ถ้าจะให้นึกถึงรายการประกวดการร้องเพลงที่โด่งดังและเป็นที่พูดถึงมากที่สุดตอนนี้ เห็นทีคงจะเป็นรายการอื่นไปไม่ได้นอกจาก “The Voice” ที่คนทั่วโลกติดกันงอมแงม (หรือถ้าใครไม่เคยดูก็ต้องเคยได้ยินมาบ้างแหละหน่า นอกจากว่าคุณจะมาจากดาวอังคาร…) ซึ่งได้สร้างปรากฏการณ์ “ทอล์กทออฟเดอะทาวน์” ทั้งในโลกออนไลน์และออฟไลน์มาแล้วทุกซีซั่นการแข่งขัน ท่ามกลางรายการประเภทประกวดร้องเพลงที่ผุดขึ้นมาเป็นดอกเห็ดในยุคนี้ รายการชื่อสั้นๆง่ายๆอย่าง “The Voice” ที่มีต้นฉบับมาจากประเทศฮอลแลนด์ กลับกวาดเรตติ้งและมัดใจคนดูจากทั่วโลกแซงหน้ารายการร้องเพลงอื่นๆอย่างไม่เห็นฝุ่น เพราะอะไรนะเหรอ? ถ้าใครที่เป็นแฟนเหนียวแน่นของรายการนี้ ก็จะทราบกันดีว่ารูปแบบการแข่งขันของรายการ The Voice มีความแตกต่างไปจากรายการประกวดอื่นๆโดยสิ้นเชิง อย่างแรกเลยก็คือ รายการนี้เป็นการประกวดค้นหานักร้องที่มีพรสวรรค์ด้าน “เสียง” เป็นที่ตั้ง หน้าตาจะดีจะแย่ยังไงไม่ใช่เรื่องสำคัญ ซึ่งผู้เข้าแข่งขันทุกคนจากทางบ้านจะมีเสียงร้องที่จัดได้ว่าดีหมดทุกคน ไม่เหมือนกับรายการ The X Factor หรือ American Idol ที่ชอบมีผู้เข้าแข่งขันหลายต่อหลายคน ที่ตอนดูรอบออดิชั่นแล้วอยากจะถามพวกเขาเหลือเกินว่า “เฮ้ย ไม่เคยมีใครบอกคุณเลยจริงๆเหรอ ว่าคุณร้องเพลงไม่ได้?!” หรือมีความคิดที่ว่า “รายการนี้มันไปขุดคนพวกนี้มาจากไหนวะเนี่ย” จนบางทีดูแล้วรู้สึกอึดอัดและสงสารคนเหล่านี้ ที่เหมือนมาเป็นตัวตลกของรายการ อย่างที่สอง ส่วนผสมของกรรมการ หรือ “โค้ช” ทั้งสี่คนของ The Voice มีความลงตัว พวกเขาจะมีคาแรคเตอร์ที่แตกต่างกัน และมีกลุ่มเป้าหมายไม่เหมือนกัน อย่างทางฝั่งอเมริกา กับ Adam Levine นักร้องนำวง Maroon 5 ตัวแทนของนักร้อง อินดี้-อัลเทอร์เนทีฟ, ป๊อป-ร็อค รุ่นใหม่ ที่มักกวาดผู้เข้าแข่งขันสไตล์นี้เข้าทีมตัวเองแทบทุกราย Christina Aguilera (จากซีซั่นก่อนๆ) ตัวแทนของนักร้องเสียงคุณภาพ จับกลุ่มเป้าหมายนักร้องเสียงทรงพลังทั้งหลาย Usher/Pharrell Williams เรื่องเสียงอาจจะไม่ใช่เรื่องเด่นเท่าไหร่ แต่พวกเขาจะเด่นในเรื่องของเสน่ห์ด้านภาพลักษณ์ การแสดงบนเวที และตรงกลุ่มเป้าหมายของพวกนักร้อง R & B ปิดท้ายด้วย Blake Shelton ที่เป็นตัวแทนของนักร้องคันทรี่รุ่นใหม่ และสุดท้าย อย่างที่สามกับรอบ Blind Auditions หัวใจสำคัญที่ทำให้รายการนี้ประสบความสำเร็จ เสน่ห์อันร้ายกาจของรอบแรกนี้ก็คือการที่ผู้เข้าแข่งขันร้องเพลงบนเวที โดยที่โค้ชทั้งสี่คนนั่งหันหลังให้ พวกเขาจะได้ฟังแต่เสียงร้องโดยไม่เห็นว่าผู้เข้าแข่งขันหน้าตาเป็นอย่างไร จนกว่าพวกเขาจะถูกใจกับเสียงร้องมากจริงๆ ถึงกดปุ่มหันเก้าอี้กลับมา รอบนี้เรียกได้ว่าทำเอาคนดูลุ้นจนตัวโก่งและเอาใจช่วยผู้เข้าแข่งขันไปพร้อมๆกัน ว่าจะมีโค้ชคนไหนหันเก้าอี้กลับมาไหม
วันนี้เราเลยทำการรวบรวม 12 เสียงร้องของ The Voice ที่ดีที่สุดและโดนใจที่สุดของผู้ชมหลายๆประเทศ จากรอบ Blind Auditions มาให้ชมกัน ถ้าตกหล่นคนโปรดของคุณไปบ้างก็ต้องขอโทษด้วย เพราะมีผู้เข้าแข่งขันเสียงพิเศษให้เลือกมากมายเหลือเกิน แต่เชื่อเถอะว่าพวกเขาและเธอเหล่านี้ที่เราได้คัดมาคือระดับเทพทั้งนั้น เพื่อไม่ให้เป็นการเสียเวลาเชิญฟังเสียงร้องของพวกเขากันทางด้านล่างกันเลย!
[vsw id=”GXP0xcf4jPg” source=”youtube” width=”650″ height=”430″ autoplay=”no”]
Nadeem Leigh, medley “I Still Haven’t Found What I’m Looking For” และ “The Blower’s Daughter” / The Voice UK
จำได้ว่าตอนฟังเพลงเมดเลย์ของ Nadeem Leigh คนนี้ครั้งแรก เสียงร้องของเขาได้ไปสะกิดต่อมความรู้สึกของเราอย่างแรงจนน้ำตาไหลออก อาจเป็นเพราะเพลงทั้งสองเพลงนี้ของวง U2 และ Damien Rice เป็นเพลงโปรดอยู่แล้ว เมื่อถูกขับร้องผ่านการเรียบเรียงและเสียงร้องที่เต็มไปด้วยความรู้สึกของเขาคนนี้ เลยทำให้อินมากเป็นพิเศษ แต่อย่างไรก็ตาม นาย Nadeem ก็แสดงให้ทุกคนเห็นว่า ถึงแม้เขาจะไม่ได้มีเสียงร้องที่ทรงพลัง หรือการแสดงที่ใหญ่อะไรมากมาย เขาก็สามารถมัดใจคนดูด้วยเพียงกีต้าร์ตัวเดียวกับเสียงร้องที่มาจากความรู้สึกจริงๆ เชื่อว่าสำหรับใครที่เป็นสาวกแนวเพลงอัลเทอร์เนทีฟ-ร็อค ฟังเมดเลย์อันนี้กี่ทีเป็นต้องบาดลึกไปถึงขั้วหัวใจแน่นอน
[vsw id=”glzPmrq7zHw” source=”youtube” width=”650″ height=”430″ autoplay=”no”]
Juliet Simms, “Oh! Darling” / The Voice US
บอกเลยว่าหน้าปัดวิทยุยุคนี้ต้องการเสียงร้องอย่างเธอ เพราะไม่รู้ว่าร็อคเกอร์หญิงเสียงแหบกร้านบาดจิตรอย่างเธอคนนี้หายไปไหนหมดในยุคปัจจุบัน เมื่อฟังเสียงร้องของสาว Juliet ที่ขับร้องเพลงคลาสสิคตลอดกาลอย่าง “Oh! Darling” ของวง The Beatles ได้อย่างสมความยิ่งใหญ่ของเพลง แล้วรู้สึกอยากจะขอบคุณเธอจริงๆ ที่แสดงให้ทุกคนเห็นว่าเสียงร้องแหบเสน่ห์แบบร็อคเกอร์หญิงตัวจริงยังมีหลงเหลืออยู่ ฟังกี่ทีก็ทำให้นึกไปถึงเสียงร้องของ Janis Joplin ร็อคเกอร์หญิงในตำนานจากยุค ‘70s เสียจริง
[vsw id=”9TWFUicIlIU” source=”youtube” width=”650″ height=”430″ autoplay=”no”]
Juliusz Kamil, “Roxanne” / The Voice Poland
เท่าที่ดู The Voice Poland มีผู้เข้าแข่งขันตัวโหดๆอยู่ไม่น้อย และเขาคนนี้ก็เป็นหนึ่งในนั้น กับการออดิชั่นเพลง “Roxanne” ของวง The Police ที่เพียงแค่อ้าปากร้องคำว่า Roxanne ต้อนต้นเพลง ก็ทำเอาโค้ชทั้งสี่คนหูผึ่งขึ้นมาทันที เสียดายที่ฟังภาษาโปลิชไม่ออกว่าเขาพูดอะไรกัน แต่ที่แน่ๆโค้ชทั้งหมดประทับใจในเสียงร้องของนายคนนี้มาก จนทั้งหมดถึงกับลุกขึ้นไปร้องเพลงนี้ร่วมกับเขาที่เปียโนเลยทีเดียว ก็แหม ฟังเผินๆตอนแรกนึกว่าป๋า Sting มานั่งร้องเองถึงที่
[vsw id=”y2IHIW6I_fM” source=”youtube” width=”650″ height=”430″ autoplay=”no”]
Julia van der Toorn, “Oops!…I Did It Again” / The Voice Holland
ถ้าใครดูรายการนี้เป็นประจำ ก็จะเริ่มเดาๆได้ว่ามีสูตรอะไรบ้างที่จะทำให้โค้ชแต่ละคนหันเก้าอี้กลับมา หนึ่งในสูตรนั้นก็คือ ถ้าผู้เข้าแข่งขันคนไหนนำเพลงป๊อปคลาสสิคมาร้องในสไตล์ของตัวเองได้ดี หรือร้องออกมาแล้วมันคลิ๊ก มีโอกาสสูงมากที่โค้ชจะกดปุ่มเลือก แน่นอนว่าทุกคนมีเสียงร้องที่ดี แต่บางคนกลับไปเล่น หรือเปลี่ยนทำนองติดหูของเพลงป๊อปบางเพลงจนคนฟัง รวมทั้งโค้ชทั้งสี่เองไม่สามารถ relate ถึงได้ แต่กับสาว Julia คนนี้เธอยังคงรักษาทำนองติดหูของเพลง “Oops!…I Did It Again” ของ Britney Spears เอาไว้ ในขณะเดียวกันก็ไม่ลืมที่จะร้องออกมาในสไตล์ของเธอ ยิ่งบวกกับเสียงร้องที่ smooth สุดๆของเธอด้วยแล้ว ผลที่ได้ก็อย่างที่ทุกคนเห็นนี่แหละ
[vsw id=”DRGut-D0sew” source=”youtube” width=”650″ height=”430″ autoplay=”no”]
บิว-จรูญวิทย์ พัวพันวัฒนะ, “99 Problems” / The Voice Thailand
คราวนี้มาดูฝั่งไทยแลนด์บ้านเรากันบ้าง กับเขาคนนี้ บิว-จรูญวิทย์ พัวพันวัฒนะ ที่ร้องเพลง “99 Problems” เวอร์ชั่น ฮิวโก้ จุลจักร จักรพงษ์ ได้เฟี้ยวฟ้าวอย่างที่พี่ก้องพูดสุดๆ นอกจากเสียงร้องจะเปรี้ยวและโคตรเท่แล้ว ลีลาของเขายังเป็นที่ถูกอกถูกใจของทั้งโค้ช และผู้ชมทางบ้านอย่างล้นหลาม จนตอนนี้ยอดวิวในยูทูบปาเข้าไปถึง 10 ล้านกว่าวิวแล้ว ด้วยการร้องที่เข้าถึง และสื่ออารมณ์ของเพลงได้เป็นเลิศ ทำให้เขาคนนี้โดนใจคนดูไปเต็มๆ
[vsw id=”U8Wcx3y6NWs” source=”youtube” width=”650″ height=”430″ autoplay=”no”]
Melanie Martinez, “Toxic” / The Voice US
เพลง “Toxic” ของ Britney Spears นั้นกลายเป็นเพลงป๊อปคลาสสิคขึ้นหิ้งไปแล้ว และแน่นอนว่ามีนักร้อง และวงดนตรีมากมายที่นำเพลงนี้ไปคัฟเวอร์ใหม่ แต่ต้องบอกเลยว่าเวอร์ชั่นของสาวน้อย Melanie นั้นถูกใจเราที่สุดแล้ว ถึงแม้ว่าเธอไม่ได้มีน้ำเสียงทรงพลังเมื่อเทียบกับผู้แข่งขันคนอื่นๆ แต่เพราะเธอมีสไตล์เป็นของตัวเองถึงขีดสุดนี่แหละ เลยชนะใจโค้ชและผู้ชมไปเต็มๆ (มีใครบ้างที่เคยเห็นคนเล่นกีต้าร์ไปด้วย และตีแทมบูรีนด้วยเท้าไปด้วยในเวลาเดียวกัน?!) ฟังกี่ทีก็อย่างกับเพลงนี้เป็นเพลงที่เธอแต่งเองอย่างนั้นแหละ เพราะมันให้คนละอารมณ์กับต้นฉบับโดยสิ้นเชิง
[vsw id=”0iwnzMdxbes” source=”youtube” width=”650″ height=”430″ autoplay=”no”]
Stefano Corona, “Feeling Good” / The Voice Italy
Bravo! Mamma Mia! ถึงแม้จะไม่เข้าใจว่าเขาคุยอะไรกัน แต่ถ้าโค้ชหลุดสองคำนี้ออกมา แสดงว่าต้องถูกใจมากจริงๆ กับการขับร้องเพลง “Feeling Good” เวอร์ชั่นวง Muse ของนาย Stefano คนนี้ คือไม่รู้จะอธิบายเป็นคำพูดออกมายังไงดี ถึงความรู้สึกที่ได้ฟังเสียงร้องของเขา นอกจากทึ่งและขนลุกซู่เอามากๆ โดยเฉพาะเสียงสูงที่บาดใจสุดๆของเขาตอนท้ายเพลง
[vsw id=”gqX5Bv6Payk” source=”youtube” width=”650″ height=”430″ autoplay=”no”]
Lem Knights, “Do It Like A Dude” / The Voice UK
หลายครั้งที่ผู้เข้าแข่งขันบางคนเลือกเพลงดังๆของหนึ่งในสี่โค้ชมาร้องในรอบ Blind Auditions เพื่อหวังว่าโค้ชคนนั้นๆจะกดปุ่มเลือกตัวเอง ซึ่งถือว่าเป็นอะไรที่อันตรายมากๆ เพราะถ้าทำออกมาได้ประทับใจโค้ชก็แล้วไป แต่สำหรับบางคนเหมือนเลือกวิธีนี้มาฆ่าตัวเองชัดๆ แต่สำหรับเขาคนนี้ที่เลือกเพลง “Do It Like A Dude” ของ Jessie J โค้ชสาวประจำ The Voice UK มาร้องในสไตล์ของตัวเองนั้น ต้องบอกว่าร้องออกมาได้เซ็กซี่ และเข้าถึงอารมณ์ของเพลงสุดๆ จนสาว Jessie ยิ้มแก้มปริเลยล่ะ
[vsw id=”hSW95UiB8Hk” source=”youtube” width=”650″ height=”430″ autoplay=”no”]
วี-วิโอเลต วอเทียร์ “Leaving On A Jet Plane” / The Voice Thailand
ชอบเหลือเกินกับเสียงร้องของสาววี ที่ฟังแล้วทำให้นึกถึงเสียงร้องของ Fiona Apple ผสมกับ Alanis Morisette เสน่ห์ของเสียงร้องของเธอก็อย่างที่โค้ชแต่ละคนบอกนั่นแหละ กับหางเสียงที่เด็ดได้สวย ฟังเป็นเสียงร้องธรรมชาติของเธอจริงๆ ซึ่งเสียงร้องแบบนี้เรียกได้ว่ามีมาให้ได้ยินไม่บ่อยเลยสำหรับนักร้องไทย
[vsw id=”77NvNfteKXo” source=”youtube” width=”650″ height=”430″ autoplay=”no”]
Judith Hill, “What A Girl Wants” / The Voice US
ถ้าคุณรู้แบ็คกราวน์ของสาว Judith มาก่อน คุณจะไม่สงสัยเลยว่าทำไมเธอถึงร้องเพลงเก่งถึงขนาดนี้ เพราะเธอเคยเป็น background singer ให้กับศิลปินระดับโลกมากมาย อาทิ Stevie Wonder, Elton John, Josh Groban รวมถึง Michael Jackson ที่ได้เลือกให้เธอมาร้องเพลงคู่กับเขาสำหรับเพลง “I Just Can’t Stop Loving You” ในคอนเสิร์ต This Is It แต่เป็นที่น่าเสียดายที่ Michael Jackson ดันเสียชีวิตเสียก่อน การดูเอ็ตของทั้งคู่เลยไม่ได้เกิดขึ้นจริง เอาเป็นว่าเสียงของเธอคนนี้พิเศษมากๆ แต่น่าเสียดายที่ตอนหลังเธอตกรอบไปเสียก่อนในซีซั่นที่ 4
[vsw id=”wHiGSWD7dmk” source=”youtube” width=”650″ height=”430″ autoplay=”no”]
Alex Hartung, “Lose Yourself” / The Voice Germany
ต้องบอกเลยว่า หนุ่ม Alex คนนี้ แกเป็นคนที่ชัดเจนมากนะคะ ในขณะที่ผู้เข้าแข่งขันคนอื่นๆโชว์พลังเสียงกันสุดฤทธิ์สุดเดช เขากลับเลือกที่จะมาแร็พเพลง “Lose Yourself” ของ Eminem ซะงั้น เคราะห์ดีที่ฝีมือในการแร็พของเขาไม่ธรรมดา เลยสามารถชนะใจโค้ชแต่ละคนได้อย่างที่เห็น “hip-hop is back on the map!”
[vsw id=”L-QdjnA2vtI” source=”youtube” width=”650″ height=”430″ autoplay=”no”]
Karise Eden, “It’s A Man’s, Man’s, Man’s World” / The Voice Australia
มาถึงคนสุดท้าย ที่ต้องบอกเลยว่าเด็ดสุด คือแบบว่า…อื้อหือ…ใครจะไปคิดว่าเสียงร้องอันทรงพลังแบบ old soul ที่เหมือนกับหลุดมาจากนอกโลกอย่างที่ได้ฟังกันนี้ จะออกมาจากปากของสาวที่รูปลักษณ์ดูขัดกับเสียงร้องโดยสิ้นเชิง ทำเอาโค้ชแต่ละคนงงเป็นไก่ตาแตกไปตามๆกัน โดยเฉพาะพี่ Keith Urban ที่ดูเหมือนจะงงแล้วงงอีกมากที่สุด และด้วยเสียงร้องที่ไม่เหมือนใครและไม่มีใครเหมือนของเธอคนนี้ สุดท้ายก็ทำให้เธอสามารถชนะการประกวดของ The Voice Australia ซีซั่นแรกได้สำเร็จ
Writer: Thip S. Selley
RECOMMENDED CONTENT
เพลงนี้เล่าถึงแรงเสียดทานในชีวิตที่ทุกคนไม่ว่าจะเป็นใคร ไม่ว่าจะยุคสมัยไหน ไม่ว่าคุณจะอยู่ที่ใดบนโลกก็ล้วนแล้วแต่ต้องพบเจอแรงเสียดทานนี้ ที่เกิดขึ้นจากการกดทับโดยบริบททางสังคม วัฒนธรรม รวมถึงการใช้ชีวิตประจำวันในแบบต่าง ๆ ที่คนคนหนึ่งต้องเจอ เพราะถึงแม้จะนับ 1 ถึง 100 เพื่อที่จะทำให้ตัวเองสงบใจ แต่สุดท้ายวันหนึ่งสิ่งนี้มันก็อาจจะเกินกว่าที่จะทนไหว และปลดปล่อยความรู้สึกที่ถูกเก็บไว้ออกมาก็เป็นได้