มาถึงอาทิตย์สุดท้ายของเดือนมกราคมกันแล้ว ความรู้สึกเหมือนเพิ่งจะผ่านปีใหม่กันไปไม่กี่วันนี้เอง คงเพราะว่าช่วงหลังๆมานี้ไม่ได้พักเลย (คอหนังทั้งหลายคงเข้าใจ) ก็แต่ละอาทิตย์เล่นมีแต่หนังดีๆเข้าชิงรางวัลมาฉายให้ชมกันในโรงไม่ขาดสาย อาทิตย์เงินเดือนออกแบบนี้ คงจะเป็นเรื่องอื่นไปไม่ได้นอกจาก “The Wolf of Wall Street” หรือชื่อไทยว่า “คนจะรวยช่วยไม่ได้” ตัวเต็งเข้าชิงออสการ์ของปีนี้ที่ใครหลายคนตั้งตารอ
ผลงานการกำกับเรื่องล่าสุดของ “Martin Scorsese” ผู้กำกับชาวอเมริกันระดับขึ้นหิ้งที่เชื่อว่าผลงานของเขา ต้องมีเป็นหนังในดวงใจของใครต่อใครหลายคนแน่ๆ อาทิเช่น “Shutter Island (2010)”, “The Departed (2006)”, “Taxi Driver (1976)”, “Raging Bull (1980)”, “Goodfellas (1990)” และอีกหลายเรื่องไล่เท่าไรก็คงไม่หมด… ถ้าสังเกตจะเห็นได้ว่าที่พูดมาล้วนเป็นหนังที่พูดถึงเรื่องด้านมืดของคน ความไม่ขาวสะอาดของโลกมนุษย์นั้น (นี่ล่ะสไตล์ถนัดเขา) หลังจากห่างหายแนวทางนี้ไปทำหนังสารคดีและหนังแฟนตาซีดูสนุกอย่าง Hugo มาพักใหญ่ กลับมาครั้งนี้พร้อมกับนักแสดงคู่บุญ (ในยุคนี้) ของเขาอีกเช่นเคย “Leonardo Dicaprio” นักแสดงหนุ่มเจ้าบทบาทจากเรื่อง “Django Unchained (2012)”, “Inception (2010)” “The Aviator (2004)” และอีกมากมาย ในเรื่องนี้เขารับบทเป็น Jordan Belfort ตัวเอกของเรื่องที่ได้เค้าโครงมาจากสมุดบันทึกในชีวิตจริง เรื่องราวที่มาของฉายา Wolf of Wall Street ที่แน่นอนว่าไม่ได้มาแบบสะอาดไร้มลทินแน่นอน เบลฟอร์ทเริ่มต้นชีวิตการทำงานเป็น Stockbroker ธรรมดาๆใน Wall Street คนหนึ่ง เจ้านายของเขา Mark Hanna (รับบทโดย Matthew McConaughey) โบรกเกอร์รุ่นเก๋าสอนให้รู้จักการใช้ชีวิตเสพย์ติดความฟู่ฟ่า ใช้เงินเติบจนเป็นนิจ โอบรับอบายมุขทุกรูปแบบ หลังจากนั้นไม่นานก็เป็นช่วงที่อเมริกาเกิดวิกฤติทางเศรษฐกิจครั้งใหญ่ พอบริษัทล้มละลาเบลฟอร์ทจึงต้องหาทางกู้วิกฤติความจนครั้งนี้ขึ้นมาให้ได้ เขาได้พบกับ Donnie Arzoff (รับบทโดย Jonah Hill) เด็กหนุ่มนอกเมืองที่มองเขาเป็นเหมือนไอดอลขอมาเกาะติดเรียนรู้วิชา จนทั้งสองตัดสินใจร่วมกันเปิดบริษัทเล็กๆขึ้นมามีเป้าหมายหลักคือการเล่นหุ้นแบบนอกกฎทั้งปั่นหุ้น ฟอกเงิน สารพัดวิธีโกงที่จะนึกถึงจนทำเงินได้มากมาย ไม่นานชื่อของทั้งสองก็เริ่มโด่งดังจนเป็นบริษัทใหญ่โต สุดท้ายก็ได้เข้าไปจ้อนกันถึงใน Wall Street อีกครั้งจนได้ มาดูกันว่าเมื่อมนุษย์ถูกอำนาจความโลภและเงินเข้าครอบงจะทำให้คนๆหนึ่งทำอะไรได้บ้าง
สำหรับ Wolf of Wall Street นอกจากจะเป็นการกลับมาทำหนังสไตล์ที่ Scorsese ถนัดแล้ว หนังเรื่องนี้พระเอกของเรา Leonardo เองถึงกับลงทุนร่วมเป็น Producer ด้วยกับมือ ด้วยความที่มีบทนี้อยู่ในใจมานานแล้ว ไม่ได้เล่นซักที ผลก็คือเสียงตอบรับอย่างล้นหลามของคนที่ดูแล้วต่างก็บอกว่า Oscar ต้องให้รางวัลกับเขาปีนี้ล่ะ (หลังจากโดนชวดมาหลายปี) หนังเข้าชิงรางวัลออสการ์สาขาใหญ่ๆรวมถึง 5 สาขา (หนึ่งในนั้นคือภาพยนตร์ยอดเยี่ยมแห่งปี) ซึ่งก่อนหน้านี้พระเอกของเราก็ใจชื้นหน่อยคว้า รางวัลลูกโลกทองคำสาขานักแสดงชายยอดเยี่ยม ที่ถือเป็นเวทีใหญ่ไม่แพ้กัน เอากลับไปนอนกอดที่บ้านรอไปพลางๆ หนังจะเข้าฉายบ้านเราวันพฤหัสบดีที่ 30 มกราคมนี้แล้ว เรื่องราวความวุ่นวายและแกมโกงของเบลฟอร์ทอัดแน่นมายาวถึง 3 ชั่วโมงแบบนี้ (ผู้กำกับบอกว่าตัดหนังครั้งแรกยาวถึง 4 ชั่วโมง) ดูท่าแบบนี้คนดูคงได้สนุกกันเต็มอิ่มแน่ๆ ใครที่รู้ตัวว่าเป็นคนชอบดูหนังประเด็นหนักๆถือว่าห้ามพลาดเลยจริงๆ
Writer: Pakkawat Tanghom
RECOMMENDED CONTENT
การร่วมมือกันระหว่างศิลปิน 2 Generation ที่มามอบความสุขท้ายปีให้แฟนเพลงแบบสวยงาม เมื่อ “LYRA” เกิร์ลกรุ๊ป T-POP กระแสร้อน