สุภาพบุรุษทั้ง 7 ดังต่อไปนี้ คือบุคคลที่มีอิทธิพลต่อวงการสตรีทแฟชั่น ผู้สร้างสิ่งแปลกใหม่ ขับเคลื่อน และชี้นำเทรนด์ในการแต่งตัวของคนยุคใหม่ได้เป็นอย่างดี จะมีใครบ้างไปดูกันเลยดีกว่า
Hiroki Nakamura
เขาคนนี้คือผู้ก่อตั้งและดีไซเนอร์แห่งแบรนด์เสื้อผ้าผู้ชายจากญี่ปุ่น “Visvim” ก่อตั้งขึ้นในปี 2000 เอกลักษณ์ของเสื้อผ้าแบรนด์นี้ก็คือสไตล์วินเทจ ที่มีกลิ่นอายความเป็นพื้นเมือง Americana และญี่ปุ่นย้อนยุค (ที่มีราคาสูงมว๊ากก) เน้นความสวยงามแบบเรียบง่าย ผ่านเท็กซ์เจอร์ของเสื้อผ้าอันประณีต แต่ในขณะเดียวกันเมื่อนำมาใส่แล้ว กลับก่อให้เกิดลุคที่ดูแมน แบบ ‘rugged and handsome’ อย่างที่ผู้ชายควรจะเป็น
Pharrell Williams
คงไม่ต้องมานั่งอธิบายถึงสรรพคุณอันเลอเลิศของพ่อหนุ่มอัจฉริยะคนนี้ให้มากความ นอกจากจะเป็นนักดนตรี นักแต่งเพลง โปรดิวเซอร์ และแร็ปเปอร์ผู้คร่ำหวอดอยู่ในวงการดนตรีมากว่า 20 ปีแล้ว พ่อหนุ่ม Pharrell Williams ยังหันมาเอาดีทางด้านแฟชั่นกับเขาด้วย โดยในปี 2005 เขาได้ร่วมก่อตั้งแบรนด์สตรีทแวร์ร่วมกับ Nigo อย่าง “Billionaire Boys Club” และแบรนด์สนีกเกอร์ “Ice Cream” โดยทั้งสองแบรนด์มีจุดเด่นอยู่ตรงที่ลวดลายกวนๆสนุกๆ และสีแสบๆ ที่ใส่แล้ว oh, so cool สุดๆ แถมยังเน้นที่การผลิตแบบ Made in Japan ที่ทำให้ภูมิใจได้เลยว่าซื้อมาใส่แล้วไม่มีเกร่อแน่นอน (แต่ราคาก็สูงลิ่วตามไปด้วย) ทำให้มีกลุ่มลูกค้าที่ตามติดแบบเหนียวแน่น จนมีแฟล็กชิพสโตร์อยู่ในเมืองแฟชั่นชั้นนำระดับโลกถึง 3 แห่งด้วยกัน ได้แก่ นิวยอร์ก โตเกียว และฮ่องกง ยัง…ยังไม่จบเพียงเท่านั้น ในปี 2014 หนุ่ม Pharrell ก็ได้จับมือเป็นพาร์ตเนอร์กับแบรนด์กีฬาระดับโลกอย่าง adidas ซึ่งจนถึงตอนนี้ก็ขนคอลเล็คชั่นออกมากวาดเงินในกระเป๋าของแฟนๆไปเพียบ ตั้งแต่ Pharrell Williams x adidas Consortium “Solid Pack” Collection, Pharrell Williams x adidas Originals “Polka Dot” Pack และล่าสุดกับ Pharrell Williams x adidas Originals Superstar “Supercolor” ที่ต่างก็ประสบความสำเร็จเอามากๆ ก็อย่างว่าแหละ ขึ้นชื่อว่าเป็น Pharrell Williams เสียอย่าง ใครบ้างจะไม่อยากได้?
Nigo
มาต่อกันที่เจ้าพ่อสตรีทแวร์จากแดนอาทิตย์อุทัยคนนี้กันเลย กับ Nigo ดีไซเนอร์ และผู้ก่อตั้งแบรนด์สตรีทแวร์สำหรับทั้งผู้ชาย และผู้หญิงอันเลื่องชื่อ “A Bathing Ape” หรือ BAPE ในปี 1993 ที่นับจนถึงปัจจุบัน ได้มีการเปิดร้านมากถึง 19 สาขาในประเทศญี่ปุ่น อาทิ ร้าน Bape ร้าน Bape Pirate ร้าน Bape Kids ร้าน Bapexclusive Aoyama และร้าน Bapexclusive Kyoto ซึ่งสำหรับสาขาที่เกียวโต ยังมีส่วนของ Bape Gallery สเปสสำหรับจัดงานศิลปะ และงานอีเว้นท์ต่างๆของทาง Bape โดยเฉพาะ นี่ยังไม่นับรวมร้านตัดผม Bape Cuts และ Bape Café อีกนะ (รวยไม่รู้เรื่องแล้วจ้า) ส่วนปัจจุบัน เขายังดำรงตำแหน่งเป็นครีเอทีฟ ไดเร็กเตอร์ ให้กับ UT แบรนด์เสื้อยืดของ Uniqlo อีกด้วย
Yohji Yamamoto
เขาคือนักออกแบบชาวตะวันออกคนสำคัญวัย 70 ปี ที่เปลี่ยนการแต่งกายของสุภาพบุรุษในตะวันตกให้เต็มไปด้วยความลึกลับ หลังประสบความสำเร็จสร้างชื่อเสียงให้แก่ตัวเองบนถนนแฟชั่นระดับโลกอย่างกรุงปารีส ด้วยการใช้สีดำ และเทคนิคการเดรปผ้าผสมผสานโครงสร้างแบบดีคอนสตรักต์ (Deconstruct) ในทุกคอลเล็คชั่นที่เขาออกแบบจนกลายเป็นลายเซ็นที่ติดตัวเขามาตลอดระยะเวลา 32 ปี ในอาชีพการเป็นดีไซเนอร์ ด้วยภาพลักษณ์เสื้อผ้าของ Yamamoto ที่ดูล้ำ และสูงเกินเอื้อมในหลายๆครั้ง เขาจึงได้ร่วม collaborate กับแฟชั่นแบรนด์อื่นๆ รวมถึงการร่วมมือกับ Adidas ที่ทำให้เกิด “Y-3” ถือเป็นไลน์ไฮเอนด์ของแบรนด์สตรีทแวร์ดังกล่าว โดยมีรองเท้ารุ่น Qasa ที่โดดเด่น และป๊อปปูล่าสุดๆ โดยเฉพาะรุ่น “All Black” ที่ต่อให้เรียกว่าเป็นรองเท้าสนีกเกอร์ แต่ก็ยังคงอัดแน่นไปด้วยเอกลักษณ์เรียบแต่หรูในแบบของ Yamamoto ทุกกระเบียดนิ้ว
Kanye West
พ่อหนุ่ม trendsetter แห่งยุคคนนี้ นอกจากจะมีบทบาทของศิลปิน และโปรดิวเซอร์มากความสามารถ การันตีด้วยรางวัลจากหลายต่อหลายสถาบันแล้ว เขายังมี passion และความสามารถในเรื่องของแฟชั่นได้อย่างน่าทึ่ง โดยในปี 2009 เขาได้จับมือร่วมกับ Nike ปล่อยคอลเล็คชั่นรองเท้ารุ่น “Air Yeezy” เอดิชั่นแรกออกมา ซึ่งต่อมาในปี 2012 และ 2014 ก็เป็นทีของเอดิชั่นที่สอง โดยเฉพาะรุ่น Air Yeezy II ‘Red October’ ที่เหล่า Sneakerhead ทั่วโลกจับตามอง และเฝ้าคอยกันนานแสนนาน ว่าเมื่อไหร่รองเท้ารุ่นนี้จะออกวางจำหน่ายเสียที นอกจากนี้ในปี 2013 หนุ่ม Kanye ยังกระโดดมาจับมือร่วมกับทาง Adidas ออกคอลเล็คชั่นรองเท้า “Adidas Yeezy Boosts” ที่เพิ่งเปิดตัวไปอย่างเป็นทางการที่ New York Fashion Week 2015 เมื่อเดือนกุมภาพันธ์ที่ผ่านมา ซึ่งยังมีข่าวลืออีกว่าสำหรับตัวคอลเล็คชั่นเสื้อผ้า จะมีการปล่อยออกมาอย่างเป็นทางการสำหรับฤดู Fall 2015 ซึ่งต้องมาคอยดูกันต่อไปว่าเขาจะผสมผสานความเรียบง่าย ให้เข้ากับแฟชั่นชั้นสูง และความเป็นสตรีทแฟชั่นให้เข้าด้วยกัน ในแบบฉบับของเขาอย่างไร
Jeff Staple
Jeff Staple หรือ Jeff Ng คือดีไซเนอร์และผู้ก่อตั้ง “Staple Design” ดีไซน์เอเจนซี่ชื่อดังในนิวยอร์ก ที่นอกจากจะคอยผลิตผลงานการออกแบบในวงการดีไซน์แล้ว ยังได้มีการออกแบบเสื้อผ้าผู้ชายอีกด้วย ซึ่งมีส่วนผสมของความเป็นสตรีทแวร์เข้าด้วยกันกับความเป็นไฮแฟชั่น เอเจนซี่ หรือจะเรียกอีกอย่างว่าแบรนด์นี้ เป็นที่รู้จักในวงกว้างจากการร่วมงานกับทาง Nike ในปี 2005 โดยผลิตรองเท้าสเก็ตบอร์ดรุ่น “The Nike Dunk SB Low Pigeon” ที่มีออกมาเพียง 220 คู่เท่านั้น ซึ่งในตอนเช้าของวันที่รองเท้ารุ่นนี้ออกวางจำหน่าย ก็มีกลุ่มคนจำนวนมหาศาลมารอหน้าร้าน เพื่อจะได้รองเท้ารุ่นนี้มาครอง แต่ก็เกิดการจลาจลขึ้นจนได้ จนตำรวจ NYPD ต้องรีบเข้ามาควบคุม รองเท้ารุ่นนี้ได้พรีเซ้นต์ถึงความเป็นเมืองนิวยอร์กอย่างเต็มตัว ด้วยสัญลักษณ์ที่เป็นรูปนกพิราบหรือ Staple Pigeon ที่บริเวณส้นเท้า ซึ่งสัญลักษณ์อันนี้เองที่ทำให้ผู้คนจดจำแบรนด์ Staple ได้เป็นอย่างดีจนถึงปัจจุบัน
Hiroshi Fujiwara
ปิดท้ายด้วยศิลปิน นักดนตรี โปรดิวเซอร์ และดีไซเนอร์มากความสามารถจากแดนอาทิตย์อุทัยอีกคน ที่ใครๆก็ต่างเรียกเขาว่า “The Godfather of Harajuku fashion” ผู้มีอิทธิพลมากที่สุดคนหนึ่งในวงการสตรีทแฟชั่นระดับโลก ในช่วงต้นยุค 1980s เขาได้เดินทางจากญี่ปุ่นไปที่ลอนดอน ที่ๆเขาได้ไปรู้จักและเป็นเพื่อนกับสองผู้นำทางด้านคัลเจอร์ที่มีอิทธิพลมากที่สุดคนหนึ่งแห่งยุคอย่าง Malcolm McLaren และ Vivienne Westwood และที่มหานครนิวยอร์ก ที่ๆเขาได้ไปซึมซับวัฒนธรรมที่หลากหลาย และมีเอกลักษณ์เฉพาะตัวของคนที่นู่น โดยเมื่อเขากลับมาที่ญี่ปุ่น เขาก็ได้นำทุกอย่างที่เปิดโลกให้แก่เขา มาเผยแพร่ที่ถนนฮาราจุกุในเมืองโตเกียว ก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงในวงการสตรีทแฟชั่นของญี่ปุ่นในตอนนั้น ต่อมาในช่วงปลายยุค ‘80s เขาได้ก่อตั้งแบรนด์สตรีทแวร์ของตัวเองในนามว่า Good Enough อีกทั้งยังก่อตั้งดีไซน์สตูดิโอ Fragment Design โดยเขาได้ออกแบบ และร่วมผลิตผลงานอันน่าจดจำกับแบรนด์ระดับโลกมาแล้วมากมาย อาทิ Nike, Stussy, Levi’s, Supreme, Adidas, Vanquish และ Converse
Writer: Thip S. Selley
RECOMMENDED CONTENT
“Gimme Love” ซิงเกิลใหม่จาก Joji ต่อจากซิงเกิล “Run” ที่ปล่อยออกมาให้ฟังไปเมื่อเดือนกุมภาพันธ์ที่ผ่านมา และ “Sanctuary” ที่โกยยอดขายไปแล้ว RIAA Gold เมื่อกลางปี 2019 โดยทั้งสามซิงเกิลนี้เป็นการเปิดตัวอัลบั้มใหม่ชุดที่สอง