เด็กยุค 2000 ทั้งหลายยกมือขึ้น! นี่คือยุคที่แจ้งเกิดศิลปินวงดนตรีระดับโลกและเพลงสุดฮิตมากมาย ที่ถึงแม้ว่าบางเพลงจะผ่านมายาวนานถึงสิบปีแล้ว แต่ฟังกี่ทีก็ยังโดนทุกครั้ง สำหรับเด็กยุค ’90 คุณคงภาคภูมิใจที่สามารถบอกกับเด็กรุ่นหลังว่า “ฉันเกิดมาในยุคของวง Nirvana และ Oasis” แต่เราจะบอกว่าใครที่โตมาในยุค 2000 ก็พูดได้อย่างไม่ต้องอายใครว่า “แต่ฉันก็โตมาในยุคที่แจ้งเกิด Coldplay, The Strokes และ Arctic Monkeys นะจ๊ะ” และไม่ใช่มีแต่วง rock-alternative เท่านั้นที่เฟื่องฟูสุดๆในยุคนี้ เพลงป๊อปที่ตอนนี้กลายเป็นเพลงขึ้นหิ้งระดับตำนานก็มีอยู่ไม่ใช่น้อย วันนี้เราจึงรวบรวม “15 เพลงสุดฮิตจากยุค 2000 ในตำนาน” จากทั้งหมด 100 เพลงที่ทาง NME นิตยาสารเพลงอันดับต้นๆของเกาะอังกฤษเขาได้จัดอันดับมาฝากชาว Dooddot กัน ต้องบอกว่ายุคนี้เป็นยุคที่มีเพลงขึ้นหิ้งหลายเพลงมากจริงๆ ถ้ามีเพลงโปรดเพลงไหนไม่ได้อยู่ในลิสต์ก็อย่าเพิ่งงอนกัน เพราะ 15 เพลงที่เรารวบรวมมาถือว่าเป็นเพลงที่ฮิตสุดๆแล้วจริงๆ จะมีเพลงอะไรบ้างไปดูกันเลย!
“The Real Slim Shady” – Eminem / May 2000
เริ่มต้นยุคมิเลนเนียมได้อย่างดุเด็ดเผ็ดมันส์จริงๆ กับเพลง “The Real Slim Shady” ของแร็ปเปอร์มาดกวน Eminem ที่จวกวงการเพลงป๊อปในยุคนั้นซะเละไม่มีดี พี่ Eminem แกสับยับ ไล่มาตั้งแต่ Pamela Anderson, Will Smith, Britney Spears, Christina Aguilera ไปจนถึงวง N’SYNC และด้วยความ “แร๊งส์” ของพี่ Eminem จึงทำให้เพลงนี้ทะยานขึ้นสู่อันดับ 4 บนชาร์ต Billboard Hot 100 และยังเป็นเพลงแรกของเขาที่สามารถขึ้นไปอยู่อันดับ 1 บนชาร์ตต่างๆของประเทศอังกฤษ ทำให้เพลงๆนี้เป็นเพลงที่ขายดีที่สุดในอันดับที่ 11 ของอังกฤษประจำปี 2000!
“Independent Women Part 1” – Destiny’s Child / September 2000
ย้อนกลับไปเมื่อ 14 ปีที่แล้ว สมัยที่ Queen B ของพวกเรายังอยู่ในเกิร์ลกรุ๊ป Destiny’s Child (ไม่น่าเชื่อว่าผ่านมาสิบกว่าปีแล้วเหรอเนี่ย เวลาผ่านไปไวจริงๆ!) ตอนนั้นก็เป็นที่รู้ๆกันแล้วล่ะ ว่า Beyoncé เธอเปล่งประกายออร่าโดดเด่นกว่าเพื่อนร่วมวงของเธออย่าง Kelly Rowland และ Michelle Williams แต่อย่างไรก็ตาม ทั้งสามสาวเธอก็สวยมาดมั่น ไม่แพ้สาวๆนางฟ้าชาร์ลีในภาพยนตร์ “Charlie’s Angels” ที่เพลงนี้เป็นเพลงประกอบเลย ด้วยทำนองที่ฟังกี่ทีก็ติดหู และเนื้อเพลงแบบ female empowerment ทำให้เพลงนี้ฮิตในหมู่สาวๆทั่วโลก สามารถครองอันดับ 1 บนชาร์ต Billboard Hot 100 นานถึง 11 สัปดาห์ เท่านี้ยังไม่พอ ทาง Billboard ยังจัดให้เพลงนี้อยู่อันดับที่ 18 ของเพลงที่ประสบความสำเร็จมากที่สุดประจำยุค 2000 ในลิสต์ “Billboard Hot 100 Songs of the Decade” อีกด้วย!
“Can’t Get You Out of My Head” – Kylie Minogue / September 2001
La la la, la la la la…ได้ยินท่อนฮุคสุดติดหูนี้ทีไร เป็นต้องอยากร้องตาม โยกหัวไปมาตลอด จำได้ว่าตอนเพลงนี้ถูกปล่อยออกมาใหม่ๆสมัยตอนอยู่ ม.ต้น นี่ไปไหนต้องได้ยิน ถือว่าดังจนไม่รู้จะดังยังไงกับเพลงนี้ของป้า Kylie Minogue ก็จะไม่ให้ดังได้ยังไง ไหนจะทำนองที่ติดหูสุดๆ ร้องง่าย แถมมิวสิกวีดีโอก็เซ็กซี่เสียเหลือเกิน เพลงนี้ไม่เพียงแต่จะได้รับเสียงวิจารที่ดีจากนักวิจารเพลง แต่ยังประสบความสำเร็จไปทั่วโลก โดยเฉพาะในแถบยุโรป ที่เพลงนี้สามารถครองอันดับ 1 ในทุกประเทศยกเว้นฟินแลนด์ รวมทั้งประเทศบ้านเกิดของ Kylie เองอย่างออสเตรเลีย ส่วนฝั่งอเมริกา เพลงนี้ก็ไต่อันดับได้สูงถึงอันดับ 7 บนชาร์ต Billboard Hot 100 แต่โดยรวมแล้วเพลง “Cant’ Get You Out of My Head” สามารถครองอันดับ 1 มากถึง 40 ประเทศทั่วโลก และคว้ารางวัลอีกนับไม่ถ้วน จึงไม่แปลกใจเลยที่เพลงนี้จะเป็นเพลงที่ประสบความสำเร็จมากที่สุดของเธอ
“Milkshake” – Kelis / August 2003
“My milkshake brings all the boys to the yard, and they’re like it’s better than yours, damn right, it’s better than yours, I can teach you, but I have to charge” คุณผู้อ่านคะ เคยมั้ยที่ตอนเด็กๆคุณร้องเพลงเพลงนึงได้โดยที่ไม่รู้เลยว่า ไอ้เพลงที่ร้องอยู่นั้นจริงๆแล้วมีเนื้อหาทะลึ่ง สองแง่สองง่าม จนมารู้อีกทีก็ตอนโตแล้ว? ขอบอกว่าเราเป็นกับเพลงนี้ ไอ้ตอนที่ร้องเพลงนี้สมัยอยู่ ม.ต้น ก็เอะใจอยู่เหมือนกันนะ ว่าเพลงนี้มันฟังดูทะลึ่งๆพิกลแฮะ แต่ก็ไม่ได้คิดอะไร ร้องติดปากไปเรื่อย คงต้องยกความดีความชอบให้กับ The Neptunes (Pharrell Williams และ Chad Hugo) ที่เขียนและโปรดิวส์เพลงนี้จนติดหูทุกคนที่ได้ฟัง และทำให้ฮิตติดชาร์ตในหลายๆประเทศ แถมยังสามารถขึ้นไปครองอันดับ 3 บนชาร์ต Billboard Hot 100 ของฝั่งอเมริกา ทำให้เพลงนี้เป็นเพลงที่ประสบความสำเร็จมากที่สุดของ Kelis จนถึงทุกวันนี้
“Lady Marmalade” – Christina Aguilera, Pink, Mya, Lil’ Kim / March 2001
นึกถึงเพลงนี้ทีไร เป็นต้องนึกถึงท่อนที่ร้องว่า “Voulez-vous coucher avec moi (ce soir)?” หรือแปลเป็นไทยก็คือ “คุณอยากนอนด้วยกันกับฉันมั้ย (คืนนี้)?” โอย เปรี้ยวและแรงได้ใจจริงๆ เพลงนี้จริงๆแล้วถูกขับร้องครั้งแรกโดยวงเกิร์ลกรุ๊ป Labelle ในปี 1974 ซึ่งก็โด่งดังมากๆในยุคนั้น สามารถครองอันดับ 1 บนชาร์ต Billboard Hot 100 ได้นานถึง 2 สัปดาห์ เพลงนี้ได้ถูกศิลปินรุ่นต่อๆมานำมา cover หลายต่อหลายครั้ง รวมทั้งในปี1998 วงเกิร์ลกรุ๊ปจากเกาะอังกฤษ All Saints ก็นำเพลงนี้มา cover ใหม่ จนประสบความสำเร็จอีกเช่นกัน แต่ถ้าพูดถึงเวอร์ชั่นที่ทุกคนคุ้นหูมากที่สุด คงต้องยกให้เป็นของสี่สาวสุดซ่า อย่าง Christina Aguilera, Pink, Mya และ Lil’ Kim ที่มารวมตัวพิเศษ ขับร้องเพลงนี้อีกครั้งสำหรับ soundtrack ภาพยนตร์เรื่อง Moulin Rouge! จนโด่งดังไปทั่วโลก เวอร์ชั่นนี้ถูกโปรดิวส์โดยแร็ปเปอร์สาวซ่า Missy Elliot หลังจากที่อยู่บนชาร์ต Billboard Hot 100 นานถึง 8 สัปดาห์ ในที่สุดเพลงนี้ก็ขึ้นอันดับ 1 ได้สำเร็จ และยังกวาดรางวัลไปอีกมากมาย รวมทั้งรางวัลแกรมมี สาขา “Best Pop Collaboration with Vocals” ประจำปี 2002 แต่อีกสิ่งหนึ่งที่ทำให้เวอร์ชั่นนี้เป็นที่น่าจดจำ ก็คือตัวมิวสิกวีดีโอ ที่ขอบอกว่านักร้องแต่ละนางแซ่บสุดๆ ไม่เชื่อคลิกดูได้เลย
“Yellow” – Coldplay / June 2000
พูดถึงเพลงป๊อปไปเยอะแล้ว คราวนี้มาดูฝั่ง rock-alternative กันบ้างดีกว่า เราขอประเดิมด้วยเพลง “Yellow” จากวง Coldplay เพลงร็อคซึ้งๆฟังกี่ทีก็ยังโดนใจทุกครั้ง ถึงแม้ว่าเนื้อหาของเพลงนี้จะเกี่ยวกับรักข้างเดียว แต่แรงบันดาลใจหลักๆในการแต่งเพลงนี้ของหนุ่มๆวง Coldplay ก็คือการที่คืนหนึ่งหลังจากที่พวกเขาเดินออกมาจากห้องอัดเสียง ตอนนั้นเป็นเวลาพลบค่ำ มีแสงไฟเปิดอยู่บ้างเล็กน้อย พวกเขาแหงนหน้ามองท้องฟ้า และเห็นว่ามีดวงดาวอยู่เต็มไปหมด ดูสวยงามมาก Chris Martin เลยได้แรงบันดาลใจจากท้องฟ้าในค่ำคืนนั้นในการแต่งทำนองและเนื้อร้องของเพลงนี้ (โรแมนติกจังเนอะ สมัยนี้ยังมีคนแต่งเพลงแบบนี้อีกมั้ยเนี่ย) “Yellow” เป็นซิงเกิ้ลที่สองจากอัลบั้มเปิดตัวของวงอย่าง Parachutes ถูกปล่อยออกมาปุ๊ปก็ดังเป็นพลุแตก ขึ้นอันดับ 4 บน UK Singles Chart เปิดคลื่นวิทยุไหนเป็นต้องได้ยินเพลงนี้ ความแรงของเพลงนี้ดังไปถึงฝั่งอเมริกา จนติดอันดับ 8 บนชาร์ต Billboard Hot 100 ทำให้วง Coldplay กลายเป็นที่รู้จักไปทั่วโลกนับแต่นั้นเป็นต้นมา
“Mr. Brightside” – The Killers / May 2004
เพลงนี้คงต้องบอกว่า ได้ใจสาวกวงอินดี้ไปเต็มๆ “Mr. Brightside” คือเพลงแรกที่วงนี้ร่วมแต่งด้วยกันสำหรับอัลบั้มเปิดตัว Hot Fuss ในปี 2004 สำหรับใครที่ยังงงๆว่าตกลงเพลงนี้มันเกี่ยวกับอะไรกันแน่ เพลงนี้ได้แรงบันดาลใจมาจากแฟนเก่าของ Brandon Flowers นักร้องนำของวง ที่เคยนอกใจเขาไปคบกับคนอื่น เนื้อเพลงของ “Mr. Brightside” เลยพูดถึงความอิจฉาและสติแตกของผู้ชายคนหนึ่งที่แอบสงสัยว่าแฟนตัวเองกำลังคบชู้นั่นเอง ขอบอกว่าเพลงนี้ดังและประสบความสำเร็จมากๆ จน Absolute Radio และ XFM สองสถานีวิทยุจากเกาะอังกฤษยกให้เพลงนี้เป็น “Song of the Decade” หรือ “เพลงแห่งทศวรรษ” เลยทีเดียว แถมยังเป็นเพลงที่ถูกคลิกเล่นมากที่สุดของเว็บไซต์ Last.fm ตั้งแต่เว็บเปิดตัวมา โดยมียอดคลิกมากถึง 12.2 ล้านครั้ง! บ้าไปแล้ว!
“This Love” – Maroon 5 / January 2004
กลายเป็นเพลงขึ้นหิ้งของวง Maroon 5 เป็นที่เรียบร้อย กับ “This Love” ที่แค่เปิดเพลงด้วยอินโทรเปียโนนั่นก็เอาใจเราไปเต็มๆ แรงบันดาลใจในการแต่งเพลงนี้ของหนุ่ม Adam Levine ก็คล้ายๆกับ Brandon Flowers สำหรับเพลง Mr. Brightside นั่นก็คือ หนุ่ม Adam แต่งเพลงนี้ตอนที่เขาเพิ่งเลิกรากับแฟนสาวในตอนนั้นแบบสดๆร้อนๆ เรียกได้ว่าอารมณ์กำลังคุกกรุ่นเต็มที่ตรงกับเนื้อหาของเพลงเป๊ะ อย่างที่รู้กัน เพลงนี้ดังฮิตไปทั่วโลก สามารถขึ้นไปอยู่อันดับ 5 บนชาร์ต Billboard Hot 100 และติดอันดับ top 10 บนชาร์ตเพลงของ 12 ประเทศในฝั่งยุโรป และยังเป็นเพลงที่เปิดบ่อยที่สุดเป็นอันดับ 3 ประจำปี 2004 เท่านั้นยังไม่พอ เพลงนี้ทำให้วง Maroon 5 คว้ารางวัล “MTV Video Music Award for Best New Artist” และรางวัลแกรมมี สาขา “Best Pop Performance by a Duo or Group” ประจำปี 2006 เรียกว่าดังจนไม่รู้จะดังยังไงจริงๆ
“Seven Nation Army” – The White Stripes / March 2003
เพลงนี้เราขอกราบในความเท่ของริฟฟ์กีต้าร์ ที่ขนาดทาง NME ยังยกให้เป็นเสียงริฟฟ์กีต้าร์ที่เจ๋งที่สุดในรอบ 10 ปีเลยทีเดียว หลังจากที่เพลงนี้ถูกปล่อยออกมา วง The White Stripes ก็เป็นที่รู้จักไปทั่วโลก เพราะเพลงนี้สามารถขึ้นไปครองอันดับ 5 บนชาร์ต Modern Rock Tracks ของทาง Billboard และยังคว้ารางวัลแกรมมีในสาขา “Best Rock Song” ประจำปี 2004 มาครองอีกด้วย จนถึงทุกวันนี้ “Seven Nation Army” เป็นเพลงที่ประสบความสำเร็จมากที่สุดของวง The White Stripes และเป็นเพลงที่ใครหลายๆคนยกให้เป็นเพลงร็อคคลาสสิคที่ความเท่ไม่มีวันตายจริงๆ แม้แต่ตัวมิวสิกวีดีโอก็ยังเท่! เอ้า ไม่เชื่อคลิกดูเลย!
“I Bet You Look Good on the Dance Floor” – Arctic Monkeys / October 2005
ย้อนกลับไปเมื่อ 9 ปีที่แล้ว สมัยที่วง Arctic Monkeys ยังเป็นเพียงแค่กลุ่มเด็กหนุ่มวัยรุ่นหน้าละอ่อนจากเมือง Sheffield ประเทศอังกฤษ แต่ด้วยพรสวรรค์ทางด้านดนตรีที่เหลือล้น พวกเขาสามารถนำพาซิงเกิ้ลแรก “I Bet You Look Good on the Dance Floor” จากอัลบั้มเปิดตัว “Whatever People Say I Am, That’s What I’m Not” ทะยานขึ้นสู่อันดับ 1 ได้สำเร็จบน UK Singles Chart แถมยังได้รางวัล NME Awards สาขา Best Track ประจำปี 2006 มาครองด้วย คงไม่ต้องบอกว่าจนถึงทุกวันนี้ วงอินดี้วงนี้ประสบความสำเร็จมากขนาดไหนหรอกนะ
“Last Nite” – The Strokes / January 2001
โอ้โห เพลงนี้เรียกได้ว่าเป็นหนึ่งในเพลงชาติของเด็กอินดี้ยุค 2000 เลย แต่งโดย Julian Casablancas นักร้องนำของวง สำหรับอัลบั้มเปิดตัว “Is This It” ขอบอกว่าเพลงนี้ถูกจารึกเอาไว้ในลิสต์มากมายของวงการเพลง อาทิ นิตยสารเพลง Q ของประเทศอังกฤษให้เพลงนี้อยู่ที่อันดับที่ 66 ของลิสต์ “100 Greatest Guitar Tracks” ส่วน NME ก็จัดอันดับเพลงนี้เอาไว้ในลิสต์ของตัวเองมากมาย ไม่ว่าจะเป็นอันดับ 1 บนลิสต์ “50 Greatest Tracks of the Decade” ประจำปี 2006 อันดับ 9 บนลิสต์ “50 Greatest Indie Anthems Ever” ประจำปี 2007 และอันดับ 4 บนลิสต์ “150 Best Tracks of the Past 15 Years” ประจำปี 2011 ส่วน Rolling Stones ก็จัดให้เพลงนี้อยู่อันดับที่ 16 บนลิสต์ “Rolling Stone’s 50 Best Songs of the Decade” และอันดับที่ 478 บนลิสต์ “The 500 Greatest Songs of All Time” เชื่อหรือยังว่าเพลงนี้เขาตัวจริง?
“Hey Ya!” – Outkast / September 2003
“Shake it like a polaroid picture!” เพลงนี้ถือเป็นเพลงไม้ตายของเหล่าดีเจในสมัยนั้น เพราะถ้าผับไหนเปิดเพลงนี้ จะไม่มีใครสามารถนั่งอยู่เฉยๆได้ ต้องออกไปแดนซ์กันกระจายแน่นอน “Hey Ya!” เป็นเพลงสไตล์ funk, rock และ hip hop แต่งโดย André 3000 สำหรับอัลบั้ม Speakerboxxx/The Love Below นอกจากเพลงนี้จะมีจังหวะแดนซ์มันส์ระเบิดแล้ว ตัวมิวสิกวีดีโอก็มีสีสันไม่แพ้กัน โดยเหตุการณ์ในเอ็มวีได้เลียนแบบมาจากการแสดงของวง The Beatles ครั้งแรกในอเมริกาเมื่อปี 1964 ในรายการ The Ed Sullivan Show เพลงนี้ได้เสียงตอบรับที่ดีมากจากนักวิจาร ส่วนในปี 2009 ทาง Billboard ก็จัดให้เพลงนี้อยู่ที่อันดับที่ 20 บนลิสต์ “Most Successful Song of the 2000’s Decade in the US” สำหรับเรื่องรางวัล เพลงนี้ก็สามารถคว้ารางวัลสาขา “Best Urban/Alternative Performance” จากแกรมมีด้วย ถือเป็นเพลงที่ประสบความสำเร็จมากที่สุดสำหรับวง Outkast จนถึงทุกวันนี้
“Umbrella” – Rihanna / March 2007
Umbrella-ella-ella-eh-eh… คงไม่ต้องแนะนำให้มากความว่าเพลงนี้ดังขนาดไหน ถือเป็น monster hit ที่ทำให้ Rihanna ดังเป็นพลุแตกไปทั่วโลก จากเดิมก่อนหน้านี้ที่เธอมีภาพลักษณ์ของสาวน้อยใสๆ มาอัลบั้มที่ 3 อย่าง Good Girl Gone Bad เธอเลยขอสลัดภาพลักษณ์เหล่านั้น แล้วกลายเป็น bad girl สุดเปรี้ยวแทน ยิ่งมีเพลงนี้เป็นซิงเกิ้ลนำจากอัลบั้ม ยิ่งทำให้เธอดังแบบฉุดไม่อยู่จริงๆ อันที่จริงแล้วเพลงนี้ถูกแต่งให้ Britney Spears ตั้งแต่แรก แต่ทางต้นสังกัดของเธอดันปฎิเสธไม่เอา เพลงนี้เลยตกเป็นของ Rihanna แทน โดยปรับเปลี่ยนให้มีกลิ่นอายความเป็น R&B มากขึ้น ถ้าจะถามว่าเพลงนี้ประสบความสำเร็จยังไง เอาเป็นว่ามันสามารถครองอันดับ 1 ในหลายๆประเทศทั่วยุโรปรวมทั้งอังกฤษ ที่เพลงนี้ครองอันดับ 1 บน UK Singles Chart ได้นานถึง 10 สัปดาห์ ส่วนทางฝั่งอเมริกา เพลงนี้ก็ยึดครองอันดับ 1 บนชาร์ต Billboard Hot 100 ได้นานถึง 7 สัปดาห์เช่นกัน เท่านี้ยังไม่พอ เพลงนี้ยังทำให้ Rihanna คว้ารางวัลแกรมมี สาขา “Best Rap/Song Collaboration” ร่วมกับ Jay-Z และรางวัล “Video of the Year” ประจำปี 2007 จาก MTV Video Music Awards คือดวงคนมันจะดังอ่ะนะ ห้ามยังไงก็เอาไม่อยู่!
“Toxic” – Britney Spears / January 2004
เฮ้อ…ฟังเพลงนี้ทีไรเป็นต้องคิดถึง Britney สมัยที่เธอยังท็อปฟอร์ม ไม่มีป๊อปสตาร์คนไหนที่จะดังสู้เธอได้ในยุคนั้น ถึงแม้จะผ่านมา 10 ปีแล้ว แต่เพลงนี้ฟังกี่ทีก็ยังรู้สึกสนุก ร่วมสมัย และต้องยกให้เป็นเพลงป๊อปในตำนานไปแล้วจริงๆ “Toxic” ถูกปล่อยออกมาเป็นซิงเกิ้ลที่สองจากอัลบั้มที่สี่ของเธอ “In The Zone” และถือเป็นซิงเกิ้ลที่สี่ของ Britney ที่ติดอันดับ Top 10 บนชาร์ต Billboard นอกจากนี้เพลงนี้ยังช่วยให้เธอสามารถคว้ารางวัลแกรมมีเป็นครั้งแรกด้วยในปี 2005 ในสาขา “Best Dance Recording” ซึ่งเพิ่มความนับถือในตัวเธอมากยิ่งขึ้นในหมู่นักวิจารเพลง เชื่อว่าอีกเหตุผลหนึ่งที่หลายๆคนชื่นชอบเพลงนี้ก็คือ ตัวมิวสิกวีดีโอที่แซ่บได้ใจสุดๆ ไม่ว่าจะเป็นตอนที่เธอแต่งชุดแอร์โฮสเตสแสนยั่วยุ ตอนที่เธอใส่ชุดเปลือยติดกากเพชร หรือตอนที่เธอใส่ชุดดำรัดรูปเป็นสายลับ ไม่ว่าจะเป็นฉากไหน พวกเราก็ไม่สามารถละสายตาไปจาก Princess of Pop คนนี้ได้จริงๆ
“Crazy In Love” – Beyoncé / May 2003
โบกมือลาบ๊ายบายเพื่อนๆสมาชิกวง Destiny’s Child ชั่วคราว แล้วหันมา shine ด้วยตัวเองอย่างเต็มตัวเสียที กับอัลบั้มเดี่ยวอัลบั้มแรกของ Queen B อย่าง “Dangerously In Love” ที่ปล่อยซิงเกิ้ลแรก “Crazy In Love” จนฮิตถล่มทลายไปทั่วบ้านทั่วเมือง สามารถยึดครองอันดับ 1 บนชาร์ต Billboard Hot 100 นานถึง 8 สัปดาห์ติดต่อกัน รวมทั้งประเทศอังกฤษที่เพลงนี้ทะยานขึ้นไปอยู่ที่อันดับ 1 บน UK Singles Chart เช่นกัน ส่วนประเทศอื่นๆในยุโรป เพลงนี้ก็ไต่อันดับไปอยู่บน Top 10 ได้หมด แถมพิสูจน์ความแรงด้วยยอดขายมากถึง 1,959,000 ก๊อปปี้ในอเมริกา และ 8,000,000 ก๊อปปี้ทั่วโลก กลายเป็นหนึ่งในซิลเกิ้ลที่ขายดีที่สุดทั่วโลกจนถึงทุกวันนี้สำหรับ Beyoncé จน Rolling Stone ต้องจัดให้เพลงนี้อยู่ที่อันดับที่ 118 บนลิสต์ “Rolling Stone’s 500 Greatest Songs of All Time” ประจำปี 2010 ส่วนเรื่องรางวัลก็ไม่ต้องห่วง เพลงนี้ทำให้เธอคว้ารางวัลแกรมมี่ สาขา “Best R&B Song” และ “Best Rap/Song Collaboration” มานอนกอดได้สำเร็จ
Writer: Thip S. Selley
RECOMMENDED CONTENT
เพลงนี้เล่าถึงแรงเสียดทานในชีวิตที่ทุกคนไม่ว่าจะเป็นใคร ไม่ว่าจะยุคสมัยไหน ไม่ว่าคุณจะอยู่ที่ใดบนโลกก็ล้วนแล้วแต่ต้องพบเจอแรงเสียดทานนี้ ที่เกิดขึ้นจากการกดทับโดยบริบททางสังคม วัฒนธรรม รวมถึงการใช้ชีวิตประจำวันในแบบต่าง ๆ ที่คนคนหนึ่งต้องเจอ เพราะถึงแม้จะนับ 1 ถึง 100 เพื่อที่จะทำให้ตัวเองสงบใจ แต่สุดท้ายวันหนึ่งสิ่งนี้มันก็อาจจะเกินกว่าที่จะทนไหว และปลดปล่อยความรู้สึกที่ถูกเก็บไว้ออกมาก็เป็นได้