ถ้าเขาว่ากันว่า “คนไทยติดละคร” ก็ต้องขอบอกว่า “ฝรั่งก็ติดซีรี่ย์” ไม่ได้น้อยหน้าไปกว่าพี่น้องชาวไทยบ้านเราเลย และนี่คือ 9 ซีรี่ย์ที่คนอเมริกันและอังกฤษติดกันงอมแงมมากที่สุดประจำปีนี้ ชนิดที่เรียกว่าเป็น talk of the town แบบสุดๆ แค่ปล่อยเทรลเลอร์เรียกน้ำจิ้มออกมาหน่อย เป็นต้องดีใจจนเนื้อเต้น ต้องรีบเคลียร์งานให้ทันเพื่อที่จะได้รีบกลับบ้านมาเปิดทีวีรอ โหลดเก็บไว้ทุกเอพิโสดเพื่อที่จะได้ดูซ้ำแล้วซ้ำอีกให้สาแก่ใจ หรือถ้าเป็นใครที่ไม่ได้ดูซีรี่ย์บางเรื่องตั้งแต่แรก ก็ต้องรีบแอบไปตามดูให้ทันเพื่อที่จะได้คุยกับคนอื่นเขารู้เรื่อง ซึ่งความโด่งดังของแต่ละเรื่องนั้นแรงเสียจนลามมาถึงคอซีรี่ย์เมืองไทยให้ติดกันจนงอมแงมแบบเดียวกัน ชนิดที่ว่าถ้าไม่ได้ดูจะเกิดอาการหงุดหงิด กระสับกระส่าย จนถึงขั้นนอนไม่หลับ! อยากรู้แล้วใช่ไหมล่ะว่าจะมีซีรี่ย์เรื่องอะไรบ้าง ตามมาดูกันเลยดีกว่า
House of Cards
จำนวนซีซั่น: 3 (กำลังจะสร้างสร้างซีซั่น 4 ฉายปีหน้า)
ผลงานกำกับโดย David Fincher (Gone Girl, The Social Network, The Girl with the Dragon Tattoo, Seven) ซีรี่ส์แนว political-drama อเมริกันเรื่องนี้ถูกดัดแปลงมาจากมินิซีรี่ส์ของ BBC เมื่อปี 1990 ที่สร้างขึ้นจากนิยายของ Michael Dobbs อีกที โดยมีนักแสดงมากฝีมืออย่าง Kevin Spacey มาเป็นนักแสดงนำในบทของ ส.ส. ผู้กระหายอำนาจ Francis “Frank” Underwood ที่ถูกหักหลังจากผู้บังคับบัญชาจนทำให้พลาดจากการเป็นรัฐมนตรี ทำให้เขาต้องทำทุกวิถีทางที่จะแก้แค้นและแย่งชิงอำนาจกลับคืนมา ถือเป็นอีกหนึ่งซีรี่ส์แซ่บๆที่คอซีรี่ส์ผู้ชายติดกันตรึม มีทั้งเรื่องของการแก่งแย่งชิงดี หักหลัง ใส่ร้าย รวมถึงเรื่องเพศ ที่สะท้อนให้เห็นเบื้องลึก เบื้องหลัง ชีวิตของคนในแวดวงการเมืองได้อย่างสนุกน่าติดตาม และเผ็ดร้อนสุดๆ
Mad Men
จำนวนซีซั่น: 7
แฟนพันธุ์แท้ของซีรี่ส์เรื่อง Mad Men คงจะเศร้าอยู่ไม่น้อยเลย ที่ซีรี่ส์เรื่องโปรดของพวกเขาในที่สุดก็เดินทางมาถึงซีซั่นสุดท้าย ที่เพิ่งจบกันไปเป็นที่เรียบร้อยเมื่อวันที่ 17 พฤษภาคม 2015 ที่ผ่านมา ขอบอกเลยว่าถ้าคุณดันหลงมาดูซีรี่ส์เรื่องนี้เมื่อไหร่ละก็ เตรียมตัวเตรียมใจติดมันแบบโงหัวไม่ขึ้นได้เลย (อย่างเรานี่ไง) เพราะแทบจะทุกอย่างที่เกี่ยวกับซีรี่ส์เรื่องนี้นี่เป็นอะไรที่ยอดเยี่ยมมากๆ ตั้งแต่บทพูด การถ่ายทำ การเล่าเรื่อง การแสดงของนักแสดงทุกคน คาแรคเตอร์ตัวละครทุกตัวที่มีเสน่ห์และมีมิติหมด และที่สำคัญ แฟชั่นการแต่งตัวของทั้งตัวละครหญิงและชาย ที่ inspire มากๆ แถมเรื่องนี้ยังมีครบทุกรส ทั้งดราม่า ตลก กุ๊กกิ๊ก แถมยังชอบมีการหักมุมให้คนดูได้ลุ้นกันแทบจะทุกตอน ร่ายมาเสียยาว สำหรับใครที่ไม่เคยดูเรื่องนี้ Mad Men เป็นเรื่องราวเกี่ยวกับชีวิตของคนทำงานโฆษณาในยุค 60s โดยมีตัวละครนำคือ Don Draper (แสดงโดย Jon Hamm) หนุ่มใหญ่รูปหล่อ รวยเสน่ห์ ที่มีตำแหน่งเป็น Creative Director ให้กับบริษัทโฆษณา Sterling Cooper ใน New York แต่ “twist” ของเขาก็คือ ภายใต้ความหล่อ รวยเสน่ห์ของเขา เขามีเบื้องหลังชีวิตส่วนตัวที่ลึกลับแบบที่ไม่มีใครรู้มาก่อน ถือเป็นซีรี่ส์ที่น่าติดตามทุกตอนจริงๆ เพราะตัวละครทุกตัวจะมี “เรื่องราว” เป็นของตัวเอง นอกเหนือจาก Main plot ที่อยู่ในโลกของการทำงานในแวดวงโฆษณาที่ต้องต่อสู้แข่งขันกันตลอดเวลาแล้ว Mad Men ยังมี Subplot หรือเรื่องราวที่เกิดขึ้นกับชีวิตส่วนตัวของแต่ละตัวละครด้วย เขียน และ โปรดิวส์ โดย Matthew Weiner (The Sopranos) ซีรี่ส์เรื่องนี้ได้รับรางวัล Emmy มาแล้วกว่า 15 สาขา และได้ถูกยกให้เป็นหนึ่งในซีรี่ส์แนวดราม่าที่ดีที่สุดตลอดกาล
Gotham
จำนวนซีซั่น: 1 (กำลังจะสร้างซีซั่น 2)
ได้ยินชื่อนี้หลายคนคงจะคุ้นๆหูอยู่ไม่น้อย และสงสัยว่ามันเกี่ยวอะไรกับ Batman หรือเปล่า แน่นอนว่าเกี่ยว เพราะนี่คือซีรี่ส์ที่ดัดแปลงมาจากค่าย DC Comics ที่มีเรื่องราวเกี่ยวกับ James Gordon (นำแสดงโดย Ben McKenzie พระเอกจากเรื่อง The O.C. ซีรี่ส์วัยรุ่นอเมริกันที่ดังสุดๆสมัยยุค 2000 ต้นๆ) นักสืบหนุ่มผู้เที่ยงตรงที่ประจำอยู่ในเมือง Gotham ที่วันหนึ่งได้ทำคดีสำคัญเกี่ยวกับเหตุฆาตกรรมของสามีและภรรยามหาเศรษฐีตระกูล Wayne พ่อและแม่ของ Bruce Wayne ด้วยความแค้นและความปรารถนาที่จะลงโทษผู้ร้ายที่ฆ่าพ่อแม่ของเขา ทำให้นี่กลายเป็นจุดเริ่มต้นเรื่องราวของมนุษย์ค้างคาวที่แฟนๆทั่วโลกคุ้นเคยกัน สิ่งที่น่าสนใจเกี่ยวกับซีรี่ส์เรื่องนี้ก็คือ หนังเล่าเรื่องราวตั้งแต่ที่ Gordon ยังเป็นนักสืบมือใหม่ จนถึงตอนที่เขาได้ก้าวขึ้นมาเป็นหัวหน้าประจำกรมตำรวจ แถมไฮไลท์สำคัญของเรื่องนี้อีกอย่างก็คือ พวกเราจะได้ทำความรู้จักกับเหล่าวายร้ายในตำนานจากเรื่อง Batman สมัยที่ยังเป็นคนธรรมดา ไม่ว่าจะเป็น Oswald Cobblepot (Penguin), Edward Nygma (The Riddler), Harvey Dent (Two-Face), Pamela Isley (Poison Ivy), Victor Fries (Mr. Freeze) และ The Joker รวมถึงคาแรคเตอร์ของสาวๆอย่าง Cat Woman และ Batgirl
Downton Abbey
จำนวนซีซั่น: 5 (กำลังจะสร้างซีซั่น 6 เป็นซีซั่นสุดท้าย ฉายปลายปีนี้)
มาที่ฝั่งอังกฤษกันบ้าง กับ Downton Abbey ซีรี่ส์พีเรียดเรื่องนี้โด่งดังถึงขีดสุดในประเทศอังกฤษอย่างเดียวไม่พอ ยังข้ามมาดังในฝั่งอเมริกา จนทำให้คนอเมริกันติดกันจนงอมแงม เป็นเรื่องราวเกี่ยวกับคฤหาสน์ Downton Abbey ซึ่งครอบครัว Crawley ชนชั้นสูงในอังกฤษเป็นเจ้าของ โดยมี Robert Crawley, Earl of Grantham (แสดงโดย Hugh Bonneville) เป็นหัวหน้าครอบครัว เขามีภรรยาเป็นลูกสาวเศรษฐีอเมริกัน คือ Lady Edith Crawley และมีลูกสาวด้วยกันถึง 3 คน ซึ่งปัญหาที่ตามมาก็คือ ตามกฎหมายเกี่ยวกับการสืบทอดมรดกของอังกฤษในยุคนั้น ตำแหน่งและสมบัติต่างๆจะต้องตกทอดให้ทายาทผู้ชายเท่านั้น ทำให้ Lady Edith และแม่ของท่านเอิร์ล (แสดงโดย Maggie Smith) ต้องหาทางออกเพื่อกันไม่ให้สมบัติที่มี โดยเฉพาะปราสาท Downton Abbey ตกไปอยู่ในมือของคนอื่น นอกเหนือจากเรื่องราวดราม่าๆของฝั่งเจ้านายแล้ว เรื่องราวอีกครึ่งของบรรดาคนรับใช้ในบ้านก็ดราม่า และมีสีสันไม่แพ้กัน บางตอนนี่ถึงกับขโมยซีนพวกตัวละครชนชั้นสูงไปเลย
True Detective
จำนวนซีซั่น: 2
สำหรับใครที่ชื่นชอบดูหนัง ดูซีรี่ส์แนวสืบสวน สอบสวน ต้องห้ามพลาดเรื่องนี้เด็ดขาด กับ True Detective ซีรี่ส์แนว crime drama ที่ออกอากาสทางช่อง HBO ซึ่งได้เสียงตอบรับที่ดีอย่างล้นหลามจากนักวิจารณ์แทบจะทุกสถาบัน สำหรับซีซั่นแรกที่ออกฉายเมื่อปีที่แล้ว เป็นเรื่องราวการสืบคดีของนักสืบ 2 นายแห่งกองสืบสวนอาชญากรรมประจำรัฐ Louisiana ในอเมริกา ที่มีบุคลิกแตกต่างกันโดยสิ้นเชิง ได้แก่ Rust Cohle (แสดงโดย Matthew McConaughey) นักสืบผู้สุขุมรักสันโดษที่มีปมอดีตฝังใจ และ Martin “Marty” Hart (แสดงโดย Woody Harrelson) นักสืบมาดกวน ขาลุย โดยทั้งคู่มีภารกิจตามสืบหาฆาตรกรต่อเนื่องที่เริ่มต้นปลิดชีวิตเด็กสาวนามว่า Dora Lange และทิ้งเบาะแสเชิงสัญลักษณ์บางอย่างทิ้งไว้ให้ค้นหาความหมายอันลึกลับนี้ ซึ่งตอนหลังทั้งคู่ได้ทำการจับคนร้ายมาได้ แต่…หารู้ไม่ว่าคนร้ายที่ตัวเองจับมานั้นไม่ใช่คนร้ายตัวจริง เพราะหลังจากนั้นไอ้เจ้าฆาตกรต่อเนื่องปริศนารายนี้ ก็ได้ก่อคดีสังหารเหยื่ออีกมากมายและยังคงลอยนวลมาโดยตลอดจนถึงปัจจุบันเป็นเวลานานกว่า 17 ปี! แน่นอนว่านอกจาเนื้อเรื่องที่สนุก ชวนให้ติดตามทุกตอนแล้ว ไฮไลท์ของซีรี่ส์เรื่องนี้ก็คือการได้นักแสดงระดับแม่เหล็กแถวหน้าของฮอลลีวูดมาแสดง โดยแต่ละซีซั่นก็จะมีการเปลี่ยนกลุ่มนักแสดงไปเรื่อยๆ ซึ่งสำหรับซีซั่นที่ 2 ที่เพิ่งเริ่มฉายไปเมื่อวันที่ 21 มิถุนายน ที่ผ่านมา ก็ได้นักแสดงชื่อดังตบเท้ามาเล่นกันเพียบ ไม่ว่าจะเป็น Colin Farrell, Rachel McAdams, Taylor Kitsch และ Vince Vaughn
Broadchurch
จำนวนซีซั่น: 2 (กำลังจะสร้างซีซั่น 3)
ฝั่งอักฤษเขาก็มีซีรี่ส์แนว crime drama เหมือนกัน กับ Broadchurch ที่มีเรื่องราวเกี่ยวกับคดีฆาตกรรมของเด็กชาย Danny Latimer วัย 11 ขวบ ใน “Broadchurch” เมืองเล็กๆทางตอนใต้ของอังกฤษ ที่ดูผิวเผินเหมือนจะเป็นเมืองธรรมดาๆทั่วไป แต่จริงๆแล้วแฝงไว้ด้วยความลับลมคมในของแต่ละผู้คนที่อาศัยอยู่ที่นั้น พระเอกของเรื่องคือนักสืบ Alec Hardy (แสดงโดย David Tennant) ที่ร่วมตามสืบ จับหาตัวคนฆ่าเด็กชาย Danny ร่วมกับคู่หูนักสืบหญิงอีกคน Ellie Miller ซึ่งธีมหลักๆของซีรี่ส์เรื่องนี้ก็คือผลกระทบทางจิตใจในการตายของเด็กชายคนดังกล่าวที่มีต่อครอบครัวของเขา ความสงสัย และการเริ่มไม่ไว้วางใจกันและกันของผู้คนในเมืองนี้ และความสนใจของสื่อต่างๆที่ใส่สีตีไข่คดีดังกล่าวให้ยิ่งตึงเครียด และกดดดันหนักกว่าเก่า ดูเรื่องนี้แล้วบอกเลยว่าคุณจะรู้สึกหน่วงแทบทั้งเรื่อง แต่แน่นอนว่าดูแล้วติดพลาดไม่ได้สักตอน ดูแล้วอาจมีอาการแอบจิกหมอนตัวเองไปด้วย เพราะต้องคอยลุ้นเอาใจช่วยพระเอก และครอบครัวของ Danny อยู่ตลอดเวลา แถมยังชอบมีจุดหักมุมให้คนดูเหวอไปตามๆกันอีก ปัจจุบันเรื่องนี้โด่งดังข้ามไปถึงฝั่งอเมริกา จนทางนั้นได้ทำรีเมคเรื่องนี้เป็นของตัวเองแล้วเรียบร้อย โดยใช้ชื่อว่า “Gracepoint” (แสดงโดย David Tennant ในบทพระเอกเหมือนเดิม แต่คราวนี้พูดเป็นสำเนียงอเมริกัน) ส่วนฝั่งยุโรปก็ไม่น้อยหน้า เพราะทางฝรั่งเศสก็กำลังจะทำรีเมคออกมาเหมือนกันในชื่อ “Malaterra”
The Walking Dead
จำนวนซีซั่น: 5 (กำลังจะสร้างซีซั่น 6)
นี่คืออีกหนึ่งซีรี่ส์ยอดนิยมแห่งยุค ที่ไปที่ไหนก็มีแต่คนพูดถึง มีฐานแฟนๆที่คอยติดตามอย่างเหนียวแน่น The Walking Dead คือทีวีซีรี่ส์แนวดราม่าสยองขวัญ ที่ถูกดัดแปลงมาจากหนังสือการ์ตูนชื่อเดียวกันของ Robert Kirkman, Tony Moore และ Charlie Adlard โดยมีพระเอกคือนายอำเภอ Rick Grimes (แสดงโดย Andrew Lincoln) ที่ตื่นขึ้นมาจากอาการโคม่าแล้วพบกับโลกที่กลายเป็น apocalyptic world ที่เต็มไปด้วยซอมบี้กินเนื้อ เขาจึงต้องออกเดินทางเพื่อตามหาครอบครัว และพบกับผู้รอดชีวิตตามทางมากมาย เรื่องราวการผจญภัยต่างๆนาๆจึงเริ่มต้นขึ้น นี่คือหนึ่งในซีรี่ส์ที่มีเรตติ้งสูงที่สุดในอเมริกา การดำเนินเรื่องทุกตอนนั้นมีความตื่นเต้นได้ลุ้นอยู่ตลอดเวลา โดยมีหลายคนชมเป็นเสียงเดียวกันว่าการดำเนินเรื่องมีความแปลกใหม่ที่ไม่จำเจเหมือนหนังซอมบี้ทั่วๆไป ซึ่งเราเชื่อว่าอีกประมาณ 10-20 ปีข้างหน้า The Walking Dead จะต้องกลายเป็นซีรี่ส์ซอมบี้ที่คลาสสิคที่สุดตลอดกาลแน่นอน
Orange is the New Black
จำนวนซีซั่น: 3 (กำลังจะสร้างซีซั่น 4 ฉายปีหน้า)
อีกหนึ่งซีรี่ส์ที่กำลังมาแรงสุดๆในอเมริกา และดูเหมือนจะมีฐานแฟนคลับมากขึ้นเรื่อยๆ กับ Orange is the New Black ซีรี่ส์แนว comedy-drama ที่ดัดแปลงมาจากหนังสือ Orange is the New Black: My Year in a Women’s Prison ของ Piper Kerman ที่เธอเขียนจากประสบการณ์จริงที่เคยได้ไปนอนในคุกมา 15 เดือน ส่วนเรื่องราวในซีรี่ส์ก็เล่าถึง Piper Chapman (แสดงโดย Taylor Schilling) หญิงสาวที่อาศัยอยู่ใน New York City ที่ถูกจับผิดข้อหาเกี่ยวกับยาเสพติด เนื่องจากเมื่อ 10 ปีก่อนเธอได้เคยขนเงินค้ายาให้กับแฟนสาวที่ทำงานให้แก๊งค้ายาข้ามชาติแค่ครั้งเดียว แต่! ทำผิดกฎหมายยังไงก็ต้องรับโทษ เมื่อพยานคนหนึ่งได้ซัดทอดมาถึงเธอ จึงเป็นผลให้ตำรวจตามมาดำเนินคดีย้อนหลัง ทำให้สุดท้ายแล้ว เธอต้องโทษจำคุก 15 เดือน ที่เรือนจำลิทช์ฟิลด์ เรื่องราวป่วนๆน่าติดตามทั้งหลายจึงเริ่มต้นขึ้น เมื่อเธอต้องปรับตัวปรับใจอย่างหนักกับสภาพแวดล้อมใหม่ รวมถึงเพื่อนร่วมคุกหญิงคนอื่นๆ ที่มีเรื่องราวในอดีตก่อนจะมาอยู่ในคุกที่น่าสนใจไม่แพ้กันเลย
Game of Thrones
จำนวนซีซั่น: 5 (กำลังจะสร้างซีซั่น 6)
สารภาพมาซะดีๆว่าคุณก็เป็นหนึ่งในจำนวนคอซีรี่ส์ที่ยินดีอดหลับอดนอน ขอบตาคล้ำเป็นหมีแพนด้าเพราะซีรี่ส์เรื่องนี้ สร้างจากนวนิยายแฟนตาซีชุด A Song of Ice and Fire ของ George R. R. Martin ซีรี่ส์เรื่องนี้เล่าถึงดินแดนที่ชื่อ Westeros ซึ่งประกอบไปด้วย 7 อาราจักร แต่ละอาณาจักรถูกปกครองโดย 7 ตระกูล มีกษัตริย์ที่ยิ่งใหญ่ที่สุดคือ Robert Baratheon ซึ่งปกครอง King’s Landing เมืองหลวงของอณาจักรทั้ง 7 และด้วยอำนาจบารมีนี้เองที่ทำให้มีแต่คนพยายามที่จะแย่งชิง โค่นล้มบัลลังก์ จนนำไปสู่สงครามของผู้นำตระกูลต่างๆอย่างดุเดือด ดูแล้วจะรู้สึกอะดรีนาลีนพลุ่งพล่านเกือบจะตลอดเวลา เป็นอีกซีรี่ส์หนึ่งที่ถ้าคุณไม่ได้ดู คุณจะคุยกับคนอื่นไม่รู้เรื่องจริงๆ แล้วจะหาว่าไม่เตือน!
Writer: Thip S. Selley
RECOMMENDED CONTENT
เพลงนี้พูดถึงเรื่องราวเวลาที่เราแอบชอบใครสักคนอยู่ แล้วความสัมพันธ์นั้นมันไม่ค่อยชัดเจน เราก็บอกกับเขาว่าเราเดาไม่เก่งนะ