หลังจากที่ไปเที่ยว 3 สถานที่ของ 6 ที่พักใจในญี่ปุ่น หลบหนีวันวุ่นๆ ไปสัมผัสธรรมชาติให้ชุ่มปอด (ตอนที่ 1 ) กันไปแล้ว ล่าสุด! เราค้างสถานที่สุดท้าย ด้วยการนั่งเรือชมวิวที่ทะเลสาบอาชิเอาไว้ในตอนที่แล้ว ซึ่งก็หวังว่าระหว่างที่ล่องเรือจะเจอฟูจิโผล่ออกมาให้เห็น แต่ก็ไร้วี่แวว อ่ะ! ไม่เป็นไร เพราะตอนที่ 2 นี้ ยังคงเหลืออีกสามสถานที่ที่คิดว่าจะได้ถ่ายรูปภูเขาไฟฟูจิสักภาพแน่ๆ และในตอน 2 นี้หลังจากที่ล่องเรือในทะเลสาบอาชิมาจนถึงจุดหมายปลายทาง ก็มาลงที่ท่าเรือโทเง็นได(togendai-ko) เพื่อนั่งกระเช้าลอยฟ้าไปชมหุบเขานรกเป็นที่แรก
หุบเขาโอวาคุดานิ / หุบเขานรก (Owakudani)
เรานั่งกระเช้าจากท่าเรือโทเง็นได โดยกระเช้านั่งได้ประมาณ 15 คน ระหว่างทางสามารถชมวิวธรรมชาติจากมุมสูงได้อย่างจุใจ ก่อนที่จะลงสถานีโอวาคุดานิ และแม้ระหว่างที่นั่งกระเช้าจะยังไม่เจอฟูจิ เราก็ขอมาโฟกัสกันที่หุบเขานรกกันต่อ ซึ่งเมื่อลงจากกระเช้าแล้วเดินต่อไปอีกนิดหน่อย (ใครจะเดินตามกลิ่นกำมะถันไปก็ได้) ก็จะถึงจุดที่เกิดการปะทุของภูเขาไฟที่ไม่มีการระเบิดมานานแล้ว แต่พื้นผิวด้านล่างยังคงมีความร้อนอยู่ตลอดเวลา จึงทำให้น้ำที่อยู่ด้านล่างใต้ผิวดินพวยพุ่ง และระเหยกลายเป็นไอน้ำออกมา พร้อมกับกลิ่นกำมะถัน เพราะบริเวณนี้มีแร่กำมะถันหรือซัลเฟอร์จำนวนมาก บางจุดเป็นสีเหลืองและไอที่ลอยในอากาศก็เป็นควันสีขาว จากจุดนี้เท่ากับเราอยู่บนความสูง 1,050 เมตรจากระดับน้ำทะเล นอกจากนี้บริเวณรอบๆ ยังมีท่อส่งน้ำจากบ่อต่างๆ ออกไปยังออนเซนในบริเวณใกล้แถวนั้นหลายที่อีกด้วย
ถ่ายรูปกับควันที่พวยพุ่งเสร็จแล้วก็อย่าลืมเดินไปจุดที่ขายไข่ดำด้วย เพราะเรียกได้ว่าทุกคนที่ไปส่วนใหญ่มักจะซื้อไข่ดำมากินกันทั้งนั้น โดยมีความเชื่อเรื่องอายุยืนยาวนาน 7 ปี หากได้กินไข่ดำหนึ่งฟอง แต่วันที่เราไปคนเยอะมากๆ เลยตัดสินใจเดินดูของกินอย่างอื่น หนึ่งในของอร่อยที่น่าสนใจคือซอฟท์ไอศกรีมที่ทำจากไข่ เลือกได้เลยว่าจะเอาไอศกรีมสีเหลืองทำจากไข่ล้วนๆ สีขาวล้วน หรือทูโทน แต่แอบเตือนไว้นิดสำหรับคนไม่ชอบกินหวานก็ข้ามการกินไอศกรีมนี้ได้เหมือนกัน
___
สะพานแขวนมิชิมะ (Mishima Skywalk)
จากเมืองฮาโกเน่เราขับรถต่อมาที่ สะพานแขวนแห่งใหม่ที่เป็นสัญลักษณ์และตั้งอยู่ในเมืองมิชิมะ (Mishima) จังหวัดชิซุโอกะ (Shizuoka) ด้วยระยะทางบนสะพานที่ยาวกว่า 400 เมตร จึงทำให้ที่นี่กลายเป็น สะพานแขวนคนเดินที่ยาวสุดในประเทศญี่ปุ่น แม้บรรยากาศจะไม่ค่อยเหมาะสำหรับคนกลัวความสูงสักเท่าไหร่ เพราะทั้งลมแรงและสูงมากอยู่ แต่สำหรับคนที่ชื่นชอบการชมวิวแบบ 360 องศา บริเวณนี้เหมาะมาก คือนอกจากจะได้ภาพธรรมชาติสวยๆ ถ้าโชคดีไปช่วงท้องฟ้าโปร่งก็จะเห็นภูเขาไฟฟูจิเป็น background ให้สะพานแขวนแห่งนี้ด้วย แต่เราโชคไม่ค่อยดีเท่าไหร่ เลยไม่เห็นภูเขาไฟฟูจิ
เมื่อเดินไปจนสุดสะพานเราจะเจอเครื่องรางไม้แปรรูปราคา 200 เยน พอจ่ายเงินเสร็จก็ให้หยิบเครื่องรางนี้มาขอพร แล้วโยนจากบนสะพานลงไป เชื่อกันว่าหลังจากที่โยนไปแล้ว จะได้เห็นดอกไม้ที่ชื่นชอบเบ่งบาน ตรงจุดใกล้กันนี้ยังมีร้านอาหารและจุดที่ให้ได้นั่งพักผ่อน รวมถึงมี Sky Garden สวนดอกไม้ลอยฟ้าให้ได้ถ่ายรูปเก็บไว้เป็นที่ระลึกด้วย
___
ชายหาดมิโฮ (Miho Beach)
เรายังคงอยู่กันที่ชิซูโอกะ และจะจบสถานที่สุดท้ายกันที่ ชายหาดมิโฮ(Miho Beach) คาบสมุทรที่ยื่นออกไปในอ่าวซุรุกะ(Suruga Bay) เมื่อจอดรถแล้วต้องเดินผ่าน Hagaromo Park คือสวนที่มีต้นสนเรียงสองข้างทาง จากนั้นจึงขึ้นบันไดมาที่บริเวณหน้าหาด แน่นอนว่าคนส่วนใหญ่ชอบมาดูภูเขาไฟฟูจิกันที่นี่ เพราะหากลองจินตนาการตามภาพวาดที่เราเคยเห็นกันบ่อยๆ ก็มาบริเวณนี้ที่มีฟูจิท่ามกลางชาดหาดและต้นสน
ใช่แล้ว! สิ่งหนึ่งที่ขึ้นชื่อและเป็นตำนานของชายหาดแห่งนี้คือ ต้นสนอายุมากกว่า 650 ปี จากข้อมูลจะมีต้นสนอยู่ต้นหนึ่งเรียกว่า Hagoromo-no-Matsu โดยมีตำนานเล่าต่อกันว่า มีชายชาวประมงคนหนึ่งที่พบเชือกของนางฟ้าจากสรวงสวรรค์ ซึ่งแขวนอยู่บนกิ่งของต้นสนต้นนี้ จนกลายเป็นอีกจุดหนึ่งที่สวยงามของชายหาดแห่งนี้ และความสวยงามของพื้นทรายที่เป็นหินก้อนเล็กๆ สีดำ ผสมกับหินก้อนน้อยใหญ่ ทำให้เกิดดิสเพลย์ขนาดใหญ่ที่มองทีไรก็ผ่อนคลาย แม้สุดท้ายเราจะยังไม่ได้เห็นฟูจิก็ตาม
เป็นยังไงกันบ้างกับการไปเที่ยวญี่ปุ่น 6 สถานที่ในทั้งสองตอนที่เราเลือกมาแชร์วันนี้ แอบเสียดายที่ทำให้ทุกคนลุ้นว่าจะได้เห็นฟูจิแต่สุดท้ายก็ไม่เจอใน 6 ที่นี้ แต่ก็ยังดีที่ได้เห็นปลายฟูจิจากด้านบนในขณะที่เราขึ้นเครื่องกลับ แต่รับรองว่าถ้าหากทุกคนได้มีโอกาสมาสัมผัสที่พักใจเหล่านี้จริงๆ อาจจะได้เจอฟูจิ หรือเก็บภาพความประทับใจได้มากกว่าที่เราเล่าเยอะจริงๆนะ ถ้าไม่ออกมาสักทีคงไม่ได้เห็นอะไรดีๆ แบบนี้ ถึงเวลาวางแพลนจองตั๋วแล้ว งั้นก็ออกมาลุยเล้ยยยย
RECOMMENDED CONTENT
ซีรีส์ The Last of Us เล่าเรื่องราว 20 ปีหลังจากอารยธรรมสมัยใหม่ถูกทำลาย โจเอล ผู้รอดชีวิตได้รับการว่าจ้างให้พาตัวเอลลี เด็กหญิงอายุ 14 ปี ออกจากเขตกักกัน ภารกิจเล็กๆกลับกลายเป็นการเดินทางที่โหดร้ายและน่าสลดในไม่ช้า เมื่อทั้งคู่ต้องเดินทางข้ามสหรัฐอเมริกาและช่วยเหลือกันเพื่อความอยู่รอด