ถ้าพูดถึงเสื้อแจ๊คเก็ตหลายคนคงคิดว่าจะต้องเป็นเสื้อนอกตัวหนาที่ทำหน้าที่กันหนาวอย่างเดียว แล้วจะใส่ในไทยเป็นประจำได้อย่างไร? วันนี้เราจะพลิกกรอบของคำว่า “แจ๊คเก็ต” ให้ทุกท่านได้สัมผัสการสวมใส่แจ๊คเก็ตได้ทุกวัน(หรือหลายวัน) โดยอากาศไม่ได้หนาวเย็นจนขนลุก เรามีเสื้อตัวนอก 4 แบบที่สามารถนำมาสไตล์ลิ่งให้ลุคในทุกๆ วันของทุกท่านดูมีมิติแตกต่างแบบมีเอกลักษณ์ครับ ต้องบอกก่อนว่าแต่ละประเภทมีจุดเด่นของตัวเองที่อาจสร้างคาแรกเตอร์ตามลักษณะบุคลิกของบุคคลได้เป็นอย่างดีครับ ติดตามอ่านว่าแจ๊คเก็ต 4 ประเภทที่ท่านสุภาพบุรุษควรมีติดตู้ไว้จะมีอะไรบ้างด้านล่างนี้ได้เลยครับ
1. Safari Jacket
เริ่มกันที่ไอเท็มชิ้นเบสิกที่ชายหนุ่มควรมีติดตู้ไว้อย่างแท้จริงครับ เพราะเสื้อแจ๊คเก็ตตัวนี้ถือเป็นลูกผสมระหว่างความกึ่งทางการกับความลำลองก็ว่าได้ครับ เราจะเห็นว่าลักษณะของเสื้อที่ดูมีเอกลักษณ์คือรังดุมที่เรียงแถวลงมาเป็นแนวตรงประกอบปกเสื้อที่มีการสอดลูกเล่นของซิลูเอตให้เป็นเอกลักษณ์ของแต่ละแบรนด์ กระเป๋า 4 ใบขนาดใหญ่ด้านหน้าก็พร้อมสำหรับฟังก์ชั่นการใช้งานตั้งแต่ทำงานไปจนถึงเที่ยวตะลุยป่าเลยทีเดียวครับ เราจะเห็นเสื้อตัวนี้ปรากฏอยู่ในหน้าฟีดแฟชั่นอยู่เสมอตั้งแต่แบรนด์ดังระดับโลกอย่าง Ernemegildo Zegna, Balmain, Louis Vuitton หรือแม้แต่ Chanel ที่เคยสร้างสรรค์ไอเท็มชิ้นนี้โลดแล่นอยู่บนรันเวย์ของผู้หญิงมาแล้วเช่นกันครับ ถือว่าเป็นแจ๊คเก็ตตัวคลาสสิกที่ทุกคนให้การยอมรับว่ามันคือไอคอนิกพีซอย่างแท้จริง
สำหรับประเทศไทยเสื้อแจ๊คเก็ตซาฟารีไม่ได้ยากเกินจะใส่แน่นอน ถ้าอยากหยิบมา Dress Up ก็เพียงสวมคู่กับเสื้อเชิ้ตกางเกงรีดจีบให้ความเนี้ยบสักหน่อย เพิ่มความทางการขึ้นอีกนิดด้วยเนกไท ฟินิชลุคด้วยรองเท้าหนังตามระดับความทางการที่ต้องการได้เลยครับตั้งแต่รองเท้า Belgian Loafers หนังกลับ ไปจนถึง Oxford สีดำก็ได้ทั้งหมดครับ โดยถ้าจะแต่งให้มีความทางการนั้นเราแนะนำให้เลือกแจ๊คเก็ตสีเข้มพร้อมกับรายละเอียดปก (Lapel) ที่มีลักษณะแบออกเหมือนเสื้อสูทอย่างของ Ascot Chang ที่ร้าน The Decorum และถ้ามี Belt รัดก็คาดพร้อมผูกให้เรียบร้อย แต่ถ้าอยากได้ลุคลำลองก็ง่ายนิดเดียวเพียงเลเยอร์แจ๊คเก็ตซาฟารีผ้าลินินสีอ่อนอย่างของแบรนด์ JBB* เข้ากับเสื้อยืด กางเกงชิโนหรือยีนส์ก็ได้ทั้งหมด สวมคู่กับสนีกเกอร์หรือ Espradilles คู่โปรด เท่านี้ก็จะได้ลุคแจ๊คเก็ตที่ดูลำลองแบบมีสไตล์แน่นอนครับ
ทิปส์เล็กๆ น้อยๆ สำหรับการสวมแจ๊คเก็ตซาฟารีคือการเว้นกระดุมเม็ดบน 2 เม็ดไว้เพื่อเปิดรายละเอียดของเสื้อด้านใน โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อเป็นเสื้อเชิ้ต+เนกไท เราจะเห็นถึงการวางเลเยอร์เสื้อผ้าที่สะท้อนตัวตนเราได้ดีที่สุดครับ
2. Blouson Jacket
สำหรับแจ๊คเก็ตที่เราเรียกว่า “บลูซง” นั้นจะลดความทางการของการสวมใส่ลงมาจากแจ๊คเก็ตซาฟารีอีกนิดหน่อย ความน่าสนใจคือการสร้างลูกเล่นให้เสื้อที่มีความเรียบคลาสสิกมากให้มีความน่าตื่นเต้นกว่าเดิม ด้วยความเรียบง่ายของมันไม่ว่าจะมีคาแรกเตอร์แบบไหน แต่งตัวสไตล์ใดก็แทบจะหยิบเสื้อตัวนี้มาสวมได้ทุกวัน ใครสวมเสื้อยืดเป็นประจำมีเสื้อแจ๊คเก็ตลักษณะนี้ติดตัวไว้ก็จะทำให้ลุคธรรมดาๆ กลายเป็นคนมีสไตล์ในทันตาเลยล่ะครับ ถ้าอยากลองแบบเบสิกก่อนร้านฟาสต์แฟชั่นอย่าง Zara, H&M หรือ Uniqlo ก็มีเสื้อประเภทนี้ขายอยู่ตลอดทั้งปีครับ
ถ้าเสิร์ชกูเกิ้ลแล้วเห็นว่าคำว่าบลูซงมันดูหนาเตอะเกินประเทศไทย ไม่ต้องห่วงครับเพราะจริงๆ แล้วบลูซงนั้นไม่ได้มีแค่แบบหนาเท่านั้น เอกลักษณ์ซิปตรงกลางคือเอกลักษณ์บ่งบอกลักษณะเสื้อ แต่เนื้อผ้าและลูกเล่นเล็กๆ น้อยๆ ขึ้นอยู่กับแต่ละแบรนด์เอง อย่างเสื้อของ Ascot Chang รุ่น Raglan ที่ร้าน The Decorum มีความพิเศษของ 2 ซิปที่สามารถรูดปิดได้อย่างโดดเด่น คือการใช้ซิปบนรูดขึ้นระดับอกเพื่อเชื่อม 2 ฝั่งเข้าด้วยกันและซิปตัวล่างทำหน้าที่รูดขึ้นเพื่อสร้างซิลูเอตให้เสื้อดูไม่เรียบแบนจนเกินไป เท่านี้การสวมเสื้อแจ๊คเก็ตที่ดูเรียบง่ายก็จะมีสไตล์ขึ้นอย่างไม่เคยเป็นมาก่อนเลยทีเดียว
3. Bomber Jacket
สำหรับแจ๊คเก็ตแบบนี้หลายคนคงเคยเห็นผ่านตากันบ้างเพราะรันเวย์แบรนด์ดังที่มีไอเท็มฮิตติดเทรนด์สตรีตอย่าง Dior, Givenchy หรือ Off-White มีไอเท็มชิ้นนี้ให้เราเห็นมาตลอดหลายปีที่ผ่านมาครับ เอกลักษณ์ที่โดดเด่นของแจ๊คเก็ตตัวนี้คือการตัดต่อผ้า 2 แบบเข้าด้วยกันหรือที่เราเรียกกันอย่างติดปาก “จั๊มพ์” นั่นเองครับ ซึ่งเราจะเห็นดีเทลบริเวณชายเสื้อ ปลายแขน และคอว่าว่ามีการใช้วัสดุที่แตกต่าง เอกลักษณ์อย่างหนึ่งคือความพองของตัวเสื้อที่ถูกออกแบบมาสร้างความอบอุ่นและรักษาอุณหภูมิร่างกาย (แจ๊คเก็ตสำหรับนักบินสมัยก่อน) แต่ถ้ามาถึงโลกแฟชั่นฟังก์ชั่นการใช้งานนี้เลือนหายไปเหลือแต่เพียงซิลูเอตอันโดดเด่นที่นำมาใช้สไตลิ่งกันอย่างอิสระ
สำหรับสายสตรีตการเลือกบอมเบอร์ไม่ยากแน่นอนเพราะเน้นสีดำหรือแม้แต่มีลวดลายก็สามารถเลเยอร์เข้ากับเสื้อยืด เสื้อสเวตเตอร์ หรือแม้แต่เสื้อกีฬาต่างๆ ก็ได้ลุคที่จัดจ้าน แบรนด์ดังอย่าง Valentino ก็ชูการสไตลิ่งแบบนี้ให้เราเห็นเป็นประจำ ถ้าหันกลับมาสายเบสิกเน้นความเรียบง่ายการเลเยอร์เข้ากับเสื้อยืดกางเกงขายาวหรือกางเกงยีนส์ก็สร้างลุคมินิมัลที่ดูไม่ธรรมดาได้เหมือนกัน หรือถ้าอยาก Dress Up มาทางซาร์ทอเรียลแต่ยังอยากเน้นความกึ่งทางการอยู่บ้างก็สามารถแมตช์เสื้อบอมเบอร์ที่มีลักษณะเป็นกระดุมอย่างของ Valstar ที่ร้าน The Decorum เข้ากับเสื้อเชิ้ตและผูกเนกไท สร้างความคอนทราสต์ด้วยกางเกงยีนส์ หรือจะลองปรับจากกางเกงยีนส์ให้เป็นกางเกงผ้าวูลที่เสริมความทางการก็จะทำให้ลุคดูสุขุมเพิ่มระดับความทางการให้มากขึ้นแต่ก็ไม่น่าเบื่อจนเกินไปครับ หรือถ้าใครอยากลองสัมผัสร้านจำพวกฟาสต์แฟชั่นก็เป็นทางเลือกที่ดี หรือจะเป็น Massimo Dutti ที่หลายคนอาจจะได้ Soft Bomber Jacket กลับบ้านไปลองสไตลิ่งให้เข้ากับอากาศประเทศไทยกันก่อนเป็นลำดับแรก
ทิปส์ของการใส่บอมเบอร์นั้นเราแนะนำว่าให้เลือกเสื้อพอดีตัวเข้าไว้เพราะซิลูเอตของเสื้อจะทำให้ตัวดูพองขึ้นอีก หากเลือกโอเวอร์ไซส์จะยิ่งทำให้ลุคดูพองหนาเกินความพอดี และไม่ต้องกังวลว่าสวมเสื้อตัวนี้แล้วจะร้อนเกินไป เพราะบอมเบอร์ถูกออกแบบมาให้คลุมไหล่ได้ด้วย (ใส่ในอากาศเย็นและคลุมไหล่ตอนเจออากาศร้อน) หรือจะเลือกแบบผ้าและรูปทรงแบบบางที่ถูกพัฒนาขึ้นในช่วงหลังก็ได้เหมือนกัน
4. Sport jacket – Blazer jacket
แน่นอนครับว่าสุภาพบุรุษแทบทุกคนจะต้องมีเบลเซอร์ แจ๊คเก็ตหรือที่เรียกง่ายๆ ว่า “เสื้อสูท” ติดบ้านกันอยู่แล้ว การใส่ในประเทศไทยอาจจะดูเต็มและมองดูทางการเกินไป แต่แท้จริงแล้วเบลเซอร์สามารถสวมใส่ได้ทุกวันครับ เพียงแต่อาจจะต้องเปลี่ยนสไตล์มาสลับสวมกับกางเกงที่ไม่เข้าชุดดูบ้าง หรือ “Jacket & Pants” ถ้าใครชอบแบบแพตเทิร์นเนี้ยบกริบมีการขึ้นทรงเสริมไหล่และวางโครงอย่างแน่นทุกกระเบียดนิ้วสูทสไตล์อังกฤษหรือตามร้านตัดสูททรงดั้งเดิมต่างๆ ทั่วประเทศไทยตอบโจทย์แน่นอน หรือถ้าอยากได้ความแฟชั่นมีซิลูเอตเฉพาะตัวการเลือกซื้อแบบ “Off The Rack” หรือ “Ready to Wear” ก็เป็นตัวเลือกที่ทำให้การสวมแจ๊คเก็ตแบบนี้สนุกขึ้น แบรนด์อย่าง VVON SUGANNASIL ก็เป็นอีกแบรนด์ที่สร้างประสบการณ์ใหม่การสวมแจ๊คเก็ตแบบนี้ให้ได้ในชีวิตประจำวัน เพราะความลำลองที่สอดแทรกเข้ามาทำให้เสื้อสูทออกมาลงตัวเหมาะกับวัฒนธรรมบ้านเราแต่ก็ยังไม่ละทิ้งความเป็นเสื้อสูทที่หลายคนคุ้นชินอยู่ครับ
หรือถ้าใครเห็นว่าการสวมสูทเป็นคาแรกเตอร์ประจำตัวที่น่าสนใจ การมีเสื้อสูทคุณภาพดียิ่งเสริมบุคลิกให้เพอร์เฟกต์มากยิ่งขึ้น สูทมีตั้งแต่ทางการไปจนถึงลำลองขึ้นอยู่กับผ้า สไตล์การตัดเย็บ รวมถึงสีสัน ใครกำลังมองหาสูทแบบ Unstructured อาจเล็งถึงสูทสไตล์ Neapolitan แบรนด์ต่างๆ จากทั้งญี่ปุ่น เกาหลี และต้นตำรับอย่างอิตาลีที่ร้าน The Decorum หรือจะมุ่งเน้นไปที่สูทสไตล์นี้ระดับท็อปอย่าง Liverano & Liverano ทาง The Somchai ก็มีพร้อมบริการ แบรนด์ใหม่อย่าง Gentle Rams เองก็มีเอกลักษณ์เฉพาะตัว Pinky Tailor เจ้าดังก็ออกแบบสูทสอดคล้องไปกับคาแรกเตอร์ผู้สวมใส่ได้อย่างน่าสนใจ หรือถ้าอยากกระโดดไปฝั่งอังกฤษที่มีความเนี้ยบเคร่งครัดการใช้ผ้าจาก Savile Row ตัวอย่างเช่น Scabal หรือ Holland & Sherry ก็สะท้อนถึงคุณภาพที่คนเลือกใส่ใจ และปิดท้ายด้วย The Huntsman ที่มาพร้อมกับความสมบูรณ์แบบในราคาเหยียบ 2 แสนบาท และเคยเปิด Trunkshow ในประเทศไทยกับทาง The Decorum ด้วยครับ
แท้จริงแล้วไม่ใช่แค่แบรนด์หรือลักษณะเสื้อสูทเท่านั้นแต่การสไตลิ่งก็สำคัญ การสวมสูททุกวันไม่จำเป็นต้องผูกเนกไทประกอบกางเกงเข้าชุด แต่ทุกท่านสามารถมิกซ์แอนด์แมตช์ได้อย่างอิสระ สวมคู่กับยีนส์ เสื้อเชิ้ต เสื้อยืด เสื้อโปโล เรื่องรองเท้าเองก็ปรับระดับความทางการได้ตั้งแต่รองเท้าผ้าใบไปจนถึงรองเท้าหนัง Bespoke คู่รัก เพราะฉะนั้นการสวมเบลเซอร์คือการสร้างความท้าทายในการสร้างคาแรกเตอร์และความสร้างสรรค์ให้กับตัวเอง ลืมภาพจำไปเลยว่าเสื้อสูทเป็นเรื่องทางการและน่าเบื่อ เพราะจริงๆ แล้วเราบอกเลยว่าทุกท่านสามารถสวมเสื้อสูทได้เป็นปกติทุกวันครับ
Contributor : The Decorum Bangkok
RECOMMENDED CONTENT
ทำเอาใครหลายคนตื่นเต้น หลัง เอ็ม เทอร์ตี้ไนน์ ( M39) ได้จับมือกับ mad Arai-D ปล่อยเอ็มวีแรกออกมาให้รับชม กับเพลง “วอน” เพลงประกอบภาพยนตร์เรื่อง “วอน (เธอ)” ภาพยนตร์รักวัยรุ่น 4 มุมมองของคน 4 คน แต่เป็นความรักเรื่องเดียวกัน ออกมาให้แฟนภาพยนตร์ดูเป็นน้ำจิ้มก่อนจะได้เห็นตัวอย่างภาพยนตร์กันในอีกอึดใจ