ขึ้นชื่อว่าหนังรักแน่นอนว่ามันต้องมีความรักเป็นประเด็นหลักของเรื่อง เราอาจจะเจอเนื้อหาประเภทความรักชนะทุกอย่างหรือไม่ก็ความรักคือเรื่องสำคัญที่สุดในชีวิตอยู่บ่อยๆ แต่ก็ยังมีหนังรักหลายๆ เรื่องเสียดสีและตั้งคำถามว่าความรักมันยิ่งใหญ่ขนาดนั้นได้จริงๆ หรือ
แม้เราจะไม่ใช่คนประเภทที่ anti-romance อะไรขนาดนั้น แต่ก็ไม่ใช่คนที่เชื่อในประโยคประเภท ความรักชนะทุกอย่าง เช่นกัน เเละถ้าจะให้บิ้วท์ตัวเองไปกับหนังรักสุดโรแมนติกต้อนรับเทศกาลวาเลนไทน์ในทุกปีมันก็มากเกินไป เพื่อไม่ให้ตัวเองรู้สึกเอียนกับบรรยากาศอันรักใคร่ไปมากกว่านี้ เราจึงต้องมีลิสต์ 5 ภาพยนต์ที่ยืนยันว่าความรักมันไม่ใช่ทุกอย่าง!!
**Spoil Alert**
Eternal Sunshine of the Spotless Mind (2004)
หนึ่งในตำนานหนังรักที่มักจะติดอันดับหนังในดวงใจของไทยหลายคน และติดลิสต์ของ anti-romance movies แทบทุกสำนัก ด้วยเนื้อหาที่เปิดประเด็นมาจากเลิกลาทำให้คนดูรู้เลยว่านี่ไม่ใช่หนัง happy ending แน่นอน ; Eternal Sunshine of the Spotless Mind เป็นหนัง surreal ที่ถ่ายทอดความสัมพันธ์ได้ real ได้มากที่สุดเรื่องหนึ่ง นี่คือหนึ่งในภาพยนต์ที่สื่อสารได้ดีกับประเด็นที่ว่าในความสัมพันธ์มันมีอะไรมากกว่าความหอมหวานของความรัก มันถ่ายทอดความเจ็บปวด ผิดหวัง และสารพัดความรู้สึกในช่วงชีวิตของความสัมพันธ์ตั้งแต่ช่วงรักกันถึงวันเลิกลาได้อย่างลึกซึ้ง (และ abstract สุดๆ) แบบที่ไม่ว่าคุณจะเป็นคอหนังรักหรือไม่รักก็ควรดู
500 Days of Summer (2009)
หนึ่งในหนัง indie rom-com ท็อปลิสต์ของหลายๆ คนที่ถือว่าเป็นหนึ่งในตัวละครประเภทไม่เชื่อในความรักที่โด่งดัง “นี่คือเรื่องราวการพบเจอกันระหว่างชายหนุ่มและหญิงสาว ที่คุณควรรู้ไว้ตั้งแต่ต้นว่า มันไม่ใช่เรื่องราวของของความรัก” อย่างที่ voice-over บอกไว้ตั้งแต่แรกว่านี่คือหนังรักที่ไม่ใช่หนังรัก มันคือภาพยนต์ที่พาคุณไปย้อนดูเรื่องราวตลอด 500 วันของความสัมพันธ์ระหว่างทอมและซัมเมอร์ ราวกับให้เราหาเหตุผลของว่าทำไมความรักครั้งนี้มันไม่เวิร์ค ซึ่งถ้าคนบอกกันว่าความรักมันไม่มีเหตุผล ความไม่รักก็เช่นกัน
Blue Valentine (2010)
แม้จะเป็นลิสต์หนังแอนตี้ความรัก แต่ Blue Valentine อาจจะไม่ใช่หนังที่เหมาะกับคนอกหักมาหมาดๆ ซักเท่าไหร่ เพราะบอกได้เลยว่าต่อให้คุณกำลังแฮปปี้มากมายแต่เมื่อดูหนังเรื่องนี้จบต้องมีเสียน้ำตากันได้แน่นอน Blue Valentine มีพล็อตเรื่องไม่ต่างจากพล็อตหนังรักหลายๆ เรื่องที่เล่าเรื่องตั้งแต่วันที่เริ่มรักถึงวันที่เลิกรา แต่วิธีการเล่าเรื่องตัดสลับไม่ระหว่างอดีตและปัจจุบัน รวมถึงการเเสดงอันยอดเยี่ยมของ ไรอัน กอสลิ่งและมิเชล วิลเลียมส์ ที่ถ่ายทอดความเปราะบางของความรักและความไม่รักได้สะเทือนใจ ซึ่งพอดูจบแล้วบอกเลยว่า นี่ไงแค่รักมันไม่พอจริงๆ
Gone Girl (2014)
ความน่าสนใจ ความตลกร้ายใน Gone Girl จึงดึงดูดผู้ชมได้ไม่ยาก ภาพยนต์เรื่องนี้เล่าเรื่องของ Nick ที่กลายเป็นผู้ต้องสงสัยหลักว่าฆ่าภรรยาที่หายตัวไป ซึ่งยิ่งตามหา เขายิ่งค้นพบความลับอันน่าตกใจ ราวกับเธอไม่ใช่ผู้หญิงที่เขารู้จักมาก่อน ; Gone Girl นำเสนอความสัมพันธ์แบบ dysfunctional relationship ได้อย่างสุดขั้ว เมื่อการพยายามเป็นคู่รักที่สมบูรณ์แบบหมายถึงการเปลี่ยนแปลงตัวเองให้เป็นจนกลายเป็นจุดเริ่มต้นของ ‘คำโกหก’ ในความสัมพันธ์ที่มันไม่อาจย้อนคืน
The Lobster (2016)
หนังรางวัลแห่งปี 2016 ที่ทำเอาเราจำชื่อของผู้กำกับอย่าง Yorgos Lanthimos ได้ขึ้นใจ The Lobster คือหนังดิสโทเปีย ที่พูดถึงโลกคู่ขนานซึ่งบังคับให้ประชาชนทุกคนห้ามโสด เพราะถ้าเมื่อไหร่ที่คุณโสดคุณจะถูกพาตัวเข้าโรงเเรมที่จะปรับเปลี่ยนพันธุกรรมให้คุณกลายเป็นสัตว์อะไรก็ได้ที่คุณเลือกไว้ทันที แต่คุณก็มีเวลาในการหาคู่เดทในโรงแรมแห่งนี้ถึง 45 วัน The Lobster ถ่ายทอดความตลกร้ายของ modern-day relationships ได้อย่างเฉียบคมสุดๆ เพราะแน่นอนว่าในโลกที่คุณถูกบังคับให้ต้องมีคู่ ความโรแมนติจึงถูกบั่นทอนให้เป็นเพียงเรื่องแฟนตาซีที่ไม่จำเป็นต้องมีก็ได้สำหรับทุกคน
RECOMMENDED CONTENT
เล่นกันแบบนี้เลย! Coming Soon: The Starcourt Mall! | Ha […]