One Take ภาพยนต์สารคดีออริจินอลบน Netflix เรื่องแรกที่เพิ่งฉายไป ผลงานสารคดีชิ้นที่ 2 ของ BNK48 ที่ได้ผู้กำกับฯ โดนัท (มนัสนันท์ พันเลิศวงศ์สกุล) มาถ่ายทอดเรื่องราวการแข่งขัน และความกดดันต่างๆ ที่เหล่าเมมเบอร์ต้องเจอกว่าจะมาเป็นไอดอลของทุกคนในวันนี้
เรื่องราวใน One Take เป็นช่วงเวลาที่ BNK48 รุ่น 2 เดินเข้ามาเติมเต็ม แต่นั่นก็ทำให้ความกดดันเด้งกลับไปอยู่ที่รุ่นพี่อีกระลอก รวมถึง General Election งานเลือกตั้งครั้งแรกของ BNK48 ที่เต็มไปด้วยรอยยิ้มและคราบน้ำตา ทำให้ เฌอปราง (เฌอปราง อารีย์กุล) ถึงกับเอ่ยปากว่า “สารคดีเรื่องนี้เป็นอะไรที่เรียลมากๆ”
Netflix ชวนดู๊ดดอทไปสัมภาษณ์เหล่าเมมเบอร์ในโอกาสที่ One Take เข้าฉาย การสัมภาษณ์ครั้งนี้แบ่งเป็น 2 กลุ่ม โดยกลุ่มแรกจะเป็น เฌอปราง (เฌอปราง อารีย์กุล) กับ เจน (กุลจิราณัฐ อินทรศิลป์) กลุ่มที่ 2 เป็น เจนนิษฐ์ (เจนนิษฐ์ โอ่ประเสริฐ), โมบายล์ (พิมรภัส ผดุงวัฒนะโชค) และ มิวสิค (แพรวา สุธรรมพงษ์) เอาล่ะ เราไปฟังความรู้สึกของพวกเขากันเลย
ตอนถ่าย One Take เป็นอย่างไรบ้าง
เฌอปราง – ไม่รู้ตัวเลยค่ะว่าถ่ายตอนไหน ส่วนใหญ่เป็นแคนดิด จะรู้ตัวก็ตอนมีคลาสแอคติ้งช่วงถ่ายสัมภาษณ์ อันนี้รู้อยู่ แต่หลังจากนั้นเก็บภาพไปตอนไหนก็ไม่รู้ ตื่นเต้นเหมือนกันค่ะ
เจน – เจนนึกว่าพี่ๆ คือสตาฟ ตอนคลาสแอคติ้งนึกว่าเป็นการถ่ายตอนต้นของสารคดี แต่ไม่รู้ว่ามีการถ่ายก่อนหน้านั้นไปแล้ว
ใน One Take เป็นช่วงที่ส่งต่อให้รุ่น 2 เข้ามาแล้ว คาแร็คเตอร์ของทั้ง 2 รุ่น แตกต่างกันไหม
เจนนิษฐ์ – รุ่น 1 ก็เป็นผู้บุกเบิก กรุยทางลูกลัง ที่ไม่มีปลายทาง ไม่รู้ว่าวงจะไปรอดไหม จะได้ยุบวงหลังเดบิว์ไหม จะมีคนดูหรือเปล่า แต่อยู่ดีๆ ก็ “บู้ม” ขึ้นมา
โมบายล์ – ใช่ อยู่ดีๆ ก็เป็นแบบนี้แล้ว (หัวเราะ)
เจนนิษฐ์ – ได้ประสบการณ์ในช่วงเวลาอันสั้น อยู่ดีๆ ก็ได้ทำทุกอย่าง
มิวสิค – ส่วนตัวรู้สึกว่ามีความแตกต่าง รุ่น 1 มีความดาร์คมากขึ้น เหมือนเวลาจะค่อยๆ เปลี่ยนเราไป พอรุ่น 2 เข้ามาก็มีความสดใส แต่ตอนนี้ก็เริ่มตามมาแล้ว (หัวเราะ)
โมบายล์ – แต่คาแรคเตอร์ก็แตกต่างกันชัดเจนนะคะ ไม่ใช่แค่รุ่น 1 รุ่น 2 แต่เป็นในแต่ละคนด้วย ที่ไม่ค่อยซ้ำกัน
เจนนิษฐ์ – รุ่น 2 ก็มีเกรงใจเวลาจะถามอะไร บางคนก็ขี้อาย ตอนไปทำรายการกันใหม่ๆ น้องๆ กลัวว่าจะพูดอะไรได้บ้าง
โมบายล์ – โอ้ยเดี๋ยวนี้โบ๊ะบ๊ะแล้ว โบ๊ะบ๊ะหนักมากเวอร์ (หัวเราะ)
หลังจากมีรุ่น 2 เข้ามา มุมมองในการทำงานเปลี่ยนไหม
เจนนิษฐ์ – เหมือนมีคนช่วยนะ จะมีช่วงนึงที่งานเยอะ นอกจากงานข้างนอกเรายังมีเธียร์เตอร์อีกด้วย แล้วคนก็ไม่ค่อยพอ
มิวสิค – ช่วงแรกก็เครียดอยู่หน่อยๆ เพราะยังไม่สนิทกัน แต่พอเวลาผ่านไปก็เริ่มสนิทกัน ไม่ค่อยกดดันแล้ว ไม่ว่าจะเป็นเรื่องอะไรก็รู้สึกว่าเดี๋ยวเราจะผ่านไปด้วยกัน
เจนนิษฐ์ – มุมมองอาจจะคิดต่างกัน แต่พออยู่ด้วยกันก็เริ่มเข้าใจกัน
โมบายล์ – ช่วงแรกๆ ยังไม่ค่อยได้ทำงานร่วมกันด้วยค่ะ แต่พออยู่ๆ ไปก็เริ่มสนิทกันทั้งรุ่น 1 รุ่น 2
วันแรกที่เข้ามาใน BNK48 จนถึงวันนี้ มีอะไรเปลี่ยนไปบ้าง
เจนนิษฐ์ – เปลี่ยนไปเยอะนะ “หน้าตา” น่ะ (หัวเราะ)
โมบายล์ – ยอมรับคำวิจารณ์ได้มากขึ้น คือมันก็ไม่เชิงว่าสบายแล้ว แต่เรามีวิธีที่จะรับมือกับมันมากขึ้น ช่วงแรกมันใหม่มาก ไม่เคยเจออะไรแบบนี้ นึกถึงเวลาเราเป็นนักเรียนทั่วไป ถ้าเจอคนที่ไม่ชอบเรา แสดงว่าเราต้องไปทำอะไรให้เขา เขาถึงไม่ชอบเรา แต่อันนี้คือเราอยู่เฉยๆ ก็มีคนไม่ชอบเรา
มิวสิค – รู้สึกเหมือนโมบายล์เหมือนกัน แต่รู้สึกอีกอย่างนึงคือทัศนคติ ความคิด ตัวหนูเองมีโลกส่วนตัวสูง แต่ต้องแบ่งเวลาส่วนหนึ่ง ต้องสละพื้นที่นี้ไป ต้องทำความเข้าใจและยอมรับอะไรหลายๆ อย่างมากขึ้น
เจนนิษฐ์ – การเข้ามาอยู่ตรงนี้เป็นการบังคับให้เราโตขึ้น เหมือนโดนสารเร่งโต ต้องมีวุฒิภาวะ เพราะคนอื่นเขาไม่ได้สนว่าเราเด็กแค่ไหน จะมีคำพูดที่ว่า “ยิ่งโต ยิ่งพูดสิ่งที่อยู่ในใจได้น้อยลง” กลายเป็นว่ายิ่งโตยิ่งเก็บกด เราต้องอดทน อดทน อดทน พูดไม่ได้ ถ้าเป็นเด็กเรารู้สึกอะไรก็พูดเลย แต่อันนี้พูดไม่ได้
ผ่านความกดดันจากตัวเอง และแฟนคลับมาได้อย่างไร
เจน – สำหรับตัวเองนะคะ เมื่อก่อนเราเป็นคนคาดหวังค่อนข้างเยอะ แต่มันเป็นเหมือนประสบการณ์ว่าถ้าเราคาดหวังสูง พอเราทำไม่ได้ มันเจ็บมากนะ สู้ให้เราไม่คิดดีกว่าแล้วทำเต็มที่ อันนี้ไม่มีใครเจ็บด้วย แต่สำหรับการคาดหวังจากแฟนคลับ อันนี้เราไม่สามารถไปห้ามได้ว่า “ห้ามคาดหวังในตัวเรานะ” แต่ให้เขาเข้าใจได้ว่า เราทำเต็มที่ที่สุดนะ
เฌอปราง – เรียกว่าต้องเผชิญก่อน ไม่ว่าใครก็ตามต้องเผชิญก่อนสักรอบนึง พอเราผ่านไปได้หรือรับมือกับมันได้ เราก็จะย้อนคิดว่าต้องรับมือยังไง ใน One Take สำหรับเฌอก็น่าจะเป็นเรื่องที่สะท้อนว่าทุกคนน่าจะเจออะไรแบบนี้เหมือนกัน เพราะฉะนั้นก็สู้ๆ อย่างเพิ่งท้อ แล้วมันจะผ่านไปค่ะ
ด้วยวัยเท่านี้ เคยคิดไหมว่าตัวเองมาทำอะไรที่นี่
เฌอปราง – เคยคิดค่ะ คิดหนักมากว่ามาทำไม อยู่ไปทำไม เคยคิดถึงขั้นว่าเกิดมาทำไมด้วยซ้ำ ก็ถึงจุดที่เรียกว่าเป็นซึมเศร้าแหละ แต่เราไม่ได้เป็นบ่อย ของเฌอจะมีช่วงที่เป็นเดือนละครั้ง ไม่ว่าจะด้วยแรงกดดันที่มันเหนื่อยจากการทำงาน เจอเรื่องราวหลายๆ อย่าง ตัวเฌอก็ปล่อยให้ตัวเองคิดค่ะ ห้ามความคิดตัวเองไม่ได้ ก็ปล่อยให้ตัวเองคิด แต่รับรู้ไว้เสมอว่ามีคนรักเรา แม้ว่าเราไม่รักตัวเอง แต่ก็มีคนที่รักเราทั้ง พ่อ แม่ ตา ยาย เมื่อไหร่ที่เรากรี๊ดหรือร้องไห้ จะรู้สึกว่าทำเขาเดือดร้อน เฌอจะไม่ชอบทำให้ที่บ้านเดือดร้อน รวมถึงแฟนๆ เมื่อไหร่ที่เฌอหายไปเขาก็เริ่มเป็นห่วง “เฌอไปไหน” “เฌอเป็นอะไร” พยายามนึกไว้เป็นขั้นสุดท้ายเวลาเราดิ่งสุดว่ายังมีคนรักเราอยู่ ไม่อยากให้เขาทุกข์เพราะเรื่องของเรา สุดท้ายปล่อยให้ตัวเองคิด คิดจนเหนื่อยแล้วก็นอนไปค่ะ แล้วรีสตาร์ทตัวเองใหม่ในวันรุ่งขึ้น
เจน – เมื่อก่อนเจนไม่ได้มีกระบวนการคิดที่เป็นผู้ใหญ่มาก แต่ถ้าไม่เจอตอนนี้ ต่อไปก็ต้องเจอ ส่วนความคิดที่ว่า “ไม่อยากอยู่ตรงนี้” เชื่อว่าหลายๆ คนมีความคิดเข้ามา แต่เราเป็นคนตัดสินใจเอง ก็ต้องรับให้ได้กับสิ่งที่เราเลือก ไม่ควรมาเสียใจทีหลัง แต่ลองคิดดูว่ามีคนอีกหลายคนที่อยากมาอยู่ตรงนี้ แล้วเราได้เป็นตัวแทนพวกเขา เราควรดีใจสิ แต่ก่อนหน้านี้คิดแบบ “โอ้ว เครียดมาก”
ตอนอยู่บนเวทีแล้วรู้สึกดาวน์ขึ้นมา จัดการกับความรู้สึกนี้อย่างไร
เฌอปราง – สิ่งนึงที่เฌอยึดคือ “มันคือหน้าที่เรา” เราเป็นไอดอล มีหน้าที่มอบความสุข ซ้อมมาแล้ว เต้นมาแล้ว อะไรจะเกิดก็ให้มันเกิด
เจน – ใช่ หนูเคยเป็นตอนขึ้นเธียร์เตอร์แล้วมีเรื่องดาวน์มากๆ ตอนนั้นเต้นไปร้องไห้ไป แต่แฟนคลับเห็นทั้งๆ ที่ยืนอยู่ข้างหลัง เป็นความรู้สึกที่สับสนมากว่าจะทำยังไงกับตัวเองดี คือเมื่อก่อนเจนไม่เคยรู้จักที่จะคุยกับตัวเอง ไม่เคยรู้วิธีที่จะฟังเสียงตัวเอง หรือไม่รู้วิธีการผ่อนคลาย ตอนนั้นก็สับสนไปพักใหญ่ๆ เราเหมือนไม่ไหว เลยหาหนทางโดยการอ่านหนังสือที่ทำให้มีวิธีคิดแบบใหม่ ก็เลยเปลี่ยนตัวเองได้
เฌอปราง – หลายคนอาจจะเจอตอนทำงานก็ได้ แต่เราทำงานตั้งแต่อายุเท่านี้ เหมือนได้เจอตั้งแต่ตอนนี้ อารมณ์เหวี่ยงก็จริง แต่จะมีพี่ๆ สตาฟ, เมมเบอร์ หรือครอบครัวที่คอยสอดส่องว่าวันนี้คนนี้เป็นอะไรหรือเปล่า ทำไมดูดาวน์ผิดปกติ
เจน – บางครั้งเรานั่งอยู่ก็จะมีเพื่อนๆ เมมเบอร์เข้ามาถามว่าเป็นอะไร คือรู้ได้เลย
เฌอปราง – อยู่ด้วยกันจะรู้ว่าจะมีออร่าบางอย่างที่เราเก็บไม่ค่อยมิด แต่พอผ่านตรงนี้ได้ เรียนรู้เรื่องการจัดการตัวเอง ในอนาคตก็น่าจะง่ายขึ้น ทำให้เราเก่งขึ้น โตกว่าวัยเดียวกัน ซึ่งเฌอจะชอบโดนเพื่อนว่า “ทำไมเฌอความคิดแก่จัง” ก็ไม่รู้จะบอกยังไงดีว่า “เจอมาเยอะแหละ” (หัวเราะ)
ในวันนี้ยังมีฟีดเเบ็กไม่ดีอยู่บ้าง แต่ละคนจัดการกับความรู้สึกเวลาที่ได้รับรู้ฟีดแบ็กนั้นได้แล้วหรือยัง
เจนนิษฐ์ – หนูเปลี่ยนโฟกัสเร็ว เพราะมีอย่างอื่นให้ทำเยอะ แล้วมันก็ลืมไปเลย
โมบายล์ – ถึงเราจะพูดยังไง แต่เขาก็มีความคิดของเขา ไม่พร้อมที่จะเปิดใจกับเรา หนูคิดว่าทำสิ่งที่เรารักไป แล้วสนใจคนที่รักเราก็พอ
มิวสิค – เราไม่สามารถเปลี่ยนความคิดของคนได้ เหมือนคู่รักที่คบกันแล้วคาดหวังว่าสักวันนึงเขาต้องเปลี่ยนเป็นแบบนี้แน่นอน จริงๆ แล้วมันไม่มีทางใช่ไหมคะ อันนี้ก็เหมือนกันเราไม่สามารถเปลี่ยนความคิดเขาได้หรอก หนูเลยคิดว่าการที่เอาใจเราไปให้กับเขา มันมีแต่ตัวเราที่เสีย ก็แค่ต้องปล่อยมันไป
ถ้าไม่ไหวจริงๆ ทำอย่างไร
เฌอปราง – เฌออาจจะเป็นพวกรับผิดชอบสูงมาก ไม่อยากให้ใครเดือดร้อน ถ้าเราเดี้ยงไป งานพรุ่งนี้ก็อาจจะมีปัญหาได้ คนจะเดือดร้อนเพราะเราคนเดียว คิดภาพว่าแม่จะเดือดร้อนไม่ได้ จะฮึดขึ้นมา บางอย่างเราควบคุมไม่ได้หรอก แต่อย่างน้อยเราไม่ได้มีเจตนาร้าย ไม่ได้ตั้งใจทำให้เดือดร้อน อย่างเรื่องงาน บางครั้งก็ต้องปล่อยให้ตัวเองร้องไห้แล้วพรุ่งนี้ก็เริ่มใหม่
เจน – ปล่อยตัวเองให้ร้องไห้ไปดีกว่าเก็บไว้แล้วไปร้องไห้บนเวที ก็เลยร้องไห้ให้สุด แล้วมาทบทวนอีกทีว่าสิ่งที่เกิดขึ้นมาจากคนอื่นหรือตัวเราเอง ถ้าเป็นของคนอื่น เราก็ตัดทิ้งไป แต่ถ้าเป็นของตัวเองก็เรียนรู้ไปเรื่อยๆ แล้วกินของหวานเพิ่มความสุข
แล้วแต่ละคนมีวิธีผ่อนคลายกันยังไงบ้างเวลาเครียดๆ
เฌอปราง – กินของหวาน ฟังเพลง ดูซีรี่ย์ อะไรก็ได้ที่ผ่อนคลาย อีกอันนึงคือดูไอดอลของตัวเอง อย่าง 48 นี่แหละ เพราะเฌอชอบเขาอยู่แล้ว ก็ทำให้รู้สึกฮึดได้ว่ามีคนผ่านเรื่องราวแบบนี้เหมือนกัน เราก็ต้องทำให้ได้ เป็นกำลังใจอีกแบบนึง
เจน – ชอบดูสารคดีสัตว์ค่ะ ผ่อนคลายมาก
เฌอปราง – ใช่ หมา แมว
เจน – อู้วว
เฌอปราง – น้องดีมากจริงๆ
ใครคือไอดอลของเรา
เฌอปราง – ของเฌอเป็น ซายากะ ยามาโมโตะ (อดีตสมาชิกวง NMB48) เป็นไอดอลที่เฌอชอบมากๆ การเปลี่ยนแปลงของเขาตั้งแต่เป็นศิลปินข้างถนนจนเข้ามาเป็นไอดอล พัฒนาในทุกๆ ด้าน จนมาเป็นศิลปินเดี่ยวในปัจจุบัน ทำตามความฝันของตัวเองได้ แล้วยังพัฒนาตัวเองต่อไป ก็เลยชอบคนไสตล์นี้ เขาเป็นแรงใจให้เราก้าวมาทำงานตรงนี้ และยังเป็นแรงใจในการสู้ เราอยากสู้บ้างค่ะ
เจน – มีเยอะมาก (หัวเราะ)
เฌอปราง – จริงๆ ก็มีเยอะนะคะ ไอดอลมีหลายอย่างหลายไสตล์
เจน – หนูไม่ได้มีเป็นหลัก ส่วนมากชอบกระจัดกระจาย ถ้าเป็นการแสดงก็ชอบ พี่ใหม่ (ดาวิกา โฮร์เน่) แต่ถ้าเป็นนักร้องก็ชอบหลายคนมาก
เฌอปราง – หนูชอบพี่แก้ม (วิชญาณี เปียกลิ่น)
เจน – พี่แก้มหนูก็ชอบ
ให้ One Take บอกอะไรกับตัวเองในวันนี้
เจนนิษฐ์ – ขออย่างเดียวแค่ดูแลสุขภาพให้ดีที่สุด เวลาป่วยทุกอย่างจะหยุดเลย ซึ่งอาชีพเราป่วยไม่ได้ แล้วบางครั้งให้คนอื่นมาแทนก็ไม่ได้ เวลาป่วยงานก็เสีย แล้วพวกเราเป็นเด็กวัยรุ่น มันจะมีเรื่องนอนเช้า ทำโน่น ทำนี่ ไม่ค่อยดูแลตัวเอง ซึ่งเป็นผลเสียมากๆ เลยในอนาคต อยากเตือนตัวเอง ถึงแม้จะทำได้บ้าง ไม่ได้บ้าง
โมบายล์ – มันคือบทเรียนเราในชีวิต ทั้งอดีต ปัจจุบัน มีแต่รับรู้มัน เพราะเราไปแก้ไขอดีตไม่ได้ เราแค่มุ่งที่จะทำอนาคตให้ดี เวลาจะมีเรื่องอะไรเข้ามาก็ให้คิดว่ามันคือชีวิตเนอะ ต้องรับมือและเดินหน้าต่อไปค่ะ
มิวสิค – สำหรับหนู มันยังไม่ถึงเวลาคัท ยังมีเรื่องราวที่ต้องไปต่อ อย่าเพิ่งท้อกับทุกอย่างที่กำลังผ่านเข้ามา ไว้รอให้ถึงเวลานั้นมันจะคัทก็ต้องคัทจริงๆ เวลานี้ต้องสู้ต่อไป เล่นเรื่องนี้ต่อไปให้จบ
One Take…ชีวิตจริงแบบเทคเดียวไม่มีคัท เมื่อเดินเข้ามาสู่โลกของการเป็นไอดอล
เพราะบางครั้งบทบาทที่ยากที่สุด…ก็คือการเป็นตัวเอง
RECOMMENDED CONTENT
ถ้าคุณได้ติดตามข่าวกันมาบ้าง คนไทยหลายๆคนนั้นอยู่ในวงการ Visual Effect ระดับโลกมากมาย ไม่ว่าจะเป็นงานภาพยนตร์ หรืองานภาพนิ่ง