พี่ครับ เมื่อวันก่อนครับ… ผมนั่งดู Youtube ไปเรื่อยเปื่อย ดันมีรายการผีที่เคยหลอกหลอนตอนเด็กๆโผล่ขึ้นมาทางด้านขวามือ แต่ผมก็ไม่ได้สนใจอะไร แต่เจ้านิ้วชี้ของผมนะสิ ดันละเมอไปคลิก ทันใดนั้นมีเสียง (เสียงอะไรครับน้อง – พี่ป๋อง) ฮื่อ ฮือ ฮื้อ ฮือ ฮื้อ ฮือ ฮื่อ~ ตู๊ด ตู๊ด ตู๊ด …
จริงๆแล้ววันก่อนได้นั่งดูรายการผียอดนิยมเมื่อประมาณเกือบๆ 20 ปีก่อน อย่างชมรมขนหัวลุก ในใจก็คิดว่าเราโตแล้วคงไม่มีปัญหาอะไร แต่ที่ไหนได้พอเปิดขึ้นมาปุ๊บ เสียงมาปั๊บ ขนแขนนี่ลุกขึ้นมาทีเดียว เลยมานั่งคิดต่อว่าจริงๆแล้วสิ่งที่เคยหลอกหลอนเราตอนเด็กๆ ใช่ว่าเวลาผ่านไปแล้วเราจะชนะมันเสมอไป แล้วก็ชวนให้คิดต่ออีกว่าตอนเด็กๆ ยังมีพวกละครหลังข่าวอย่างพวกปอบผีฟ้าอะไรอย่างนี้ ที่ดูแล้วไม่กล้าไปเข้าห้องน้ำทุกที
งั้นวันนี้เลยอยากชวนเพื่อนๆ ชาว Dooddot ย้อนรำลึกถึงละครที่เคยหลอกหลอนเราตั้งแต่เด็ก จนถึงปัจจุบันกันว่ามีเรื่องอะไรกันบ้าง?
1. ปอบผีฟ้า
เริ่มฉายเมื่อปี พ.ศ. 2518, 2540 และปี 2552
ออกอากาศทางช่อง 7
เริ่มกันที่เรื่องแรกขวัญใจใครหลายๆคนอย่าง ปอบผีฟ้า เพียงแค่เริ่มเข้าละครก็หลอนแล้ว เพราะมีหมาหอนอยูบนหน้าผา มีควันลอยเบาๆ (อันนี้เป็นเวอร์ชั่น พ.ศ. 2540 ที่ทุกคนยกนิ้วให้ว่าน่ากลัวที่สุด) เรื่องราวลึกลับข้ามภพข้ามชาติที่ก่อเนื่องมาจากความรัก และความแค้นของเจ้านางสองคนแห่งนครภูคำถึงแม้เวลาจะผ่านไปหลายร้อยปีความแค้นของเจ้านางสองคนแห่งนครภูคำยังไม่เคยจางหาย ก่อเป็นเรื่องราวลึกลับซับซ้อนระหว่าง 2 ภพ ทำให้ผู้คนที่มาเกี่ยวข้องต้องตาย และหากใครได้กินน้ำลายของผีเจ้าเข้า จะทำให้เกิดคำสาปกลายเป็นทายาทที่ต้องรับใช้ ปอบผีเจ้า ตลอดไป
ความสยองที่ยังตามหลอกหลอน! “ไม่ ไม่ ข้าอยากได้เลือด เลือด เลือด” เป็นเสียงที่ได้ยินแล้วต้องหยิบผ้าห่มมาคลุมโปงทุกที
*เกร็ดน่ารู้ คุณหมวย สุภาภรณ์ คำนวณศิลป์ ที่รับบทเป็นเจ้านางละอองทอง หรือปอบละอองทอง ยังบอกอีกว่าตอนถ่ายละครเรื่องนี้เขาเจออาถรรพ์มากมาย แต่ที่เห็นได้ชัดสุดน่าจะเป็นตอนแยกเขี้ยวในฉากท้ายของเพลง ที่ดูเหมือนมีคนยืนอยู่ข้างหลัง ทั้งที่จริงๆแล้ว กลับไม่มีใครอยู่เลย
2. ตุ๊กตา
เริ่มฉายเมื่อปี พ.ศ. 2531
ออกอากาศทางช่อง 7
เรื่องราวของเด็กชาวกัมพูชาผู้ถูกใช้แรงงานในโรงงานตุ๊กตาแห่งหนึ่ง ในเวลาต่อมาเกิดอาการป่วยอย่างหนักเดินร่อนเร่ ในขณะเดียวกันตุ๊กตาก็ถูกขายให้กับเด็กผู้หญิงคนหนึ่งไป และด้วยที่เด็กกัมพูชาคนนี้ผูกพันกับตุ๊กตามาก ก็ได้ส่งกระแสจิตผ่านทางตุ๊กตาเพื่อขอความช่วยเหลือจากเด็กหญิง เพราะต้องการกลับไปหาพ่อแม่อีกครั้ง แต่เรื่องราวไปจบเพียงเท่านี้ เพราะอาของเด็กหญิงรู้เข้าว่าตุ๊กตามีวิญญาณสิงอยู่ จึงเริ่มสืบหาข้อมูลจนสุดท้ายก็เผาโรงงานนรกสำเร็จ สุดท้ายเด็กกัมพูชาก็ตายไปเพราะอาการป่วยหนัก
ความสยองที่ยังตามหลอกหลอน! ‘พี่ตุ๊กตาจ๋า’ เป็นคำที่มีทั้งความน่ารักและหลอนในเวลาเดียวกัน และฉากตุ๊กตาค่อยๆ เดิน ช้าๆ ช้าๆ แล้วกล้องก็โคลสอัพให้เห็นแต่ขา ฉากนี้ทำให้หลายคนไม่อยากซื้อตุ๊กตาอีกต่อไป สุดท้ายแห่งความคลาสสิคคงไม่พ้น เนื้อร้อง ‘หนูอยากกลับบ้าน’ แค่ได้ยินก็อยากเอามือปิดหูแล้ว
*เกร็ดน่ารู้ ในเวลานั้นเป็นช่วงที่ประเทศไทยกำลังนิยมตุ๊กตาแบบนี้พอดี ทำให้เด็กหลายๆ คนไม่กล้าเล่นกับตุ๊กตา เพราะละครเรื่องนี้
ขอบคุณรูปภาพจาก http://www.posttoday.com/ent/thai/305065
3. ห้องหุ่น
เริ่มฉายเมื่อปี พ.ศ. 2519, 2532 ,2546 และถูกสร้างเป็นภาพยนตร์ ในปี 2558
ออกอากาศทางช่อง 7
นพ ผู้สูญเสียน้องสาว ภายหลังที่หุ่นขี้ผึ้งรูปเหมือนของเธอปั้นเสร็จ หลังจากนั้นเขาได้พบเหตุการณ์บางอย่าง ซึ่งทำให้เขาเชื่อว่าหุ่นขี้ผึ้งเป็นสาเหตุของการตายของคนหลายๆคน การสืบค้นข้อมูลทำให้เขาได้พบ พลอย ที่เพิ่งสูญเสียพ่อของเธอไป เมื่อหุ่นขี้ผึ้งรูปเหมือนพ่อของเธอปั้นเสร็จ ตอนแรกเธอไม่เชื่อเรื่องการตายปริศนาจากหุ่นขี้ผึ้ง แต่หลังจากที่เธอได้รับรูปปั้นพ่อของเธอถูกส่งมาที่บ้าน เหตุการณ์หลายๆอย่างได้เกิดขึ้นกับเธอ ต่อมาทั้งสองคนมาพบกันอีกครั้งหนึ่งที่บ้านช่างปั้นหุ่นขี้ผึ้ง จนในที่สุดทั้งสองคนได้พบคำตอบของทุกอย่างจากบ้านหลังนี้ (ขอบคุณข้อมูลจาก wikipedia ห้องหุ่น)
ความสยองที่ยังตามหลอกหลอน! ตอนนั้นจำได้ว่าเวลาถึงซีนที่ต้องเข้าไปในห้องหุ่น ต้องรีบเอามือปิดตาแล้วค่อยๆแง้มดูผ่านนิ้ว คือมันจะให้ความรู้สึกเหมือนหุ่นพวกนั้นกำลังจ้องมาที่เรา บวกกับเทคนิคการถ่ายแบบโครตโคลสอัพ ทำให้สยองเข้าไปใหญ่ อีกความคลาสสิคคือหุ่นคุณท่านที่นั่งบนเก้าอี้ คือปกติแกชอบนั่งเก้าอี้ตัวนี้อยู่แล้ว แต่พอแกตายไป ดั๊น!ไปปั้นแกกลับมานั่งที่เดิมอีก แล้วเวลาเดินผ่านแกมักจะโยงเบาๆ พร้อมกับควันลอยเอื่อยๆ ~โครตหลอนเลย
4. สุสานคนเป็น
เริ่มฉายเมื่อปี พ.ศ. 2515 – 2517, 2525 ,2534 ,2545 และ ในปี 2557
ออกอากาศทางช่องททบ. 5 ในยุคแรกๆ ก่อนที่จะเป็นช่อง 7 อย่างที่เราเห็นกันทุกวันนี้
จะมีละครสักกี่เรื่องที่สามีต้องมานอนอยู่กับศพภรรยาตัวเองในโรงศพ! เนื้อเรื่องประมาณว่า ลั่นทม เศรษฐิ เจ้าของธุรกิจเสื้อผ้าที่มีชื่อเสียงและร่ำรวย ประสบอุบัติเหตุรถคว่ำ ร่างกายไม่มีบาดแผลฉกรรจ์ แต่แน่นิ่งไม่เคลื่อนไหวใดๆ และไม่มีลมหายใจ หมอลงความเห็นว่าตายแล้ว แต่อุษาหลานสาวรู้สึกว่ามือของลั่นทมพยายามจะบีบมือ เธอยืนยันว่าลั่นทมยังไม่ตาย แต่ไม่มีใครเชื่อ รวมทั้งชีพสามีของลั่นทม ชีพยินดีด้วยซ้ำที่ลั่นทมตาย เพราะเขาจะได้อยู่กินกับรสสุคนธ์ เมียเก็บอย่างเปิดเผยเสียที ในที่สุดลั่นทมก็ถูกเผาทั้งเป็น
ตอนสุดท้ายของเรื่อง รสสุคนธ์ เมียเก็บถูกลั่นทมบังคับให้เข้าไปอยู่ใต้โลงศพ น้ำเหลืองจากศพของลั่นทมหยอดลงใบหน้ารสสุคนธ์ จากนั้นลั่นทมก็จัดการขังรสสุคนธ์กับชีพให้อยู่ด้วยกันในโกดังเก็บศพในวัด ทั้งสองหิวโหยต่างแย่งเครื่องเซ่นโลงศพกัน ในที่สุดชีพก็ตัดสินใจฆ่ารสสุคนธ์จนตาย ส่วนชีพเป็นบ้าไปในที่สุด (ขอบคุณข้อมูลจาก wikipedia สุสานคนเป็น)
ความสยองที่ยังตามหลอกหลอน! ภาพที่ยังติดตาเลยคงหนีไม่พ้นฉากที่เปิดตู้เสื้อผ้าแล้วเจอลั่นทม เป็นฉากที่สร้างความหลอนมากๆในยุคนั้น ทำให้หลายๆคนไม่กล้าเปิดตู้เสื้อผ้าไปพักใหญ่ เพราะกลัวว่าจะเจอลั่นทมเหมือนในละคร แต่ที่พีคกว่านั้นคือฉากสุดท้ายที่ ลั่นทม ลากชีพ กับ รสสุคนธ์ ไปนอนในโลงศพ ด้วยกัน ฉากนี้ทั้งโหด ทั้งหลอนในเวลาเดียวกัน อย่างที่บอกไปสุดท้ายชีพเป็นบ้า
*เกร็ดน่ารู้ ได้รับแรงบันดาลใจมาจากเรื่องเล่าลือที่ว่า มีผู้ที่ตายแล้วฟื้นที่วัดแก้วฟ้าจุฬามณี ที่ย่านศรีย่าน หลายๆคนลงความเห็นว่าเวอร์ชั่นที่น่ากลัวที่สุดคือปี พ.ศ. 2534 รับบทโดย แก้ว อภิรดี ภวภูตานนท์ เพราะว่าการแสดงและบรรยากาศในหนังลงตัวที่สุด
ขอบคุณรูปภาพจาก pantip ของสมาชิกหมายเลข 1543834
5. ทายาทอสูร
เริ่มฉายเมื่อปี พ.ศ. 2535, 2544 และ ในปี 2558
ออกอากาศทางช่องททบ. 5 ก่อนที่จะเป็นช่อง 7 และปัจจุบันกำลังจะฉายในช่อง 3
เมื่ออสูรร้ายหมายจะสืบทายาท เหล่ามนุษย์ผู้เวียนว่ายอยู่ในสายธารกิเลสคนใดจะได้รับมรดกอันน่าสะพรึงกลัวนี้ คุณยายวรนาฏ สตรีผู้งามสง่าและเร้นลับ เก็บตัวเพียงลำพังแม้เธอจะมี อายุ 70 กว่าปี แต่เหมือนหยุดเวลาไว้ที่วัยเพียง 40 ได้รับมรดกตกทอดจากยายทรัพย์ไม่ว่าจะเป็นเรือนไม้ทรัพย์สิน รวมถึงอำนาจไสยดำที่ถ่ายทอดให้ผ่านพิธีกรรมสืบทายาท ทำให้วรนาฏกลายเป็นร่างที่สถิตแห่งอสูรร้าย (ขอบคุณข้อมูลจาก wikipedia ทายาทอสูร)
ความสยองที่ยังตามหลอกหลอน! ความน่ากลัวของคุณยายวรนาฏ อยู่ที่ถ้าหากใครสงสัย หรือคิดที่จะต่อต้าน รับรองว่าคืนนั้นจะได้เจอกันตัวอย่างแน่นอน โดยส่วนมากแล้วจะไม่มีชีวิตรอดผ่านค่ำคืนนี้ แต่ฉากคลาสสิคสุดต้องยกให้ฉากที่ปล่อยตะขาบออกจากปาก เพื่อถ่ายทอดพลังอสูรให้ ฉากนี้ทั้งน่ากลัวและขยะแขยงในเวลาเดียวกัน
*เกร็ดน่ารู้ หลายๆคนชอบเวอร์ชั่นแรกมากกว่า ที่ คุณเหมี่ยว ชไมพร จตุรภุช แสดง เพราะว่าการแต่งหน้าที่ยังไม่ทันสมัย ทำให้รู้สึกถึงความดิบและน่ากลัว
Writer: Suvisit Rukparyoon
RECOMMENDED CONTENT
ภาพหายากที่คุณไม่เคยเห็นมาก่อนเมื่อ Harrison Ford หลุดขำ กลางรายการให้สัมภาษณ์รายการทีวีของอังกฤษ This Morning เกี่ยวกับภาพยนตร์เรื่องล่าสุดของเขา #BladeRunner2049