เมื่อนึกถึง “เจ้าหญิง” หรือ “พระราชินี” พวกเราก็มักจะคิดถึงหญิงสาวที่งดงาม มีสง่าราศรีตามแบบฉบับที่ผู้หญิงแทบจะทุกคนเห็นแล้วเป็นต้องแอบอิจฉาเล็กๆ ไม่ว่าจะเป็นตั้งแต่โดยกำเนิด หรือโดยการแต่งงาน แน่นอนว่าพระนางทั้งหลายต่างต้องรู้ซึ้งดีถึงเรื่องความงามมากกว่าใคร เพราะคิดดูสิ ภาพใบหน้าของพวกเธอต้องถูกออกสื่อไม่รู้เท่าไหร่ต่อเท่าไหร่ ไม่ว่าจะในรูปแบบของภาพวาด หรือภาพถ่ายตามนิตยสารและหนังสือพิมพ์ให้สาธารณชนได้เพ่งมองพิจารณา/ชื่นชมแบบไม่มีที่สิ้นสุด เพราะฉะนั้นทุกครั้งที่เหล่าเจ้าหญิง หรือพระราชินี ต้องปรากฏตัวสู่สาธารณะ พวกเธอจะต้องดูสวยเป๊ะตั้งแต่หัวจรดเท้า โดยเฉพาะผิวพรรณที่ดูขาวผ่อง ลออองค์ ดังพอร์ซเลน ที่สาวๆเห็นแล้วเป็นต้องแอบอยากรู้กันเป็นแถว ว่าเคล็ดลับเบื้องหลังความงามสง่าของเหล่าเจ้าหญิง และราชินีผู้สูงศักดิ์นั้นมีอะไรบ้าง เพื้อเป็นการไขข้อสงสัย วันนี้เราจึงมีเคล็ดลับความงามของเหล่าพระนางผู้งามสง่าทั้ง 7 พระองค์ตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบันมาฝากกัน จะมีพระนางองค์ไหนบ้าง ตามไปดูกันเลย!
พระนางมารี อ็องตัวแน็ต (Marie Antoinette)
อดีตพระราชินีแห่งฝรั่งเศสองค์นี้มีสูตรมาสก์หน้าเฉพาะตัวอันโด่งดัง ถึงขนาดที่ผู้หญิงฝรั่งเศสบางคนยังนำมาใช้ในปัจจุบัน ซึ่งส่วนประกอบก็ได้แก่ คอนญักสองช้อนชา นมผงแห้ง 1/3 ถ้วย ไข่ขาว และน้ำจากเลมอนหนึ่งลูก โดยเหล้าคอนญักจะไปช่วยกระตุ้นระบบการไหลเวียนของหลอดเลือดให้ดียิ่งขึ้น และยังช่วยกระชับรูขุมขน ในขณะที่ไข่ขาวจะช่วยซ่อมแซมเนื้อเยื่อผิว ส่วนกรดแลคติกจากนมจะไปละลายไขมันที่มีส่วนของเซลล์ผิวที่ตายแล้ว ในขณะที่กรดซิตริกจากเลมอนจะช่วยกวาดเซลล์ผิวที่ตายแล้วออกจากชั้นผิวบนจนหมดจด
สมเด็จพระราชินีนาถอลิซาเบธที่ 1 แห่งอังกฤษ (Queen Elizabeth I)
ในยุคสมัยอลิซาเบธ เครื่องสำอางค์ถือเป็นสิ่งที่หลายคนหลีกเลี่ยงที่จะใช้ เพราะมีความเชื่อที่ว่ามันเป็นสิ่งที่ป้องกันพลังงานที่ดี แต่ถึงอย่างนั้นการมีผิวขาวจั๊วะกลับเป็นเทรนด์ที่กำลังมาแรงในเวลาเดียวกัน ทำให้มีการอนุญาตให้ใช้ตะกั่วและสารหนูบนผิวได้ (ในสมัยนั้นพวกเขายังไม่รู้ว่าสารดังกล่าวมีพิษ) ส่วนพระราชินีอลิซาเบธเองก็นิยมแต่งหน้าให้ผิวของตัวเองดูขาวซีด เพื่อรักษาภาพลักษณ์ของเธอในฐานะ “ราชินีผู้ทรงพรหมจรรย์” (Virgin Queen) โดยเครื่องสำอางที่เธอใช้เป็นประจำก็คือ ceruse หรือแป้งแข็งที่มีส่วนผสมของตะกั่วสีขาวและน้ำส้มสายชู นอกจากนี้การมีหน้าผากสูงก็ถือเป็นเทรนด์ความงามที่มาแรงในสมัยนั้นเช่นกัน ซึ่งผู้นำเทรนด์นี้จะเป็นใครไปไม่ได้นอกจากพระราชินีอลิซาเบธ ที่จงใจถอนเส้นผมของพระองค์เองให้หน้าผากดูสูงขึ้น
สมเด็จพระราชินีนาถวิกตอเรียแห่งสหราชอาณาจักร (Queen Victoria)
สมเด็จพระราชินีนาถวิกตอเรียมีวิธีกลบกลิ่นที่ไม่พึงประสงค์ของพระองค์ ด้วยการพรมน้ำมันดอกกุหลาบลงบนถุงมือก่อนนำมาใส่ทุกครั้ง อืม…เป็นวิธีที่ฟังดูแปลกๆอยู่เหมือนกันนะ
สมเด็จพระราชินีนาถเอลิซาเบธที่ 2 แห่งสหราชอาณาจักร (Queen Elizabeth II)
สมเด็จพระราชินีนาถเอลิซาเบธเป็นแฟนตัวยงของลิปสติกเลยล่ะ โดยมีแบรนด์โปรดคือ Clarins ถึงขนาดเคยมอบหมายให้มีการสั่งทำเฉดสีลิปสติกเป็นของพระองค์เอง เพื่อให้ตรงกับสีของเสื้อคลุมในวันพิธีบรมราชาภิเษกในปี 1952 ซึ่งเฉดสีแดงอ่อนดังกล่าวมีชื่อเป็นของตัวเองว่า “The Balmoral Lipstick” และดูเหมือนจะเป็นสีที่พระองค์โปรดปรานมากที่สุด เพราะนับแต่นั้นเธอก็ได้ทาลิปสติกสีนี้ออกงานอยู่บ่อยครั้งมากๆ
เจ้าหญิงเกรซแห่งโมนาโก หรือเกรซ เคลลี (Grace Kelly)
นักแสดงสาวชาวอเมริกัน ที่ตอนหลังได้กลายเป็นเจ้าหญิงแห่งโมนาโก มีเคล็ดลับในการดูแลมือของตัวเองให้ดูอ่อนวัยอยู่เสมอ นั่นก็คือการหมั่นใช้ครีมทามือทุกๆวัน เพราะเธอเชื่อว่ามือของคนเราเป็นที่ๆบ่งบอกอายุที่แท้จริงเป็นที่แรก
เจ้าหญิงไดอาน่า (Princess Diana)
ช่างแต่งหน้า Mary Greenwell ที่เริ่มทำงานให้กับเจ้าหญิงไดอาน่าในปี 1991 กล่าวว่า หลังจากที่เธอได้แนะนำกับไดอาน่าให้เลิกใช้อายไลเนอร์สีฟ้า (“ตาสีฟ้าไม่ควรใช้อายไลเนอร์ หรืออายแชโดว์สีฟ้า”) พระองค์ก็เริ่มปรับเปลี่ยนพฤติกรรมในชีวิตประจำวัน เพื่อให้ใบหน้าและผิวพรรณของพระองค์ดูสวย เป๊ะ มากกว่าเดิม “ไดอาน่าเริ่มดูแลตัวเองอย่างจริงจัง เธอลดการดื่มลงเพื่อให้ผิวพรรณของเธอสมบูรณ์แบบร้อยเปอร์เซ็นต์ ” ส่วนเครื่องสำอางที่ไดอาน่าขาดไม่ได้เลยเวลาจะออกจากบ้านก็คือมาสคาร่า
แคเธอริน ดัชเชสแห่งเคมบริดจ์ (Kate Middleton)
เจ้าหญิงพระองค์ใหม่อย่าง เคท มิดเดิลตัน ขึ้นชื่อว่ามีเคล็ดลับความงามเป็นของตัวเองอยู่ไม่น้อยเลยทีเดียว แต่สิ่งหนึ่งที่มิดเดิลตันโปรดปรานมากที่สุด ก็คือการซื้อพวกผลิตภัณฑ์ความงามตามร้านขายยาอย่าง Boots ซึ่งครีมบำรุงผิวที่เธอใช้เป็นประจำก็คือ Nivea’s Soft Moisturizing Crème และอีกอย่างที่เธอจะขาดไม่ได้เลยก็คือน้ำมันโรสฮิป (Rosehip Oil) ที่สามารถช่วยต่อต้านริ้วรอยเหี่ยวย่นได้เป็นอย่างดี
Credit: Marie Claire
RECOMMENDED CONTENT
‘School Town King’ แร็ปทะลุฝ้า ราชาไม่หยุดฝัน เป็นหนังสารคดีที่สร้างจากเรื่องจริงของ ‘บุ๊ค’ เด็กหนุ่มวัย 18 และ ‘นนท์’ วัย 13 ผู้เติบโตมาในชุมชนคลองเตย หรือที่ใครๆ ต่างรู้จักในอีกชื่อหนึ่งว่า ‘สลัมคลองเตย’ นอกจากความยากจนที่มาพร้อมกับสถานะทางสังคมที่เลือกไม่ได้แล้ว ทั้งบุ๊คและนนท์ยังไม่สามารถปรับตัวให้เข้ากับระบบการศึกษา รวมทั้ง หลักสูตรการเรียนการสอนที่เน้นแต่ความสำเร็จเชิงวิชาการก็ยิ่งทำให้เด็กเรียนไม่เก่งอย่างพวกเขาขาดความสนใจในชั้นเรียนลงไปเรื่อยๆ ระบบการศึกษาที่น่าจะเป็นความหวังและเท่าเทียมกันของเด็กทุกคน กลับยิ่งบีบบังคับและผลักไสให้พวกเขาเป็นแค่ ‘คนนอก’ ของสังคมไปโดยปริยาย