Jam Factoty Magazine” ค่ะ งานหลักๆของเราก็ประมาณนี้ แล้วเราก็ทำเรื่องภาพถ่ายซึ่งเป็นงานส่วนตัวของเราเองควบคู่ไปด้วย
ปกติเป็นคนจับกล้องบ่อยไหม?
เราเป็นคนที่พกกล้องออกจากบ้านแทบทุกวันนะ เพราะถ้าวันไหนเราไม่พกกล้องเราก็จะไม่มีรูป เราถึงชอบกล้องที่มีขนาดพอดีๆ พกพาสะดวก แต่มันก็จะมีแหละวันที่ไม่ได้พกกล้องออกไปแล้วดันเดินไปเจอภาพที่อยากถ่าย ก็เสียดายนะแต่เราคิดว่าอย่างน้อยก็ได้เห็นผ่านตาแล้ว เราได้เก็บภาพนั้นไว้ในหัวแล้ว
ทำไมถึงสนใจศาสตร์การถ่ายภาพ?
จริงๆเราสนใจ ศึกษา และชอบดูงานหลายแบบหลายประเภทมาก อย่างนอกจากถ่ายภาพ เราก็ชอบดูงานภาพเขียนด้วย แต่ภาพถ่ายมันใกล้กับเรามากที่สุด มันทำงานกับข้างในของเรา คือเราก็ไม่รู้ว่าคนอื่นเค้าเริ่มกันยังไง แต่ของเรา เราเริ่มสนใจและศึกษาภาพถ่ายจากการ ดู ความชอบมันมากขึ้นเรื่อยๆเมื่อได้เห็นงานของคนเก่งๆ มันดีจังเลย สนุกจังเลย พอถึงวันนึง เราดูไปเยอะๆ ยิ่งดูก็ยิ่งรู้สึกว่ามันอยู่ในตัวเรา พอถึงเวลาก็เลยอยากลองที่จะเอาออกมาบ้าง
ผลงานชื่อดังของ HCB: Valencia, Spain, 1933. Henri Cartier–Bresson (French, 1908–2004)
มีช่างภาพคนไหนที่ชอบเป็นพิเศษ?
Henri Cartier-Bresson เค้าเป็นช่างภาพชาวฝรั่งเศสยุคประมาณ 50’s ครั้งแรกที่เราดูงานเค้าแล้วเราแบบอึ้งไปเลย มันเป็นอย่างนั้นจริงๆ (หยิบหนังสือ Henri Cartier-Bresson: Europeans มาเปิด) เป็นภาพ Street Photograph ที่สวยมาก คือมีทั้งความสวยงามที่ลงตัวและความสนุกที่เล่นกับเสี้ยววิของช่วงเวลา ภาพถ่ายสไตล์เค้าทำให้เกิดคำว่า Decisive Moment การถ่ายภาพที่สามารถจับจังหวะช่วงเวลาเดียวที่มันสมบูรณ์แบบที่สุด และด้วยความที่เค้าเป็นจิตกรภาพเขียนมาก่อน ความคิดและมุมมองในภาพถ่ายของเค้าเลยเหมือนศิลปินภาพเขียน ทั้งในเรื่องทิศทางแสงและการวางองค์ประกอบที่ลงตัว ต่อให้เวลาผ่านไปกี่ปี ย้อนกลับมาดูก็ยังรู้สึกอยู่ว่ามันเจ๋งมากๆได้ การถ่ายภาพของเราได้รับอิทธิพลจาก HCB และช่างภาพยุคนี้มาเยอะเหมือนกัน เพราะเราเชื่อว่าเราจะโตขึ้นได้จากการศึกษางานของต้นแบบที่เราชอบ รวมไปถึงการออกไปปฏิบัติจริง
Exhibition “NO[W]HERE MAN” ที่ผ่านมาเป็นอย่างไร?
เป็นนิทรรศการภาพถ่ายขาวดำที่จัดตอนปลายปี 2013 ค่ะ ตอนนั้นเป็นความบ้าบิ่นประมาณหนึ่ง คือเราเพิ่งกลับมาจากนิวยอร์ก ตอนแรกไม่ได้ตั้งใจว่าจะจัดเป็นนิทรรศการนะ แค่ตั้งใจว่าอยากจะเอาภาพถ่ายของเรามาทำเป็นโปสการ์ดขาย เพื่อเอาเงินไปช่วย 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ เราเอาภาพชุดนี้ไปปรึกษากับพี่ติ้ว (วศินบุรี สุพานิชวรภาชน์) เค้าเห็นบางอย่างในงานเราของ ก็เลยแนะนำให้เราทำเป็นนิทรรศการภาพถ่ายไปเลย ก็มานั่งคิดกับตัวเองว่า มันก็เป็นโอกาสที่ดีที่เราจะได้ลองทำอะไรแบบนี้ ก็เลยเริ่มทำ เราทำเองหมดเลย ตั้งแต่กระบวนการทำภาพทั้งหมด ซึ่งก็โชคดีที่ได้อาจารย์นิติกร กรัยวิเชียร ปริ้นท์ภาพถ่ายให้ เราเดินเข้าไปหาผู้จัดทำทุนด้วยตัวเอง เขียนจดหมาย ทำเอกสารขอเข้าพบ ติดต่อกับทางแกลอรี่ที่จัด กำหนดวันเวลา กำหนดการวันเปิดทั้งหมด ยัน Catering ในงานก็ทำเองด้วย แต่ยังดีว่าตามทางระหว่างที่จัดทำนิทรรศการนี้ เราก็มีพี่ๆผู้ใหญ่ที่คอยให้ความช่วยเหลือ ช่วงนั้นก็เลยได้เก็บเกี่ยวประสพการณ์อีกแบบ ก็สนุกดีค่ะ
งานนั้นสร้างความเปลี่ยนแปลงอะไรให้เรา?
ในแง่ตัวนิทรรศการที่แสดงมันไม่ได้สร้างการเปลี่ยนแปลงให้ภายในตัวเรามากนัก สำหรับเรามันเหมือนเปลี่ยนแปลงไปตั้งแต่ตอนเราทำงาน ตอนเราถ่ายรูปแล้ว เหมือนว่าเสร็จกระบวนการนึงไปตั้งแต่ตอนที่สร้างงานนะ ถ้าการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นในความหมายของการจัดแสดงนิทรรศการ น่าจะเปลี่ยนในแง่ของภาพลักษณ์เราที่แสดงออกและปรากฏต่อคนอื่นมากกว่า เหมือนกับหลังมีงานนิทรรศการ ภาพลักษณ์ในด้านการถ่ายภาพของเรามันก็ชัดเจนยิ่งขึ้น บางคนก็หันมาเห็นเราในมุมนี้มากขึ้น คนนี้เค้าทำแบบนี้ด้วยเหรอ? เค้าถ่ายภาพด้วยเหรอ? เค้าถ่ายภาพแบบนี้เหรอ? จากสตรอเบอร์รี่ชีสเค้กสีหวานแหว มันก็กลายเป็นแบบ ภาพถ่ายขาวดำ มันเป็นคาแรคเตอร์ที่ค่อนข้างต่างกัน มันก็มีอะไรใหม่ๆเกิดขึ้น
อะไรเกี่ยวกับงานภาพถ่ายที่เราชื่นชอบ?
ประมาณว่าหลงรักมัน อะไรแบบนั้นเหรอคะ? (หัวเราะ) อืม เราหลงรักงานศิลปะ ไม่ใช่แค่ภาพถ่ายอย่างเดียว เรารู้สึกว่าเวลาคนสร้างงานศิลปะ เค้ามีความคิดแบบนึงที่สร้างงานแบบนี้ออกมา พองานออกมาตัวงานมันก็เป็นก้อนความคิดความคิดนึงของเค้า เป็นก้อนความคิดที่สวยงามโดยปัจเจกส่วนตัวของเค้า เวลาคนที่มาดูงานนั้นบวกกับประสบการณ์ส่วนตัวของคนดูเอง มันก็สามารถเกิดเป็นสิ่งใหม่ขึ้นมา เกิดเป็นความรู้ เกิดเป็นความเข้าใจแล้วก็ได้แง่คิดบางอย่าง ที่อาจจะนำไปใช้ต่อได้กับตัวเอง เรารุ้สึกว่าอันนั้นล่ะ มันคือเสน่ห์ของงานศิลปะ มันคือการที่เราได้มองเห็นความคิดความรู้สึกของคนอื่น มันมีคุณค่าในแบบนั้น และเมื่อมาผสมกับส่วนอีกส่วนนึงของตัวเราเอง มันก็ยิ่งมีคุณค่ามาขึ้น
อุปกรณ์กล้องถ่ายรูปมีความสำคัญมากน้อยกับช่างภาพแค่ไหน?
มีคนเคยถามเราบ่อยเหมือนกัน โดยเฉพาะน้องๆผู้หญิงจะมีบ่อยมาก “พี่ใช้กล้องอะไรคะ?” “พี่มีวิธีเลือกกล้องยังไง?” เราตอบเหมือนกันทุกครั้งเลยคือ พยายามเลือกกล้องที่มันจะเป็นกล้องของเรา คือส่วนตัวด้วยความที่เราเป็นผู้หญิงด้วย เราพูดได้เลยนะว่าเราเลือกจากดีไซน์หน้าตาของมันก่อนประมาณหนึ่ง เพราะเรารู้สึกว่ากล้องมันเป็นสิ่งของที่ต้องอยู่กับเราตลอด เป็นเหมือนอวัยวะนึงเลยที่จะเพิ่มเข้ามา เพราะฉะนั้นคือถ้าเกิดเรามองแล้วเราไม่หลงรักมันอะ เราก็จะไม่อยากอยู่กับมัน พอไม่อยากอยู่กับมันเราก็จะไม่ได้อยู่กับมัน พอไม่ได้อยู่กับมันเราก็ไม่มีภาพ มีกล้องแต่ไม่มีภาพ ก็จบอยู่ดี แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นไม่ได้ให้คิดแค่ว่าภาพลักษณ์สวยหรือดีไซน์สวยนะ เราควรจะศึกษาด้วยว่ากล้องมีฟังก์ชั่นอะไรบ้างที่มันตอบสนองการถ่ายรูปในแบบของเรา คุณชอบถ่ายรูปแบบไหน คุณถ่ายรูปแนว Street คุณถ่ายรูปแนว Portrait คุณถ่ายรูปแนว Journalist ถึงจะเป็นการถ่ายภาพเหมือนกันแต่ในแต่ละแนวทางก็จะมีศาสตร์ที่แตกต่างกันออกไป พอศาสตร์มันแตกต่างกันฟังค์ชั่นการใช้งานมันควรโดดเด่นแตกต่างออกไปด้วย เช่นถ้าเราถ่ายภาพ Street สิ่งที่เราต้องการอย่างแรกคือโฟกัสต้องเร็ว ขนาดที่พกพาสะดวกไม่เป็นเป้าสายตา ก็ต้องหากล้องที่มันรองรับตรงนี้เป็นเรื่องต้นๆ ซึ่งถ้าเรื่องดีไซน์ที่สวยงาม กับ Olympus นี่คงไม่ต้องพูดถึงเรื่องนั้นแล้วล่ะ เราก็เลยจะชอบกล้องอารมณ์ประมาณนี้เป็นพิเศษ
ความน่าสนใจของ Olympus OM-D E-M5 II?
มันมีหลายอย่างมาก อย่างแรกที่บอกไปคือเรื่องของดีไซน์ เราชอบดีไซน์ของ Olympus โดยเฉพาะซีรี่ส์ OM-D ที่เค้าทำออกมาได้ดูคลาสสิคดี แล้วก็ที่เด่นเลยคือเรื่องของไฟล์ค่ะ ถ้านับว่าตัวนี้เป็น Mirrorless ถือว่าเป็นกล้องที่ให้ไฟล์คุณภาพดีมาก สามารถเอาไปทำงานต่อ ไปปริ้นท์ไซส์ได้ที่ต้องการได้สบายเลย ยอมรับว่าตอนแรกที่เริ่มถ่ายรูปเรื่องไฟล์พวกนี้เราก็ไม่ค่อยสนใจเท่าไร แต่พอมาเริ่มขยับมาทำจริงจังมากขึ้น รู้เลยว่าคุณภาพของไฟล์มันเป็นเรื่องสำคัญมาก ทั้งการ Process และการอัดปรินท์ มันรองรับการทำงานในสเกลของ Professional มากขึ้น
มีฟังก์ชั่นไหนที่ชอบเป็นพิเศษ?
หลักๆเป็นเรื่องการกันสั่นเลยนะ เราชอบถ่ายภาพ Street Photography เราไปจัดวางเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นบนท้องถนนไม่ได้ เวลาเราถ่ายภาพที่คนเดินอยู่หรือมีวัตถุเคลื่อนไหวเราทำอะไรเขาไม่ได้ แต่เราดูที่ตัวเราได้ว่าเราสั่นหรือเปล่า แล้วระบบช่วยให้กล้องนิ่งขึ้นของตัวนี้ก็ช่วยได้เยอะมากเลย ปกติเราถ่ายได้มากสุดก็ 1/60 นี้คือต้องนิ่งแบบหยุดหายใจ พอได้ลองถ่ายกับตัวนี้ก็ช่วยให้เราลดชัตเตอร์สปีดลงไปต่ำได้มากกว่าแต่ก่อน รวมไปถึงถ่ายในสภาพแสงน้อยได้ดีขึ้นด้วย ก่อนหน้านี้เราไม่เคยถ่ายกลางคืน ก็มีพี่คนนึงเค้าก็ตั้งคำถามว่า แล้วกลางคืนไม่มีอะไรน่าสนใจเหรอ? คือถ้าเกิดเราตัดไปเลย สิ่งที่จะพลาดไปมันคืออีกครึ่งวันเลยนะ พอครั้งนี้เราไปเนปาล ก็ค้นพบเลยว่าที่นั่นเวลากลางคืนสวยมาก มันไม่มีไฟตามท้องถนนเลย แหล่งไฟจะมาจากหน้าต่างของบ้านแต่ละหลังบนถนน แล้วพอบ้านเริ่มปิดไฟถนนก็จะมืดๆ เวลามีรถผ่านมาคันนึง แสงไฟจากรถก็จะมาจากด้านหลัง มีคนเดินเห็นเป็น Sillouette มีฝุ่นฟุ้งๆ จะเป็นเหมือนเซตติ้งแบบในหนังเลยอะ พออย่างนี้แล้ว นอกจากชัตเตอร์สปีดและรูรับแสง เรื่องของ คุณภาพ การถ่ายกลางคืนที่ไฟล์มันต้องดีด้วย กล้องส่วนใหญ่พอใช้ ISO เยอะ ไฟล์มันไม่ดีก็เอามาใช้งานไม่ได้อยู่ดี OM-D E-M5 II ตัวนี้ก็ช่วยให้ทำอะไรได้ง่ายขึ้น
โดยรวมคิดว่า Olympus OM-D E-M5 II ตัวนี้ตอบโจทย์ไหม?
ตอบโจทย์ประมาณหนึ่งเลยนะ ทั้งตัวบอดี้ที่กันน้ำ กันฝุ่น และกันกระแทกได้ ขนาดที่ไม่เทอะทะ มันทำให้เราพกไปไหนเวลาไปเที่ยวที่ที่เดินทางลำบากได้ หรือลูกเล่นที่มีประโยชน์สำหรับเราที่กล้อง Olympus มีก็คือโหมด Art Filter ที่มีให้เลือกเล่นมากมาย เราเป็นคนที่ถ่ายภาพขาวดำก็จริง แต่ปกติเวลาเราถ่ายเป็นไฟล์ RAW เพื่อจะได้คุณภาพไฟล์ที่ดีที่สุดมาใช้ เราก็ได้ตัว Art Filter เนื่ยแหละ ที่ช่วยปรับแล้วใช้ดูเป็น Quick Look เวลาถ่ายเสร็จได้แบบคร่าวๆ จากนั้นถ้าจะใช้งานจริงๆค่อยกลับไปทำรูปกันอีกทีในคอม อันนี้รวมถึงฟังก์ชั่น WiFi มันช่วยเราในแง่เวลาถ่ายแล้ว อยากลอง Process ผ่านมือถือหรือส่งขึ้น Social Media ก็ได้ด้วย ทุกวันนี้มนุษย์เราต้องการการอัพเดทที่รวดเร็วแล้วก็ความเป็น Social Media ระบบ Wi-Fi กล้องตัวนี้ก็ถือว่าตอบโจทย์ผู้ใช้ได้ดีนะ
ทริปเนปาลเป็นอย่างไรบ้าง?
เพิ่งกลับมาเลยค่ะ ไปมาทั้งหมด 20-23 วันได้ รวมวันที่ติดอยู่สนามบินกลับบ้านไม่ได้ด้วยนะ (หัวเราะ) หลักๆ ครั้งนี้เราได้ไปหลายเมืองเลย กาฐมาณฑุ / ปาตัน / ปักตะปูร์ / นาการ์ก๊อต / โภขะรา แล้วก็ขึ้นพูนฮิล ก็ไปอยู่แบบเมืองละ 5 – 6 วัน บางเมืองอาทิตย์กว่า คืออยู่แบบเดินให้รู้เลย อย่างมาเนปาล หลายคนมักจะเลือกไปตามสถานที่สำคัญของเมืองนั้นๆ แต่เราเป็นพวกออกเดินเท้าไปตามถนน เดินๆไปเรื่อย เพื่อมองข้างทางจริงๆ สำหรับเราการได้ไปดูแลนด์มาร์คของเมืองก็น่าตื่นเต้นนะ เพราะเราได้เห็นอดีตพวกเค้าผ่านสถาปัตยกรรมที่ส่งต่อกันมา แต่เราก็อาจจะไม่ค่อยได้รับรู้ถึง ปัจจุบัน เท่าไร อย่างเรามีโอกาสได้ไปอยู่ที่นั่นหลายวันหน่อย เราก็เลือกที่จะเดินและคุยกับผู้คนตามถนนหนทางจริงๆ ได้เห็นบ้านเรือนที่เค้าอาศัยในปัจจุบัน เราก็ได้รับรู้ถึงการเป็นไปของพวกเขาที่เป็นปัจจุบันมากขึ้น จากที่เราเดินมา สิ่งที่เราทึ่งมากคือการแกะสลัก บ้านเรือนแต่ละหลังคือหน้าต่างไม่มีหน้าต่างธรรมดาเลยนะ จะเป็นแกะสลักไม้หมดเลย รู้สึกว่าสมัยก่อนเหมือนกับเค้าเป็นช่างฝีมือกันหมด อาชีพประมาณ 90% ทุกคนเป็นช่างฝีมือ Craft มาก ผู้คนที่นี่ใจดี น่ารัก เหมือนเค้ารู้ตัวเองด้วยว่าเค้าเป็นเมืองท่องเที่ยว เค้าจึงเปิดรับผู้คน เปิดรับความหลากหลาย ความแตกต่าง แล้วก็พร้อมจะยิ้มเป็นมิตรให้ทุกคน
จะมีผลงานในอนาคตเร็วๆนี้ไหม?
ก็จะมีนิทรรศการกลุ่ม ลองล่องยะลา : ฮาลาบาลา ในช่วงเดือนเมษายนนี้ค่ะ กลางปีก็จะมีร่วมจัดแสดงผลงานภาพถ่ายกับทางกลุ่ม Street Photography ส่วนงานภาพถ่ายจากเนปาล คงจะได้อัพเดทกันต่อไปค่ะ ยังไงก็ฝากติดตามด้วยนะคะ
ข้อมูลเบื้องต้นของ Olympus OM-D E-M5 II
- เซนเซอร์ Live MOS ขนาด Four Third ความละเอียด 16 ล้านพิกเซล
- ชิพประมวลผล TruePic VII
- ระบบกันสั่น 5 แกน 5-Axis VCM ลดการสั่นไหวได้ถึง 5 สตอป
- ระบบ Autofocus แบบ Contrast Detect 81 จุด
- ความเร็วชัตเตอร์สูงสุด 1/8000 วินาที
- ความเร็วชัตเตอร์อิเล็กทรอนิกส์ 1/16000 วินาที
- ถ่ายภาพต่อเนื่องเร็วขึ้นเป็น 10 ภาพต่อวินาที AF-S และ 5 ภาพต่อวินาที AF-C
- จอแสดงผล Touchscreen แบบ Vari-angle ความละเอียด 1,040,000 พิกเซล
- ช่องมองภาพความละเอียด 2,360,000 พิกเซล อัตราขยาย 1.48x
- ถ่ายวิดีโอ Full HD 1080/60p บิตเรตสูง 52Mbps(IPB) และ 77Mbps(ALL-I)
- วิดีโอสามารถตั้งค่า Time Code ได้
- บอดี้ทำจากแมกนีเซียมอัลลอยด์
- บอดี้มี Weather Seal ป้องกันละอองน้ำ, ฝุ่น, ทนอุณหภูมิได้ -10 องศาเซลเซียส
- ฟีเจอร์ถ่ายภาพความละเอียด 40 ล้านพิกเซลจากการรวมภาพ 8 ภาพเข้าด้วยกัน(JPEG)
- ถ่ายภาพความละเอียดสูงสุด 64 ล้านพิกเซลสำหรับไฟล์ RAW
- ฟีเจอร์ใหม่ Live View Boost II สว่างกว่าของเดิมใน E-M5 ถึง 5EV
- มีฟีเจอร์ Keystone, Live Composite และ Olympus Capture แบบเดียวกับ E-M1
- มี Focus Peaking(เลือกได้ 4 สี ดำ, ขาว, แดง, เหลือง)
- ฟังก์ชั่น Clip ให้ผู้ใช้อัดคลิปสั้นๆหลายๆคลิปได้(1, 2, 4, 8 วินาที)
- มาพร้อมแฟลช FL-LM3(GN 9) หัวแฟลชหมุนและก้มเงยได้
- มี Wi-Fi ในตัว
กล้อง Olympus OM-D E-M5 II จะเริ่มวางขายแล้ววันนี้ในราคา
- E-M5 II ตัวกล้องอย่างเดียว ราคา 37,990 บาท
- E-M5 II มาพร้อมเลนส์ 12-50mm EZ ราคา 44,990 บาท
- E-M5 II มาพร้อมเลนส์ 14-150mm II ราคา 54,990 บาท
- E-M5 II มาพร้อมเลนส์ 12-40mm F2.8 ราคา 64,990 บาท
Olympus
Website: http://www.olympus.co.th/th/
Facebook: https://www.facebook.com/penclubthailand?ref=hl
RECOMMENDED CONTENT
เรียกกระแสฮือฮาน้ำตาแตกกันสนั่นโลกโซเชียล สำหรับวงดนตรีอินดี้ป็อป 2 รุ่นอย่าง “Landokmai” (ลานดอกไม้) และ “Whal & Dolph” (วาฬ แอนด์ ดอล์ฟ) สังกัดค่ายเพลง What The Duck (วอท เดอะ ดัก) ที่แฟนเพลงต่างเรียกร้อง