วันหยุดยาวที่จะถึงนี้ วางแผนไปเที่ยวไหนกัน ? ใครที่เที่ยวในประเทศเบื่อแล้ว อยากเปลี่ยนบรรยากาศไปสัมผัสธรรมชาติและความสงบในต่างแดนบ้าง ดู๊ดดอทขอแนะนำประเทศที่หลายคนใฝ่ฝัน หรือใครที่ไปบ่อยแค่ไหนก็ไม่เบื่ออย่างประเทศญี่ปุ่น ญี่ปุ่นมีดีอะไร ทำไมใครๆก็หลงรัก ที่สำคัญยังเที่ยวได้ทุกฤดูอีกด้วย เพราะแต่ละฤดูของประเทศนี้ก็มีสิ่งน่าสนใจในแต่ละสถานที่แตกต่างกันไป แม้เวลาสั้นๆ ที่จะถึงนี้แต่ละคนจะเตรียมตัวไปเที่ยวหน้าหนาวกันแล้ว แต่ก็มีบางคนที่วางแผนระยะยาวจะไปเที่ยวช่วงปีหน้า ไม่ว่าจะเป็นช่วงฤดูใบไม้ผลิ หน้าร้อน หรือช่วงใบไม้ร่วงก็ตาม
โดย 6 ที่พักใจในญี่ปุ่นที่ทีมงานดู๊ดดอทไปสัมผัสครั้งนี้ ได้รับการสนับสนุนจาก องค์การส่งเสริมการท่องเที่ยวแห่งประเทศญี่ปุ่น (Japan National Tourism Organization หรือ JNTO) ร่วมกับสายการบินนกสกู๊ต ซึ่งเป็นเที่ยวบินจากสนามดอนเมือง (กรุงเทพฯ) ถึง สนามบินนาริตะ (ญี่ปุ่น) ที่ทำให้เราเดินทางสะดวกสบาย และง่ายตลอดการเดินทาง ทั้งนี้ ภาพที่นำมาฝากอยู่ในช่วงฤดูร้อนของญี่ปุ่น (เดือนสิงหาคม) เอาเป็นว่า.. น่าไปขนาดนี้จะมีที่เที่ยวที่ไหนบ้างเลื่อนตามมาอ่านต่อกันเล้ย!!
วัดเซนโซจิ (Sensoji Temple)
เริ่มทริปด้วยการเข้าวัดขอพร ที่วัดเซนโซจิ หรือ วัดอาซากูซะ ซึ่งอยู่ในย่านอาซากูซะ โตเกียว เรียกได้ว่าเป็นวัดเก่าแก่ขึ้นชื่อที่ใครมาญี่ปุ่นก็ต้องมาวัดนี้ และซึมซับวัฒนธรรมของคนญี่ปุ่นที่เราสังเกตได้จากในวัด รวมถึงสถาปัตยกรรมเก่าแก่ที่สวยงาม ที่เห็นเด่นชัดตั้งแต่ซุ้มประตูทางเข้าที่กลายเป็นจุดถ่ายรูปเช็คอินยอดฮิตของทุกคนไปแล้ว คงเป็นเพราะความพิเศษของโคมแดงอันใหญ่ที่แขวนไว้ภายในซุ้มประตูด้านหน้า จึงทำให้แต่ละคนรุมถ่ายรูปกันอย่างไม่ขาดสาย ซึ่งถ้าสังเกตดีๆ ใต้โคมแดงจะมีไม้แกะสลักเป็นรูปมังกรอยู่ เป็นการบอกเล่าเรื่องราวตามความเชื่อของชาวญี่ปุ่น ที่เชื่อว่ามังกรเป็นเหมือนเทพเจ้า สามารถทำให้ฝนตกเพื่อปกป้องผู้คนและบ้านเรือน เนื่องจากสมัยก่อนบ้านเรือนส่วนใหญ่เป็นไม้และเกิดไฟไหม้ได้ง่าย
เมื่อเดินผ่านซุ้มประตูเข้ามา มองย้อนกลับไปจะเห็นรองเท้าทำจากฟางขนาดใหญ่ น้ำหนัก 2500 กก.เรียกว่า โฮโซมง เป็นอีกหนึ่งอุปกรณ์ปัดเป่าภัยร้าย เดินต่อมาเรื่อยๆ ก็จะผ่านถนนนากามิเซะ (Nakamise dori) คือเป็นถนนเส้นยาวก่อนถึงด้านในวัดหรือจุดขอพร ทุกคนสามารถซื้อขนมของกินแล้วยืนกินที่หน้าร้าน หรือจะซื้อของฝาก ของที่ระลึกน่ารักๆ เยอะมาก นอกจากนี้ ระหว่างทางยังได้เห็นประติมากรรมของเจดีย์ที่งดงามอีกด้วย
อีกจุดเด่นที่ตั้งอยู่หน้าศาลาวัด คือกระถางธูปขนาดใหญ่ ที่มีความเชื่อว่าถ้ากวักเอาควันธูปเข้าหาตัวจะนำความโชคดีมาให้ และบริเวณรอบๆ ยังมีบ่อน้ำให้ล้างมือหรือบ้วนปากก่อนเข้าไปภายในศาลเจ้าเพื่อชำระล้างร่างกายให้บริสุทธิ์ อีกทั้งในศาลาวัดแห่งนี้ยังมีให้เสี่ยงเซียมซี และทำบุญ ซึ่งห้ามถ่ายรูปเด็ดขาดเพราะถือเป็นสถานที่ศักดิ์สิทธิ์
___
เกาะเอโนะชิมะ (Enoshima)
จากวัดในโตเกียวเราสามารถนั่งรถไฟใช้เวลาเพียง 1 ชั่วโมงนิดๆ หรือจะขับรถเพื่อมาเที่ยวที่ “เกาะเอโนะชิมะ” เองก็ได้ เพราะที่นี่อยู่ในจังหวัดคานางาวะ (Kanagawa) ใกล้โตเกียวเลย บรรยากาศระหว่างทางเข้าเกาะก่อนจะถึงจุดจอดรถ ก็จะเห็นคนญี่ปุ่นมาทำกิจกรรมทางน้ำในช่วงวันหยุด ไม่ว่าจะเป็นชายหาดขนาดย่อมที่คนพื้นที่พาครอบครัวมาเล่นน้ำ หรือเล่นเซิร์ฟบอร์ด และเจ็ทสกี ฯลฯ จึงรู้สึกผ่อนคลายเพียงแค่ทอดสายตาผ่านวิวสองข้างทาง
เมื่อจอดรถแล้วจุดแรกที่เราจะเริ่มเดิน คือ Benzaiten Nakamise Street เป็นถนนสายเล็กๆ ที่รายล้อมไปด้วย ร้านของฝาก ร้านขายอาหารและขนมท้องถิ่นมากมาย เหมือนบ้านเราที่มีร้านขายของริมทะเลนั่นแหละ
พอเดินตามทางไปเรื่อยๆ ก็จะถึงทางเข้าศาลเจ้า Enoshima Shrin ที่คนส่วนใหญ่มักจะมาขอพรด้านความรักให้สมหวัง เราจึงเห็นป้ายขอพรสีชมพูหลายจุดมาก ระหว่างเดินขึ้นมีบันได และบันไดเลื่อนด้วยบางจุด ซึ่งภายในศาลเจ้านี้จะแบ่งย่อยไปอีก 3 ศาลเจ้า
ได้แก่ ศาลเจ้า Hetsunomiya ภายในมีบ่อน้ำศักดิ์สิทธิ์ให้ผู้คนที่มาได้ร่อนเหรียญในน้ำและนำกลับไปเก็บไว้เป็นสิริมงคล และเมื่อขึ้นมาขอพรเรียบร้อยแล้ว ฝั่งซ้ายจะมีกล่องทำนายใบละ 200 เยน ใครที่ไม่อยากนำกลับบ้านก็จะมีจุดให้ผูกคำทำนายที่ไม่ดีไว้
ต่อมาคือศาลเจ้า Nakatsuno miya สีแดงสด มีสัญลักษณ์รูปหัวใจสีชมพู เมื่อทุกคนที่มาขอพรด้านความรักอธิฐานจบก็จะจับเชือกสั่นระฆังด้านบนเป็นอันเสร็จขั้นตอน และสุดท้ายศาลเจ้า Okutsu no Miya เรียกได้ว่าเป็นที่ตั้งของถ้ำมังกรนั่นเอง
แน่นอนว่าไฮไลท์ของการขึ้นมาด้านบนเกาะนี้ นอกจากจะได้ชมความงดงามของวิวจากประภาคารแล้ว ใครที่มีเวลาไม่พอก็สามารถชมวิวจากบริเวณติดกับร้านกาแฟ ถ่ายรูปวิวสวยๆ หรือมองผ่านกล้องส่องทางไกลที่ติดไว้ตามจุดชมวิวได้อีกด้วย
___
ทะเลสาบอาชิ (Lake Ashi)
จากเกาะเอโนะชิมะ เรายังคงอยู่จังหวัดคานางาวะกันต่อ แต่จะย้ายไปเมืองฮาโกเน่ ที่ขึ้นชื่อเรื่องความสวยงามและธรรมชาติที่สมบูรณ์ของทะเลสาบอาชิ แถมไกด์ยังกระซิบบอกเราอีกว่าถ้าโชคดีจะมองเห็นภูเขาไฟฟูจิได้ในขณะล่องเรือด้วย การล่องเรือจะใช้เวลาประมาณ 10-20 นาที ขึ้นจากท่าเรือ Hakone-machi ไปลงท่าเรือ Togendai
เมื่อซื้อตั๋วแล้ว ก็เดินไปขึ้นเรือคล้ายเรือโจรสลัดขนาดใหญ่สีแดง ชั้นล่างสุดจะมองเห็นน้ำใกล้หน่อย และมีบาร์สำหรับสั่งเครื่องดื่มด้วย พอขึ้นไปชั้นสองเราก็ยืนรับลมเย็นๆ พร้อมถ่ายรูปวิวน้ำสีน้ำเงินตัดกับท้องฟ้าและภูเขา หรือใครอยากสัมผัสบรรยากาศวิวแบบพาโนรามาก็ขึ้นไปชั้นบนสุด
แม้การเดินทางมาถึงจุดที่ 3 จะยังไม่เห็นภูเขาไฟฟูจิ แต่เราก็อยากให้ทุกคนมาลุ้น (ตอนที่ 2) ว่าจะมีที่ไหนที่ทำให้เราได้เห็นภูเขาไฟฟูจิบ้าง เอาเป็นว่าครั้งหน้ามาอ่านการเดินทางมุ่งหน้าไปหุบเขานรกกันต่อ และยังมีสถานที่ไหนอีกบ้าง ที่จะทำให้คุณหลงเสน่ห์ญี่ปุ่นจนต้องรีบจองตั๋วเร็วแค่ไหน อยากให้อดใจรออีกนิด….
RECOMMENDED CONTENT
พาเที่ยวในโตเกียว ซื้อรองเท้า ให้'สายวิ่ง' เก็บตก ที่เที่ยว ช้อปปิ้ง หลังจากงานวิ่ง Tokyo Marathon . INSIDER JOURNY EP5 : เมื่อ 'สายวิ่ง' เก็บตก Shopping หลัง วิ่งในงาน Tokyo Marathon . Dooddot x Running Insider x Runner’s journey