หลังจากที่วงดนตรีมากฝีมือ ที่เป็นขวัญใจวัยรุ่นนักฟังเพลงทั้งหลาย (รุ่นใหญ่) อย่างอพาร์ตเมนต์คุณป้า เปิดตัวอัลบั้มพร้อมซิงเกิ้ลใหม่กันไปเมื่อช่วงต้นปีที่ผ่านมา เชื่อว่าช่วงหลังๆมานี้เราคงได้เห็นชื่อของคุณตุล ไวฑูรเกียรติ หรือ ตุล อพาร์ตเมนต์คุณป้า ทั่วไปหมด ไม่ว่าจะเป็นในฐานะของนักร้องนำวงอพาร์ตเมนต์คุณป้า เป็นนักกวีของเมืองไทย เป็นดีเจเปิดค่ายดีเจขึ้นมาเอง เป็นนักลงทุน เป็นหนุ่มชอบปาร์ตี้ และอีกหลากหลายบทบาทที่เขาแสดงออกมาให้สังคมเห็นไม่ซ้ำแบบกัน ทำให้เราเกิดความสงสัยอยากรู้จักพูดคุยแลกเปลี่ยนความคิดเห็นกับผู้ชายคนนี้ดูสักครั้ง เรานัดเจอกันที่ Quay Record, Bad Hotel ย่านทองหล่อ ร้านน่านั่งบรรยากาศสบายๆ ไม่นานบทสนทนาก็เริ่มขึ้น
ชีวิตวัยเด็กของตุล อพาร์ตเมนต์คุณป้าเป็นยังไงบ้าง?
ตอนเด็กๆก็เรียนหนังสือตามปกติครับ สมัยประถมเรียนอยู่สาธิตประสานมิตร ผมว่าค่อนข้างเป็นเด็กปกตินะ ก็เรียนหนังสือ เป็นเด็กกิจกรรมก็ทำกิจกรรม ใครอยากให้ทำอะไรก็ทำ พ่อแม่อยากให้ทำอะไรก็ทำ ครูอยากให้ทำอะไรก็ทำ
เด็กสมัยนั้นกับเด็กสมัยนี้ต่างกันอย่างไร?
ผมว่าเป็นเรื่องของสื่อ… เด็กสมัยนี้รู้เรื่องเยอะกว่าสมัยนั้น แต่เรื่องสมาธิ สมัยนั้นเราจะมีสมาธิทำอะไรมากกว่า เพราะว่าสื่อเราน้อย ไม่ได้มีอะไรมากมายที่จะดึงเราไปไหนได้ อินเตอร์เน็ตก็ไม่มี ความบันเทิงของเราคือ เล่นกับเพื่อนบ้าง เล่นกีฬ่าบ้าง เล่นวิดีโอเกม เมื่อก่อนเราแค่มีวิดีโอเกม Nintendo เครื่องนึงนั่นก็เสียสมาธิไปแล้ว ฉะนั้นแรงจูงใจที่จะพาเราไปทำอย่างอื่นก็เลยน้อย เรามีเวลาได้เรียนหนังสือเยอะขึ้น ได้อ่านหนังสือ ของผมตอนเด็กจะได้อ่านหนังสือเยอะ เพราะอยู่ในบ้านที่ส่งเสริมการอ่าน เขาจะตามใจเรื่องอ่านหนังสือ อยากอ่านเรื่องไรก็จะได้
อ่านหนังสือประเภทไหน?
อ่านทุกอย่างเลยครับ การอ่านมันอยู่ในชีวิตประจำวันผมมาตั้งแต่เด็กๆ ผมชอบอ่านการ์ตูน… หนังสือจริงจังก็ชอบอ่านชีวิตสัตว์ วิทยาศาสตร์ ประวัตินักประดิษฐ์ พวกหนังสือสารานุกรมที่มีรูปภาพประกอบ ตอนเด็กๆจะเริ่มจากตรงนั้น พวกวรรณกรรมนี่ที่จำได้ตอนเด็กชอบเรื่องแรกเลยคือ ไซอิ๋ว ตอนนั้นมีคนแปลมาแบบการ์ตูนนิทานภาพด้วย อันนั้นน่าจะเป็นเรื่องยาวๆเรื่องแรกที่ติดตาม แล้วก็ไปอ่านพวกนิยายจีนต่อ รวมถึงหนังสือเรียนผมก็ชอบอ่านนะ ผมชอบเรียนทุกวิชา…ผมเป็นเด็กเนิร์ด
แล้วมาผูกพันกับดนตรีได้อย่างไร?
แรกๆตอนเด็กๆก็เริ่มประสบการณ์ดนตรีด้วยการเป็นผู้ฟัง ฟังมาเรื่อยๆ พอช่วงม.ต้น ก็เริ่มจะรู้จักเก็บสะสมพวกเทป Cassette สะสมซีดี ก็มีการเล่นเพลง Cover ในโรงเรียนมัธยมแล้วแต่ว่าอะไรฮิตก็เล่นดนตรีกับเพื่อน ตอนแต่งเพลงได้ครั้งแรก ตอนนั้นไปเป็นนักเรียนแลกเปลี่ยน AFS อยู่ที่อเมริกา ผมได้ฟังเพลงของพราย “ปฐมพร ปฐมพร” แล้วมันทำให้ผมรู้สึกว่า แต่งเพลงมันก็เป็นเรื่องที่น่าสนุกนะ แล้วผมก็ลองแต่ง แล้วก็ทำได้ ….มันเป็นความบังเอิญนะ เพราะก่อนหน้านั้นไม่เคยคิดอยากจะแต่งเพลงมาก่อนเลย
ชีวิตตอนไปอยู่อเมริกาได้เรียนรู้อะไรเยอะไหม?
ถามว่าตอนนั้นได้เรียนรู้อะไรรึเปล่าก็ไม่เชิง เพราะตอนนั้นเรายังเด็กล่ะครับ มันเป็นเรื่องของการปรับตัวมากกว่า ผมว่าการที่เราได้ไปอยู่ในสิ่งแวดล้อมใหม่ เช่น เราต้องไปหาเพื่อนใหม่ทั้งหมด มันเหมือนการฝึกสัณชาตญาณอะไรบางอย่างของเรา ฝึกการปรับตัวให้เข้ากับวัฒนธรรม จากเด็กไทยก็ต้องทำตัวให้เป็นเด็กแคลิฟอร์เนีย จากเด็กที่เคยอยู่กรุงเทพมีทุกสิ่งทุกอย่าง ก็เปลี่ยนไปอยู่ Solvang เป็นเมืองทำไวน์ของอเมริกา บรรยากาศค่อนข้างจะเงียบสงบ ถ้าเป็นตอนนี้ผมชื่นชมที่นั่นได้มากกว่าตอนเด็กๆ พอเราอายุมากขึ้นเราชื่นชมความงามของมันได้ ผมกลับไปเมื่อ 5-6 ปีที่ผ่านมา ผมชื่นชมมันรู้สึกว่ามันสวยมากๆเลย ถ้าใครดูหนังเรื่อง Sideways (2004) เนี่ยจะชอบ มันเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นแถวๆนั้นอะครับ พอกลับมาเมืองไทยตอนนั้นก็คิดว่าจะสอบเอ็นทรานซ์ดีรึเปล่า? สับสนว่าจะเรียนมหาลัยดีไหม? มันเป็นช่วงที่ไม่รู้ว่าชีวิตอยากจะทำอะไร กับที่บ้านตอนนั้นผมเลยก็ต้องแถ แถด้วยเล่ห์กลอะไรบางอย่าง (ขำ) หาวิธีแถไปเรื่อยๆ เอาง่ายๆเวลาคนที่เป็นเด็กเรียนตั้งแต่เด็กจะเข้าใจดี เราจะโดนความคาดหวังสูงจากที่บ้านว่า “โตไปเป็นอะไร” เป็นคำถามที่เราเองก็ยังไม่รู้เลย แล้วการเรียนต่อมหาวิทยาลัยของเมืองไทยมันไม่ใช่เราไปสมัครแล้วจะเอาไม่เอาก็ได้ มันมีแต่แบบหนึ่ง ติดก็ติดไปเลย กับสอง แกล้งสอบให้ออกมาห่วยๆแล้วมันไม่ติดเลย ตอนนั้นผมมั่นใจกับตัวเองเลยว่าถ้าจะสอบยังไงก็ติด ซึ่งถ้าเกิดสอบผ่านจริงๆเราไม่รู้จะบอกเขายังไงว่า จริงๆเราไม่ได้อยากเลือกคณะนั้นคณะนี้ครับ โอ้ ผมว่าไอ้ระบบสอบเอ็นทรานซ์ของเมืองไทยเนี่ย มันโหด! สู้แบบว่าไปสมัครเข้าตรงเลย เค้ารับไม่รับมันอาจจะดีกว่า
แล้วสรุปทำยังไง?
สุดท้ายตอนนั้นผมไปอยู่นิวซีแลนด์ 6 เดือน ไปทำงานร้านอาหารหาเงินเอง ลองลงคอร์สเรียนถ่ายภาพ ก็เหมือนกับไปใช้ประสบการณ์ชีวิต ได้ตั้งวงดนตรีเล่นๆครั้งแรก กับเพื่อนฝรั่งที่โน่น เป็นวงที่เล่นแต่เพลง Moderndog (หัวเราะ) ก็สนุกดี หกเจ็ดเดือนที่อยู่ที่นั่นก็ได้อยู่กับธรรมชาติเยอะเหมือนกัน ตอนอยู่นิวซีแลนด์ผมแต่งเพลงออกมาเยอะ เพราะมันเงียบสงบ มันไม่มีอะไรทำ ได้ขี่จักรยาน เล่นเทนนิส เป็นนักเทนนิสประจำโรงเรียนที่นั่น
สุดท้ายก็ยังไม่ได้เรียนอะไรที่เกี่ยวกับดนตรี?
หลังจากนั้นก็กลับมาเมืองไทยครับ กลับมาอยู่กรุงเทพได้สักพักนึงก็รู้สึกอิ่มตัว ตอนนั้นเลยตัดสินใจว่าจะไปเรียนเศรษฐศาสตร์ละกัน เพราะมันเป็นศาสตร์ที่ผมสนใจ ก็ไปต่อที่ San Diago แคลิฟอร์เนีย… เรียนได้ประมาณเกือบปี พอดีมีญาติอยู่ที่นิวยอร์ก ผมก็ย้ายมานิวยอร์กเพราะอยากดูคอนเสิร์ตเยอะๆ (หัวเราะ) ตอนนั้นตัดสินใจมาเรียนสิ่งที่ใกล้ชิดกับดนตรีมากที่สุดไปเลยดีกว่า ย้ายจากเศรษฐศาสตร์มาเรียนที่ Five Towns college มันสามารถเรียน Business Management กับบันทึกเสียงไปด้วยกันได้ แต่ตอนนั้นไม่ได้ทำเพลงตัวเองออกมาเลยครับ ผมแต่งเพลงเก็บไว้อย่างเดียว เพราะช่วงหลังพอเรามีเพื่อนที่เล่นดนตรีด้วยกันที่ไทยแล้ว ผมรู้สึกว่า ผมจะเล่นเพลงกับใคร ผมต้องเล่นกับเพื่อนผม ให้เราไปมีวงกับต่างชาติคนอื่นที่ไม่ได้มีความฝันเดียวกับเรา ทำแค่ชั่วคราว ผมเลือกเก็บพลังงานนั้นไว้ดีกว่า ผมก็บอกเพื่อนๆที่เมืองไทยให้รอนะ เดี๋ยวเรากลับมาทำเพลงกัน
มาเริ่มทำเพลงจริงจังตอนไหน?
ช่วงก่อนไปอเมริกาผมเคยทำเพลง Demo กับคุณบีม (Knock the Knock) เอาไว้ แล้วผมก็แนะนำคุณบีมให้ไปรู้จักกับคุณปั๊ม คุณปิ้บ แต่ตอนนั้นผมต้องขอหยุดไปเรียนต่อมหาวิทยาลัยก่อน บีมกับปั๊มกับปิ้บเค้าก็เลยได้ไปเจอคุณช้าง เกิดเป็นวง “Siam Secret Service (S.S.S.)” ถึงตรงนั้นผมก็ยังไม่ได้ทำอะไรเป็นชิ้นเป็นอัน แล้วพอกลับมาทำเพลงไทยก็เลยมาทำ อะไรจ๊ะ กับเพื่อนๆแก๊งค์เดิมต่อครับ ทำออกมากันคนไม่ค่อยฟังหรอกครับตอนแรก คนจะบอกกันว่ามันฟังยากบ้าง ฟังไม่รู้เรื่องบ้าง ตอนนั้นมีค่ายชื่อ “หัวลำโพงริดึ่ม” ของพี่กอล์ฟทีโบน ให้โอกาสเรา ก็จะมี Skalaxy จะมี Photo Sticker Machine แล้วก็ Day Tripper ที่อยู่กับค่ายนี้
Movement หลัง อะไรจ๊ะ?
ก็คือ… พอ อะไรจ๊ะ ออกมา มันก็ค่อนข้างเจ๊งอะนะครับ จริงๆมันก็มีอิมแพคในแง่ที่เพลงมันแตกต่าง งานเรามีคนฟังอยู่กลุ่มเล็กๆ แต่คนที่ฟังแล้วบอกฟังไม่รู้เรื่องมันมีเยอะกว่าครับ ทุกคนก็เลยกระจายกันไป คุณบีมกับคุณปิ้บก็แยกไปศึกษาต่อ ตอนนั้นผมว่างอยู่ก็ได้รับโทรศัพท์จาก คุณใหม่ อพาร์ตเมนต์คุณป้า เขาชวนมาเล่นดนตรีด้วยกัน ตอนนั้นยังไม่มีชื่อวงเลย เขาบอกเขาต้องการนักแต่งเพลงมาร่วมวง มีใหม่ มีพี่บอล พี่จ้า แค่แจมดนตรีกันครั้งเดียวเนี่ยผมก็คลิ๊กละ ผมรู้สึกแบบ โอ้โห ทำงานกับคนกลุ่มนี้มันง่ายมาก ง่ายจริงๆเลย ผมก็โทรเรียกปั้ม ไหนๆเราก็ว่างละ เรามาทำนี่ต่อกันเถอะ ก็จึงได้เกิดเป็นวงอพาร์ตเมนต์คุณป้า ตามๆกันมานี่ล่ะครับ
จากวันนั้นถึงวันนี้มีวิธีการอยู่ในวงการดนตรีได้ยังไง?
สำคัญคือต้องอดทนนะ แล้วก็ไม่ต้องคิดมาก ไม่คิดมากในแง่ของเสียงตอบรับ… เราอาจจะไม่ได้เป็นศิลปินที่มีการตอบรับในวงกว้าง แต่อย่างน้อยเราก็มีแฟนที่เราคิดว่าเหนียว ส่วนคนที่ตอนแรกคิดว่าฟังยากพอเวลาผ่านไปก็คุ้นเคยมากขึ้น เราใช้วิธีนั้น ค่อยๆให้ความคุ้นเคย เราไม่ได้คิดอะไรมากว่าจะต้องดังเปรี้ยงปร้างเลย ตอนเราทำเพลงเราก็คิดว่าผู้ฟังเรามีแค่ห้าคน… คือคนที่อยู่ในวงนี่ล่ะ (ยิ้ม) เราต้อง Entertain กันเองให้ได้ก่อน ถ้าเราเล่นแล้ว… แค่ห้าคนเราสนุกแล้ว ผมว่าคนอื่นก็คงจะฟังได้
การทำงานตั้งแต่อยู่ค่ายเล็กจนย้ายมาอยู่กับค่ายใหญ่ต่างกันไหม?
ย้อนไปตอนเป็นวัยรุ่นมันจะมี Creativity อีกแบบ คือหนึ่ง… มันว่าง ตอนเราวัยรุ่นมันเป็นช่วงตกงาน ก็เจอกันทุกวัน ไปกินเหล้ากัน ไปนอนค้างบ้านกัน มันจะมีเวลาที่อยู่ด้วยกันแบบเหมือนเข้าค่ายลูกเสือ ถ้าใครเคยฟังอพาร์ตเม้นท์คุณป้าชุดแรก ดนตรีมันจะมีสีสัน มันจะ โห มั่วซั่วไปหมดเลย คือมันจะหลากหลาย เพราะเป็นการแจมดนตรีกัน มันคือการบังเอิญมีเวลาว่างอยู่ด้วยกันเยอะๆแล้วก็แจมกัน พอเราอายุมากขึ้นทุกคนมีงานต้องไปทำนู่นทำนี่ ลักษณะการทำงานเลยเป็นเรื่องของวิธีคิดมากขึ้น เพลงก็จะเป็นเพลงแต่ง แต่งแล้วก็นำไปประมวลผล ไปเรียบเรียง แล้วก็บันทึกเสียง
ความเป็นกวีในตัวเกิดขึ้นมาได้อย่างไร?
จริงๆผมแค่อยากเขียนเพลง แต่มันจะมีบางวันที่เราแต่งเพลงไม่ได้ ถ้าครั้งไหนเรารู้ว่าเราจะแต่งเพลงมันจะมีทำนองมาในหัว แต่ถ้ามันไม่มีทำนอง เมื่อมีปัญหาในใจระบายออกไปมันก็เป็นบทกวี ซึ่งตอนนี้ก็ทำน้อยลงเยอะ น้อยลงถึงแทบจะไม่มีเลยนะ เพราะว่าเรื่องที่กระทบใจในชีวิตน้อยลงมาก พอเราอายุมากขึ้น ปัญหาที่เคยมองให้เป็นเรื่อง ก็กลายเป็นไม่ค่อยมี ผมว่ามันก็สูญเสียเหมือนกันนะ การที่เรามีสุขภาพจิตดีขึ้นเราก็สูญเสียความคิดสร้างสรรค์ไปเหมือนกัน หลังๆนี้เริ่มรักษาสุขภาพ ผมมีสุขภาพจิตดีขึ้น ผมนอนหลับสบายขึ้น… เมื่อก่อนผมเป็นคนนอนไม่หลับเป็นคนวิตกกังวล แต่สิ่งที่ผมได้รับมาก็คือ… ของขวัญนะ มันคือความคิดสร้างสรรค์
เป็นปัญหาไหม?
ไม่เป็น ผมว่ามันเป็นสิ่งที่ดีนะที่ชีวิตเราไม่มีปัญหา… (ยิ้ม) ตอนนี้ผมว่าผมสามารถอยู่ได้โดยไม่ต้องพึ่งพาตรงนี้ เพราะว่าหนึ่งคือเรามีเรื่องที่เราเขียนไว้แล้ว ผมคิดว่าชีวิตนี้ถึงผมจะแต่งเพลงเพิ่มไม่ได้ แต่อพาร์ตเมนต์คุณป้าจะทำงานต่อไปได้ เพราะเรามีสต็อก มีวัตถุดิบที่เราเคยเขียนไว้ค่อนข้างเยอะ ตอนนี้มองตัวเองอยู่ในลักษณะ เข้าสู่โหมดเป็น Entertainer นะ ผมว่าผมใช้โหมด Artist ไปแล้ว ช่วงนี้เรานำของที่เราคิดไว้แล้ว มาผลิต เป็นโหมดที่เราสร้างความบันเทิงให้ทุกคนแล้วล่ะ สร้างความสุขให้ทุกคน เรื่องความทุกข์ของเรา เราเขียนมันไปแล้ว
นอกจากงานเพลงและงานศิลปะ เห็นว่าพี่ตุลก็เป็นนักลงทุนด้วย?
ครับ ผมมองว่าการลงทุนมันเป็นเรื่องวินัย… ตั้งแต่ผมเริ่มลงทุน มันทำให้ผมมีกิเลสในชีวิตลดลง มีความไม่อยากได้อะไรเลย เมื่อก่อนผมเป็นคนที่ค่อนข้างจะตามใจตัวเอง กิเลสเยอะ อยากได้อะไรก็จะซื้อ จะใช้ฟุ่มเฟือย เราเป็นคนหาเงินเองได้มาตลอด ตั้งแต่อยู่อเมริกาก็จะทำงานไปด้วย ก็ต้องขอบคุณยุค IMF จากที่เราเคยอยู่สบายๆ เราก็จะพยายามแบ่งเบาในเรื่องของที่บ้านในการทำงานร้านอาหาร ตรงนั้นเป็นการฝึกวินัย แต่ตอนนั้นไม่รู้จักเรื่องของการออมหรือการลงทุนหรอกครับ ก็คือเรารู้ว่าเราหาเงินได้เยอะ ก็ใช้ไปเยอะ
เริ่มสนใจมันได้ยังไง?
เรื่องการลงทุน มันเป็นความบังเอิญเหมือนกันนะ ตอนนั้นรู้สึกจะเป็นปี 2003 ผมอยากจะไปอเมริกา ผมเก็บเงินทำงานได้ประมาณแสนกว่าบาท กะจะไปผลาญที่อเมริกา จะไปซื้อแผ่นเสียงไปทำนั่นทำนี่ เมื่อก่อนชอบอย่างนี้มาก ซื้อแผ่นเสียง ซื้อซีดี เอาให้มันเต็มที่ แล้วค่อยกลับมากรุงเทพฯ แต่ผมขอวีซ่าไม่ผ่าน เลยไม่ได้ใช้เงินก้อนนั้น ด้วยความบังเอิญอะไรไม่รู้ พ่อเลยบอกว่า ถ้าไม่รู้จะเอาไปทำอะไร ก็ไปซื้อหุ้นก่อน ดีกว่าฝากแบงค์ “หุ้น” ฟังแล้วมันดูแบบ คือถ้าเราเล่นคงดูเป็นนักธุรกิจ ซึ่งจะดูขัดกับจิตวิญญาณบุปผาชนของเรามาก (หัวเราะ) มันจะอยู่กันได้หรือเปล่า ตอนเป็นวัยรุ่นมันจะมีความรู้สึกของความกลัวจะไม่เท่ ตอนเป็นเด็กไม่รู้มีความคิดอะไร คิดว่าการมั่นคงทางการเงิน มันถือเป็นอะไรที่เท่น้อยที่สุดในโลกที่เราจะเป็นได้ เราต้องอยู่แบบพันธ์หมาบ้าสิวะ เราต้องอยู่วันต่อวันสิ Live fast, Die young แต่พอลองอ่านหนังสือของ Warren Buffett ก็เริ่มรู้สึกว่า แบบนี้เนี่ยแหละ Rock n’ Roll ของจริง เขาเป็นคนที่ประสบความสำเร็จในการลงทุนมาก แต่เงินไม่มีความหมายอะไรในชีวิตเขาเลย เขายังใช้ชีวิตเหมือนเดิม เขายังคงทำตัวเหมือนเดิม เขามีศิลปะในการลงทุน แล้วเขาก็ไม่ได้เป็นคนตามใจกิเลส ผมเชื่อว่า Warren Buffett เขาเป็นศิลปินนะ ในการพูดการจา ในปรัชญาทุกอย่าง เขามีจังหวะที่ดี แล้วเขามีความสุขกับสิ่งที่เขาทำ
แสดงว่ามันอยู่ที่วิธีคิด มันไม่ได้อยู่ในสิ่งที่เป็นเปลือก?
ใช่ ผมก็เลยมองว่า Rock n’ Roll มันไม่จำเป็นต้องใช้ชีวิตแบบพันธ์หมาบ้า มันมีอีกวิธีหนึ่งที่เป็นขบถได้เหมือนกัน ผมก็เลยจะเป็นขบถในอีกแบบหนึ่ง ก็เลยเริ่มลงทุน
เริ่มเรียนรู้กับมันยังไง?
พอเรารู้สึกว่า เนี่ยแหละ! ศิลปะของการลงทุน มันสุดยอดเลย! มันไม่มีสูตรสำเร็จ มันเป็นศิลปะที่ทุกคนต้องทำเอง แต่งเพลงก็เหมือนกัน มันไม่มีสูตรบอกใครหรอกว่า เพลงสไตล์ไหนจะเวิร์ค มันไม่มีสูตรสำเร็จที่บอกว่า เพลงที่ฟังยากที่เราเขียนเนี่ย มันอยู่มาได้สิบกว่าปี เพราะฉะนั้นตอนที่เราทำตอนแรกคนก็ด่าเรา เหมือนวิธีลงทุนของผม มันเป็นวิธีที่คนรอบข้างก็ไม่เชื่อในวิธีลงทุนของเราเหมือนกัน มันก็เป็นความขบถอย่างหนึ่ง กับนักลงทุนที่ไม่ Mainstream เป็นนักลงทุนที่มีวิธีของตัวเอง อย่างเมืองไทยก็อาจมี ดร. นิเวศน์ มีการลงทุนที่เขาทำมานาน มันไมใช่ทุกคนทำได้เหมือนเขา เราต้องมีวินัยและต้องมีวิธีการมองโลกที่ประหลาดเหมือนกัน ถึงจะเป็น Warren Buffett ได้
เป้าหมายในการลงทุน?
อยากลงทุนไปตลอดชีวิตครับ คือจะลงทุนตลอดเวลา เหมือนเล่นดนตรีเหมือนกัน ก็ทำต่อไปเรื่อยๆ ผมว่าชีวิตมันมีแค่นี้แหละ ความสุขของผมคือ ผมได้ทำในสิ่งที่ผมทำอยู่ซ้ำๆซากๆทุกวัน ชีวิตผมค่อนข้างจะซ้ำซาก ผมจะมีกิจกรรมอยู่ไม่กี่อย่างที่ผมทำและชอบ
มีงานอดิเรกที่ชอบทำไหม?
ออกกำลังกายครับ เพราะผมอายุขนาดนี้แล้ววิธีที่อพาร์ตเมนต์คุณป้าเล่นคอนเสิร์ตมันใช้ร่างกายสูง ถ้าไม่เล่นฟิตเนส เราก็ไม่สามารถเล่นแบบนี้ไปได้อีกนาน ก็เลยเป็นอีกวินัยหนึ่งที่เราต้องทำ.. พื้นฐานผมเป็นคนดื่มจัด ปาร์ตี้ทุกวัน ก็เลยนอกจากมีวินัยในการออกกำลังกายและก็มีวินัยในการกินเหล้าด้วย (หัวเราะ)
เสน่ห์ของการปาร์ตี้คืออะไร?
ถึงจุดนี้ปาร์ตี้คือการทำอะไรซ้ำซาก เราวนเวียนอยู่กับเพื่อนกลุ่มเดิมๆแล้วเราแค่เปลี่ยนจุดในการสังสรรค์ มันฟังดูเหมือนแตกต่าง ฟังดูเหมือนตื่นเต้น แต่จริงๆมันคือกิจกรรมเดิมๆ ผมว่ามันเหมือนการเป็นนักบวชเหมือนกันนะการปาร์ตี้ มันมีพิธีกรรมของมัน เหมือนพระก็ต้องมีการทำวัตรเช้า ออกไปบิณฑบาต กลับมาฉันท์เพล ตอนบ่ายๆก็สนทนาธรรมหรือทำอะไรก็แล้วแต่ คนปาร์ตี้ก็เหมือนกัน สองทุ่มก็เริ่มออกเดินกันเหมือนธุดงค์แล้ว ไม่ต้องนัดกัน ตามทองหล่อตามเอกมัย เดี๋ยวก็เจอกัน เจอกันก็จะมีการ… เหมือนกับทำวัตรเช้า ก็เริ่มต้นดื่มก็ซักนิดหน่อย แล้วก็มีการสนทนา คือมันก็จะเริ่มๆมีพิธีกรรมของมัน ถึงตีสองตีสาม ก็โอเคเสร็จกลับบ้าน
ปาร์ตี้แบบไหนคือปาร์ตี้ที่ผิด?
คงเป็นการปาร์ตี้ที่หวังผลอย่างอื่นครับ คนบางคนหวังผลจากการปาร์ตี้นะ เช่นบางคนไปปาร์ตี้เพื่อหวังหาคอนเนคชั่น บางคนไปปาร์ตี้เพราะหวังจะไปจีบสาว หรือบางคนไปปาร์ตี้… จะเพราะอะไรก็แล้วแต่ นั่นละเขาจะไม่มีความสุข แต่ของเรา เราปาร์ตี้แค่เพราะอยากจะทำ แค่นี่ล่ะครับ คือมันปาร์ตี้มันไม่ควรมีอะไรมากกว่านั้น บางคนปาร์ตี้หวังผล ผมเจอแล้วผมจะไม่สนุก
ปรัชญาการใช้ชีวิต ของตุล อพาร์ตเมนต์คุณป้า?
ตอนนี้นะครับก็ รักษาสุขภาพให้แข็งแรง ทำในสิ่งที่เราทำได้ สิ่งไหนที่เราไม่ได้ก็บอกไปตรงๆว่าเราทำไม่ได้ อย่าฝืน ผมว่าคนเราเกิดมาทำได้ไม่ทุกอย่างหรอ ทำในสิ่งที่เหมาะกับธรรมชาติของเรา ชีวิตผมไม่เคยจำเป็นต้องตั้งความหวังไว้กับอะไร ไม่ว่าจะเป็นเรื่องดนตรีหรือเรื่องอะไร มันเหมือนผมแค่ตั้งใจทำไปเรื่อยๆ ซึ่งจริงๆผมอาจจะโชคดีด้วยนะ ถ้าไม่มีเพื่อนรอบข้างแบบนี้ก็คงไม่ได้ทำแบบนี้ เราทำไปเรื่อยๆจนบางทีเราไม่คิดมาก่อนว่ามันจะเป็นไปได้ เหมือนเรื่องเปิดร้านแผ่นเสียง ผมเปิด Quay Record กับ DJ Pichy ไปๆมาๆตอนนี้มันเป็นเหมือนงานอาร์ตไปละ เพราะไม่น่าเชื่อว่ามันจะทำให้คนพูดว่า ควยออกทีวีได้! แต่มันเกิดขึ้นแล้ว (หัวเราะ)
อยากฝากอะไรถึงน้องๆนักดนตรีรุ่นใหม่?
ฝากบอกอะไรดีครับ ก็อยากบอกว่าขอให้ทุกคนมีความสุข (หัวเราะ) ก็คือ… สำหรับคนที่สนใจเรื่องการทำดนตรี จริงๆถ้าเริ่มต้นผมก็ไม่แนะนำให้ไปอยู่ค่ายใหญ่นะ เพราะว่าเรายังต้องลองผิดลองถูกเองก่อน คนที่รู้จักล้มลุกคลุกคลานเองจะมีประสบการณ์เยอะ อย่างวงอพาร์ตเมนต์คุณป้าเราก็ทำเองมาตลอด อยากบอกว่ามันไม่มีใครรู้หรอกว่าอะไรมันจะทำแล้วประสบความสำเร็จหรือไม่สำเร็จ จนถึงทุกวันนี้ผมก็ยังไม่รู้ คนที่ทำมานานแล้วก็ไม่รู้ ล่าสุดในวงเราก็ยังคุยกันอยู่เลย มันไม่ง่ายเลยที่จะทำเพลงออกมาแล้วให้มันอยู่ต่อไปได้นานๆ แต่สิ่งที่ทำให้เราอยู่มาได้ถึงทุกวันนี้ เพราะว่าเราไม่คาดหวัง ผมคิดว่าถ้าพวกเราคาดหวัง เราอาจจะไม่ได้ทำต่อมาถึงตอนนี้ก็ได้ ถามว่าการทำเพลงเป็นอาชีพได้ไหม… สุดท้ายแล้วมันเป็นอาชีพได้แต่เราคงต้องเรียนรู้จะทำอย่างอื่นไปด้วย เพราะท้ายที่สุด… เรื่องของดนตรีต้องเป็นเรื่องของความสนุก ถ้าเมื่อใดเรายังสนุกกับมัน …มันก็โอเค
_________________________________________________________
After the much idolized Thai alternative band among the young indie listeners like “Apartment Khun Pa” (which literally means “Auntie’s Aparment” in English) released their new album along with their first single early this year, we believe that in the coming months, we would often come across the name “Tul Waitoonkiat” or “Tul Apartment Khun Pa”. He is known for being the lead singer of Apartment Khun Pa, a poet, a DJ who has his own record label, an investor, a party animal, as well as many other different paths he has ventured into. His unique lifestyle has sparked great interest and curiosity among us in wanting to get to know him more personally. We met up at Quay Record, Badmotel, a hip joint café in Thonglor where soon after we were greeted by Tul, our conversation has commenced.
D: Tell us a bit about your childhood
T: During elementary school I went to Satit Prasarnmit School. I guess I was just an ordinary boy who just goes with the flow. I did my studies as well as participating in school activities. I did what I was told, if my parents wanted me to do something I’ll do it, if my teachers told me to do this and that, I’ll do it.
D: Were the kids back then a lot different compared to the kids today?
T: I think it has to do with the media. Kids today they know about a lot of things compared to the kids back then. But the kids back in the day had more concentration in what they do, because they weren’t exposed to the media as much. They didn’t have the things that would always grab their attention. They didn’t even have internet yet! What entertained us were our friends, sports, or video games. We only had Nintendo, which could already make us lose our concentration. Therefore we didn’t have as many things that could entice us like kids today. We had a lot of time to concentrate on our studies or read books. I grew up in a family who supports reading; therefore I read a lot when I was a kid. They would just let me read whatever books I wanted.
D: What kind of books did you read?
T: I read everything. Reading is part of my everyday life since I was a boy. I liked reading cartoons, but I also liked reading more grown up books about science, autobiography about inventors, animal life, or kid’s encyclopedia. As for literature, when I was a kid I first read “Journey to the West” (a critically acclaimed Chinese literature), which was translated into many versions of children’s storybooks. That was probably the first long story I read, and after that I was into Chinese novels. I also liked reading my school textbooks. I enjoyed studying in every class…I was a nerd back then.
D: And how did you become involved with making music?
T: I started out by being a listener. I listened to different types of music until I was in middle school, when I started to collect cassette tapes and CDs. I was also in a cover band at school where we would cover whatever songs were big hits at the time. I wrote my first song when I was an AFS transfer student in America. I got to listen to Prai “Pathomporn Pathomporn” (a Thai alternative rocker who was famous in the early 90s), and it made me feel that perhaps writing your own songs is a fun thing to do. So I started trying out writing my own lyrics, which turned out to be something I could do. To me it’s something that happened by chance, because before that I never thought of writing my own songs.
D: What have you gained or experienced while you were in America?
T: If you asked me whether I learnt a lot of things back then, I would say not really because I was just a kid. It had to do more with adapting to the new environment. For instance, I had to make new friends, which was like testing some sort of instinct I had inside me. I had to adapt to their culture, from being a Thai kid to being a California kid. From being a kid who lived in Bangkok and used to have everything, I had to live in Solvang, a small, quiet wine town in America. I think I could appreciate the place more now as I get older compared to when I was a kid. Around 5-6 years ago, I went back to visit this town again, and I felt that it’s such a beautiful place. Anyone who has ever watched “Sideways” (2004) would love it. When I came back to Thailand after being a transfer student, I thought to myself whether I should take the entrance exams for universities, or whether I should go to university at all. It was that time in life where you don’t really know what you wanted to do with your life. So I had to talk bullshit many times to my family (laugh). As a kid growing up, at one point or another we have to face our parents’ question, “what do you want to be when you grow up?” which is something that I didn’t even know myself. Besides, in order to get into universities in Thailand, it’s not just you go register your name and decide later if you want to go to that university or not, but there are only two ways to it. First, you get in, and you’re stuck with it, or second, you just don’t put in any effort in your exams and don’t get into any universities. At that time I was confident that I would past the entrance exam, but if I get in, I wouldn’t even know how to honestly tell my family that actually, I didn’t really want to get into this or that faculty. You know, I think this entrance exam business for Thai universities is extremely tough! I prefer the direct application. You either get chosen or you don’t.
D: So what have you decided to do?
T: At the end, I stayed in New Zealand for 6 months. I worked in restaurants to earn my own money, studied a course in photography, etc. It’s like I went there to gain life experience. I also formed a band with my Westerner friends, and we just played Moderndog’s songs (laugh). It was fun. I was closer to nature during the 6-7 months that I lived there. I got to write a lot of songs, because New Zealand is such a quiet, peaceful place. I didn’t have much to do besides cycling and playing tennis. I was a tennis player for my school team too.
D: This means that at the end, you still haven’t studied anything related to music?
T: After that I came back to Thailand. I came back to live in Bangkok and felt that I’m already full of this lifestyle. So later I decided to study Economics in San Diego, California because it is something that I’ve always been interested in. I studied there for almost a year, and later moved to New York because I have a cousin who lived there. I moved to New York because I wanted to watch lots of concerts (laugh). So I decided to study about something that is more related to music, and moved from economics to study Business Management and sound recording at Five Towns College. But at the time I didn’t make any of my own music, I just wrote a lot of music and kept them to myself. I felt that since I already have some friends in Thailand who can play music, I’d rather play music with my close friends back home, than forming a band with other international kids who might not have the same dream as I do. I’d rather chose to keep my energy for when I get back to Thailand. I told my Thai friends to wait for me, when I come back we will make music together.
D: When did you start to really get into making your own record?
T: Before I went to America, I made a demo with Beam (from Knock the Knock band), and introduced him to Pum and Pip. But at the time I had to put things on hold and focus on my studies at university, and Beam, Pum and Pip got the chance to meet with Chang, which they later formed a band called “Siam Secret Service (S.S.S.)” But when I came back to Thailand from America, I formed a band called “Arai Ja” with my same group of friends. However, it wasn’t really popular among Thai listeners, because most of them said that the music was hard to understand. At that time, there was a record label called “Hualumphong” by Golf T-Bone that gave us the opportunity. Skalaxy, Photo Sticker Machine and Day Tripper were also in this record company.
D: What was your movement after Arai Ja?
T: Arai Ja was a flop when it came out, but actually the music was quite an impact because it was different. We had a small group of people who actually listened to our music, but there were more people who said that they couldn’t understand our music. So after that, we just head into our own different directions, with Beam and Pip focusing on their studies. I was free when I got a phone call from Mai Apartment Khun Pa, who asked me if I wanted to make music with him. We didn’t even have a name for the band at the time yet. Mai said that he wanted a songwriter to join the band along with Ball and Ja, the other two band members. I immediately clicked with them after our first jam session. I felt like, wow…working with these people is so easy! So later I called Pum and said that we should continue to make music, and that was how Apartment Khun Pa was formed.
D: From that day until today, how do you maintain being in the music industry?
T: I think you have to have a lot of tolerance, and try not to overthink things in terms of the public’s feedback. I may not be an artist with a wide audience, but at least I have a small group of loyal fans. As for those who said at the start that my music is hard to listen to, they have also become more familiar with my music. I think that is my method; to slowly make them become more familiar with what I do. I never thought of having to be very famous or anything like that. When my band makes music, we think of our audience as just the five of us…the band members. We have to know how to entertain ourselves first. If the five of us are having fun with it, then we think that other listeners can enjoy it too.
D: Are there any differences between being in a small record label to later being in a big record label?
T: When I was a teenager, the creativity I had was different. Firstly, I had a lot of free time, and I didn’t have any permanent jobs. So I would meet up with my friends everyday, go out for drinks, or go sleepover at my friend’s house. The amount of time we spent together was like being in a camp. Anyone who ever listened to the first album of Apartment Khun Pa would know that our sound was very colorful and dynamic. There was more variety to the sound, because it was the result of us jamming together. Whenever we have free time, we come and jam. As we get older, we all have more duties in life. So the working process nowadays is leaning towards more to the way we think and how we come up with ideas. We write the lyrics, compile everything together, edit the song, and then record it.
D: How did you start writing poetries?
T: Actually, I just wanted to write my own songs. But there are days where I couldn’t come up with the lyrics. Most of the time when I’m about to write my own lyrics, I already have a melody in my head. But if some days I don’t have the melody, then the words I write down become a poem. But nowadays I don’t really write poems anymore. Actually, I hardly write any poems now, because the things that can affect my emotions are quite rare. As I get older, the problems I used to see as something troubling are now irrelevant. I think I have gone through many losses in life. But as I become content with my life, I also lost the sense of creativity I had before. Nowadays I try to stay healthy, my mental health is better, and I get good night sleep. Back in the day, it was hard for me to fall asleep, because I was a worrywart. But like I said, the upside to it was I had more creativity.
D: Is it a problem for you?
T: Nope. I think it’s a good thing that I don’t have any problems in life. I think I can live my life without having to depend on that aspect, because I already have enough materials that I’ve written before. I don’t think I can ever write new music again, but Apartment Khun Pa can still continue because we have a stock of written materials. I see myself nowadays as more of an entertainer, as I was already in the mode of an artist. Right now I can produce my music from the stuff I have already written. I’m in the mode of creating something that can entertain and make people happy. All my problems are already written down. They’re in the past.
D: Besides making music and art, we heard that you’re also an investor?
T: Yes, I see investment as something of a discipline. Ever since I started to invest, my desires in wanting this and that have dropped. I don’t want anything I don’t need anymore. I used to do and want whatever I pleased, I had a lot of desires, and I would buy whatever I wanted. Thanks to the IMF, I had to know how to earn my own money when I was in America to help out my family. That is discipline. But at the time I still didn’t know how to save or invest. I just know that I could earn a lot of money, and so I spent a lot.
D: How did you become interested in the stock market?
T: It also happened by chance. I remember it was around the year 2003, and I wanted to go to America. I was able to save up money for about 100,000 baht, which I intended to spend it all when I get to America to buy vinyls, CDs, cassette tapes, the whole shebang before I get back to Thailand. But unfortunately, my visa didn’t get through, so I didn’t get to spend that money I had. Somehow later I talked to my dad and he said, “if you don’t know what you’re going to do with that money, buy stocks first, rather than putting your money in the bank.” To me the word “stock market” sounded so…I mean if I’m in this stock market business I would look like a businessman, which would totally crash with my hippie, wild child soul (laugh). Would it even go together? During our teenage years, we would be scared of not being cool. I don’t know why I had thought this way back then, but I thought that being stable with your finances is the most uncool thing in the world. We have to live like mad dogs day by day! Live fast, die young that sort of thing. But when I got the chance to read a book by Warren Buffett, I started to realized, hey…THIS is the real rock n’ roll. He’s incredibly successful in investment, but money has no meaning to his life whatsoever. He still lives normally, he’s still the same person as before, but he knows about the art of investing. I believe that Warren Buffett is an artist in the way he talks and his philosophies. He’s just happy with what he’s doing.
D: This means that it depends on the way one thinks?
T: Yes, that’s why I now see it as rock n’ roll. You don’t have to live like mad dogs like I used to think. There are other ways to be a rebel. That’s why I chose to be a rebel in the form of an investor.
D: How did you develop your strategy?
T: Once I know the art of investing, I felt that it’s just awesome! It doesn’t have a fixed equation, becase it’s an art that everyone has to try out by themselves. Writing my own songs is also the same. It doesn’t have a fixed equation where people will come up and tell you which style of music work or doesn’t work. At first people who listened to my music said they didn’t understand what my music was about, but turns out my music has stayed around for more than 10 years. The same thing goes with my investment. People didn’t believe in the methods of my investment, which is my way of rebelling compared to the mainstream investors. For example, there’s Dr. Niwet who has his own investment method that he’s been doing for years. Not everyone can do it like him. You have to have discipline and have a weird way of viewing the world in order to be like Warren Buffett.
D: What’s your goal?
T: I want to invest for the rest of my life. I want to keep doing it like making music. I think life is short. My happiness is to do the things I’m doing everyday continuously. My life’s a bit repetitive; I have a few hobbies that I like to do.
D: What are you into?
T: I like to exercise, because I still need to keep fit when I perform in concerts. If I don’t go to fitness I won’t be able to perform on stage for long. Therefore, to exercise is also like a discipline. I’m a heavy drinker, I party everyday, so besides having discipline in going to the fitness, I also have to have discipline when I drink (laugh).
D: Why do you like going to parties?
T: At this point, going to parties is quite repetitive. You meet the same group of friends, and you just change the place you’re going to party. Going to parties sound different and exciting, but really, it’s the same activity you’ve been doing for years. I think going to parties is similar to being a monk, as there’s some sort of ritual you have to do. In the morning monks have to do their chants, go out to receive food, come back to eat, and in the late afternoon they have their talks, etc. Party people are the same…by 8.00pm you’ll start going out and meet your friends around Thonglor or Ekkamai. Once you meet, you’ll start drinking and eating food, then talk with your friends until 2-3am and then go home.
D: What is the wrong way to party?
T: I think it’s going to parties by wanting something in return. Some people they really expect this. For example, some people go to parties to get connections, and some people go to parties so they can flirt with girls. Whatever the reason, eventually those people won’t be happy. But I go to parties just because I want to, and to have fun that’s all. I don’t think parties should be anything more than that. I don’t have fun when I meet people who want something in return at parties.
D: What’s your life philosophy?
T: Right now I want to have a good health and do the things that I am able to do. For the things that I can’t do, I’ll just say that I can’t do it. I won’t force myself. I don’t think everyone was born to be able to do everything. I never set myself a high bar or have high hopes in the things I do, whether it’s music or other things in life. I just keep on doing everything with good intentions, which I think I’m considered to be lucky, because without the friends I have around me, I wouldn’t be able to do the things I’m doing today. I keep doing the different things in life that sometimes I couldn’t believe that some of the things really happened, like opening my own record store, “Quay Record” with DJ Pitchy.
D: Any last words to the young musicians out there?
T: Hmm…my last words…well, I want to wish everyone to be happy (laugh). For those who are interested in making music, my advice is that you should start out being with the small record labels, because you should be able to make mistakes and learn from them. People who have gone through ups and downs in life will gain more experience. Apartment Khun Pa also started from the small record label. I want to say that no one knows from the start whether they will be successful in what they’re doing or not. Until now, I still don’t know myself. People who have done it for years still don’t have the answer. Our band just had this talk recently as well, that it’s not easy to produce music and make it last. But the reason we still keep doing it is because we don’t have expectations. I think that by having high expectations, you might not be able to do the things you do for long. If you ask me whether making music can be a career…in the end it can be, but you also have to learn how to do other things in life as well. Because in the end, music is about having fun. As long as you still have fun with it, it’s okay.
Interview : Norrarit Homrungsarid
Photographer : CHAIYASITH JUNJUERDEE
Translator : Thip S. Selley
ขอบคุณ Badmotel สำหรับสถานที่สัมภาษณ์และถ่ายทำ
RECOMMENDED CONTENT
บริษัท ทรานส์ฟอร์เมชั่น ฟิล์ม จำกัด ร่วมกับ บริษัท บีฮีมอธ แคปปิตอล จำกัด, บริษัท นอร์ธสตาร์ สตูดิโอ จำกัด, บริษัท เอ็ม พิคเจอร์ส จำกัด พร้อมส่งภาพยนตร์เรื่องราวเเห่งแรงบันดาลใจที่สร้างจากเรื่องจริงของโปรกอล์ฟ