คอลัมน์ DOODDOT VISIT วันนี้ เราจะไปเยี่ยมชมถึงออฟฟิศ Producer และนักทำหนังมากผลงานคนหนึ่งของเมืองไทย “Tom Waller” ผู้กำกับลูกครึ่งไทย-อังกฤษ ที่ถ้าในวงการคนดูหนังนอกกระแสคงเคยได้ยินหนังเรื่อง “ศพไม่เงียบ” หรือ “Mindfulness and Murder (2011)” ที่พูดถึงเรื่องราวในวัด มีคุณวิทยา ปานศรีงาม แสดงนำก่อน Only God Forgivesเสียอีก ถือเป็นหนังไทยที่ได้รับรางวัล และได้ไปแสดงตามเทศกาลหนังต่างประเทศมากมาย และล่าสุดนี้เขากำลังจะมีผลงานใหม่ออกมาให้เราชมกัน กับ The Last Executioner ที่กำลังจะเดินสายฉายเทศกาลกันอีกครั้ง เพื่อไม่เป็นการเสียเวลา เราไปพูดคุยกับเขาและคุณปู วิทยา นักแสดงนำของเรื่องกันเลยดีกว่า…
คุณ Tom เริ่มต้นทำงานในอุตสาหกรรมภาพยนตร์ในเมืองไทยอย่างไร?
Tom: พอดีผมไปเรียนที่เมืองนอก ที่ Leeds ประเทศอังกฤษ แล้วก็ได้กลับมาทำหนังที่เมืองไทยเรื่องแรกคือ Butterfly Man หรือผีเสื้อร้อนรัก ก็เป็นหนังนอกกระแสจากเกาะอังกฤษ มาถ่ายทำที่เกาะสมุย แล้วก็เริ่มมีความรู้สึกว่าอยากทำงานที่นี่ เพราะว่าอยู่ไทยเราขยับตัวได้ง่ายกว่า อยู่อังกฤษมีคนที่อยากทำหนังเหมือนกับเราหลายคนมาก การแข่งขันมันต่างกัน บวกกับตอนนั้นผมได้มีโอกาสร่วมงานกับ Oliver Stone ทำหนัง Alexander ด้วย ได้เห็นว่า Production และทีมงานที่มีในเมืองไทย มีความขยันและมีศักยภาพที่ดี ก็ตัดสินใจมาเปิดบริษัท De Warrene Picture เมื่อปี 2004
De Warrene Picture ทำอะไรอยู่บ้าง?
Tom: หลักๆคือเราทำ Production Service ครับ ก็จะช่วย Support ในเรื่องการขออนุญาตถ่ายทำรวมถึงดูแลงาน Production ทั้งหมด สำหรับนักทำหนังที่อยากเข้ามาใช้สถานที่ในเมืองไทย ก็จะมีมาทั้งจากฝั่ง Hollywood หรือจากฝั่งยุโรปก็มีครับ นอกจากงานภาพยนตร์เราก็มี งานทำมิวสิควิดีโอ ผมทำ MV ให้กับ Tata Young เพลง El nin yo ไปตอนปี 2006 มีงานทำโฆษณา มีงานทำ TV Show ให้กับรายการ Survivor ของฟิลิปปินส์และอิสราเอล ถ้าทำหนังส่วนใหญ่จะเป็น Producer ครับ แต่ถ้าเป็นผลงานกำกับ ก็มีเรื่อง Mindfulness and Murder หรือ ศพไม่เงียบ ก็มีได้รางวัลได้ไปฉายตามเทศกาลต่างๆ
การทำงานเป็น Producer กับ Director ความสนุกของมัน ต่างกันอย่างไร?
Tom: ความสนุกของการเป็น Producer ก็คือ เราได้ใช้เงินของคนอื่นครับ (หัวเราะ) ถ้าเวลาเราเป็นผู้กำกับแล้วก็ Producer เองพร้อมกัน อันนี้มันเครียดกว่ามาก เพราะเราใช้เงินกระเป๋าเราเอง …แต่เป็นผู้กำกับสนุกกว่าครับ เพราะมันเหมือนกับเราได้ทุกอย่างที่เราต้องการ เราได้กำกับ เราได้พูดจริงๆ สมมุติถ้าเราไม่ชอบการแสดงของนักแสดงในฉากนั้นเลย ถ้าเป็น Producer เราคงไปเกี่ยวข้องไม่ได้ เข้าไปยุ่งได้พอประมาณ การทำหนังมันควรเป็นคำสั่งจาก Director เท่านั้น ไม่งั้นมันจะเละ
อันนี้จริงๆแล้ว ผมเริ่มมาจากการเป็น Director ก่อน ผมได้ทำหนังของตัวเองเรื่องแรกในปี 1997 (Monk Dawson) ซึ่งมันก็เป็นที่สนใจในตอนนั้นแต่ไม่ทำเงิน สุดท้ายแล้วผมก็จนครับ ก็เลยต้องเริ่มรับหน้าที่เป็น Producer แทน คอยจัดการดูแล Organize ส่วนต่างๆในกองถ่าย ได้ร่วมงานกับผู้กำกับคนอื่นๆ ได้เห็นมุมมองของเขา แต่ละคนจะสไตล์ไม่เหมือนกันเลย พอมาทำศพไม่เงียบ ถึงแม้เสียงตอบรับดี ได้ไปแสดงในเทศกาลต่างๆก็จริง แต่หนังก็ไม่ทำเงินอีกเหมือนเดิม ผมก็ต้องกลับไปทำ Producer เพื่อรวบรวมเงินทุนมาทำหนังอีก เพราะฉะนั้นงานโปรดิวซ์มันเหมือนเป็น Day Job ไปแล้ว มาถึงโปรเจคต์ล่าสุดนี้ พอดีเรามีทุนที่พร้อมและได้ข่าวเรื่องคุณเชาวเรศน์เสียชีวิตพอดี ก็เลยตัดสินใจทำหนังเรื่อง The Last Executioner “เพชฌฆาตคนสุดท้าย”
อยากให้เล่าถึงหนัง The Last Executioner (เพชฌฆาตคนสุดท้าย) ให้ฟังหน่อย?
Tom: มันเป็นหนังที่พูดถึงชีวิตคนธรรมดาคนหนึ่งที่รับหน้าที่ที่อาจจะเรียกได้ว่าแปลกที่สุด ผมเชื่อว่าคงไม่มีใครอยากมาทำงานนี้ แต่ที่คุณเชาวเรศน์เลือกรับงานนี้เพราะเขามีครอบครัวที่ต้อง Support ที่บอกว่าข้าราชการคนนี้น่าสนใจ เพราะคงไม่มีใครในประเทศไทยที่สามารถยิงคนตายตั้ง 50 กว่าคน แล้วก็ไม่ต้องเข้าคุก ซึ่งผมว่ามันแปลกมากๆ หนังเรื่องนี้เราใส่เรื่องการทำผิด บาป บุญคุณโทษเข้าไปด้วย เรามีฉากที่เป็นตัวละครยมทูตมาชั่งน้ำหนักระหว่างบุญกับบาปอันไหนมากกว่ากัน ซึ่งอะไรแบบนี้เรามองให้มันเป็น Symbolism มากกว่า แต่ในมุมของคนไทยเค้าก็มีความเชื่อจริงๆที่เชื่อว่าในโลกเรา วิญญาณกับมนุษย์ของแบบนี้สามารถอยู่ร่วมกันได้ ถึงแม้ผมเป็นคาทอลิกแต่คุณแม่ของผมเป็นคนพุทธ ผมก็โดนลากไปวัด ไปทำบุญถวายสังฆทานตั้งแต่เด็กๆ ก็เลยมองเห็นเรื่องนี้มาตลอด เป็นเหมือนมุมมองจากบุคคลที่สามมองเข้ามา… นอกจากนั้นเรายังพูดถึงเรื่องราวความรักในชีวิตครอบครัวที่คุณเชาวเรศน์เวลากลับมาบ้านต้องเป็นอีกภาพลักษณ์กับลูกและภรรยาของเค้า ที่สำคัญคือหนังเรื่องนี้ทำให้คนดูยังได้รู้ถึงระบบประหารนักโทษของเมืองไทยที่ตอนนี้ยกเลิกไปแล้วด้วย เป็นเกร็ดประวัติศาสตร์ที่บางคนอาจจะยังไม่รู้ ผมคิดว่ามันเป็นหนังที่คนไทยไม่ควรพลาดจริงๆครับ
ทำไมถึงชอบเรื่องราวที่เกิดขึ้นในเมืองไทย?
Tom: เวลาต่างชาติคิดถึง Thailand ผมเองที่เป็นลูกครึ่งก็เข้าใจว่า เมืองไทยในแบบที่คนอื่นคิดกันคือประเทศที่มีหาดทรายสวย มีอาหารอร่อย ผู้หญิงคนไทยสวย มีกิจกรรมทำที่สนุกสนาน มันเป็นสิ่งที่ส่งเสริมการท่องเที่ยวที่เขารับรู้กัน แต่กับเรื่องที่ผมมีความสนใจเลือกนำเสนอมันเป็นอีกด้านนึงของเมืองไทย มันเป็นเรื่องที่คนไทยเองก็ไม่ค่อยพูดถึงกัน โดยเฉพาะเรื่องเพชฌฆาตคนนี้ เราอยากให้ผู้ชมจากภายนอกได้เห็นชีวิตของคนไทยคนนึงที่รับหน้าที่เป็นข้าราชการทำงานสุจริต ก็เหมือนกันกับเรื่องศพไม่เงียบ เป็น เรื่องที่เกิดขึ้นในวัด พวกนี้มันเป็น Image ที่ตรงกันข้ามกับที่เรานำเสนอให้นักท่องเที่ยวหรือคนนอกรับรู้เลย ทั้งๆที่มันเป็นเรื่องจริงที่เกิดขึ้นในเมืองไทยของเรา
สำหรับคุณปูการแสดงเป็น เชาวเรศ จารุบุณย์ ต่างจากบท “หลวงพ่ออนันดา (ศพไม่เงียบ)” หรือ “ช้าง (Only God Forgives)” อย่างไร?
วิทยา: ต่างมากเลยครับ คือช้างกับหลวงพ่อ อนันดา เราสามารถ Create บุคลิกขึ้นมาได้ ถ้าเราสงสัยตรงไหนเราถามผู้กำกับหรือคนเขียนบทเอาได้ แต่สำหรับบทบาทคุณเชาวเรศน์ เราต้องค้นคว้าว่าชีวิตจริงของคนๆนี้เป็นอย่างไร ในมุมที่เป็นเพชฌฆาต ประหารชีวิตคนอื่นคนแล้วคนเล่า เขาต้องนิ่งขนาดไหน หรือในมุมเวลากลับไปบ้านเขาต้องเป็นคุณพ่อของลูกๆและครอบครัว อย่างไร ซึ่งในเรื่องนี้ต้องแสดงให้เห็นถึงช่วงอายุที่ต่างกันของตัวละครอีก คือผมยังบอกกับทุกคนเลยว่าเล่นหนังเรื่องนี้เรื่องเดียวมันเหมือนต้องเจอบทบาทถึง 3 แบบ
ทั้งคู่คาดหวังอะไรกับหนังเรื่อง The Last Executioner?
วิทยา: ผมคิดว่าหนังไทยลักษณะนี้ มันมีน้อยมากที่ถูกนำเสนอออกมาให้ชาวไทยได้ชมกัน เพราะฉะนั้นการที่ผู้กำกับและนักแสดงตั้งใจทำกันอย่างสุดฝีมือออกมา ผมว่าทุกคนถือว่ากล้าหาญมากนะ เรารู้กันดีว่าหนังมันเป็นธุรกิจอย่างนึง เมื่อเป็นธุรกิจเกิดการลงทุนไปใครก็อยากมีรายได้กลับมากันอยู่แล้ว ถามว่าเราหวังว่าหนังจะทำเงินไหม ถ้ามันทำได้ก็คงดี แต่สิ่งที่เราหวังก็คือ เราอยากให้มันเป็นอีกตัวเลือกนึง ให้คนดูหนังในเมืองไทยได้ตัดสินใจกัน ผมเชื่อว่านี่เป็นหนังไทยที่ทำได้คุณภาพเทียบเท่าไม่แพ้ระดับโลก เราได้ Wade Muller มาเป็นหัวหน้าช่างภาพอีกครั้ง รวมถึงทีมงานทุกๆคนมีความเป็นมืออาชีพจริงๆ
Tom: ผมอยากให้คนไทยได้ดูหนังก่อนไปฉายเมืองนอก เพราะตอนผมทำศพไม่เงียบ เราต้องลากหนังไปฉายทั่วโลก ให้คนต่างประเทศได้ชมกันจนเป็นที่พูดถึงมากมายก่อน ถึงจะได้กลับมาฉายในเมืองไทย ตอนนั้นไม่มีใครอยากฉายหนังเราเลย พี่ปูเองยังเป็นนักแสดงหน้าใหม่ ผิดกับตอนนี้ที่ก็เริ่มมีคนรู้จักบ้างแล้ว เป็นนักแสดงไทยที่ได้ไปเดินพรมแดงเมืองคานส์ ก็คิดว่าน่าจะมีโอกาสบ้าง แต่ไม่ได้แปลว่าเราเอาพี่ปูมาเป็นจุดขายหลักของเรานะ เราเชื่อว่าชื่อเรื่อง “เพฌฆาตคนสุดท้าย” คือจุดขายที่แท้จริง เป็นสิ่งที่เราอยากนำเสนอให้คนไทยได้ชมกัน
คุณปูและคุณ Tom Waller มองว่าการวงการภาพยนตร์ในไทยตอนนี้เป็นอย่างไรครับ?
Tom: ผมมองว่าหนังไทยบ้านเรา มันจะไม่โตเลย ถ้ารัฐบาลยังไม่ช่วยมา Support วงการนี้ คือไม่ว่ายังไงเมืองไทยสำหรับนักทำหนังชาวต่างชาติเขาชอบอยู่แล้ว ได้เรื่องสถานที่สวยแล้วค่าใช้จ่ายก็เหมาะสม แต่เราไม่มีนโยบายสนับสนุนตรงนี้เลย อย่างมาเลเซียหรือเกาหลีตอนนี้ ถ้าใครไปทำหนังที่นั่น เขาจะมีส่วนลด ทางรัฐจะมีการสนับสนุนให้ ถ้ายังเป็นแบบนี้ต่อไปเรื่อยๆ ก็ไม่แน่เหมือนกันว่าต่อ Hollywood จะมาไหม แล้วบ้านเราก็จะยังเป็นแบบนี้กันต่อไป ทุกวันนี้ถ้าถามกันจริงๆคนต่างชาติยังไม่รู้จักวงการหนังบ้านเราเท่าไรเลย นักแสดงไทยที่เขาพอจะรู้จักก็มี Tony Jaa คุณจาพนม หรือไม่งั้นก็ต้องเป็นคอหนัง Art หน่อยถึงจะรู้จักชื่อผู้กำกับอย่าง เป็นเอก, อุ๋ย นนทรีย์ และผู้กำกับไทยที่ทำหนังส่งเทศกาลคนอื่นๆ
วิทยา: สำหรับผม ผมเองถ้าเทียบกับทอมก็ถือว่าเพิ่งเข้ามาในวงการนี้ได้ไม่นาน แต่เดี๋ยวนี้เราจะได้เห็นว่ากลุ่มนักศึกษา หรือคนรุ่นใหม่ที่อยากทำหนัง เริ่มมีผลงานที่น่าสนใจ เป็น Generation ใหม่ๆเกิดขึ้นมามากมาย เทียบกับสมัยรุ่นผมมีแต่คนเรียนจบมาอยากทำงานแบงค์ อยากทำบัญชี เป็นสถาปนิก Interior เดี๋ยวนี้กลายเป็นอยากเป็นผู้กำกับ อยากเป็น Producer อยากเป็นศิลปินนักแสดง โครงสร้างหรือรูปแบบการประกอบวิชาอาชีพมันเปลี่ยนไปแล้ว สถาบันการศึกษาในไทยก็เริ่มมีการรองรับมากขึ้นเรื่อยๆ ตรงนี้เป็นเส้นทางที่เรากำลังพัฒนาและถือเป็นเรื่องที่ดี แต่สิ่งหนึ่งคือหนังไทยทุกวันนี้มันขาดหนังที่มีความแปลก เรามีหนังที่มีเอกลักษณ์เฉพาะตัวน้อยไปหน่อย พูดอีกอย่างก็คือหนังที่ฉายกันมันควรจะมีความหลากหลายให้กับผู้ชมได้เลือกมากกว่านี้ ไม่ใช่ว่ามีแต่ ตลก ผี รัก ตลก ผี รัก ตลก ผี รัก ความจริงคือหนังหรือชีวิตคนเรามันไม่ได้มีแค่เรื่องตลกผีรักอย่างเดียว มันยังมีดราม่า ยังมีอะไรที่มากกว่านี้อีกเยอะ อันนี้เป็นสิ่งที่ผมคิดว่าเรายังขาดไป
Movement ต่อไปของคุณปูและคุณ Tom Waller คืออะไร?
วิทยา: ของพี่ก็มีการพูดคุยกับคุณเป็นเอก ไปเรียบร้อยแล้ว ก็จะมีการร่วมงานกับเค้า เป็นโปรเจคต์ที่เรียกว่าเป็นความฝันเลยก็ได้ เพราะเค้าเป็นผู้กำกับไทยคนหนึ่งที่เราชื่นชอบมานานแล้ว ส่วนกับ Director คนอื่นๆ ตอนนี้ทั้งไทยและต่างประเทศก็มีติดต่อเข้ามาพอสมควร ก็กำลังรอเราอ่านบทเสร็จแล้วตอบตกลงกันอีกที ผมก็ไม่ได้อยากเป็นคนเลือกงานนะ เพราะเราก็ไม่ได้เก่งและเพิ่งเข้ามาอยู่ในวงการได้ไม่นาน แต่ที่ต้องเลือกเพราะว่าเราไม่อยากให้คนต้องจำภาพว่า วิทยา ปานศรีงาม ลุคต้องเป็น Bad Guy คาแรคเตอร์เดิมตลอด อยากให้คนเห็นเราในมุมอื่นๆด้วย
Tom: ผมก็กลับไปทำงาน Producer ต่อครับ ก็ยังมีหนังที่รอคิวไว้เยอะเหมือนกัน ที่หลังจากนี้กำลังจะทำคือเรื่อง The Mechanic ภาค 2 กับ Jason Statham เป็นหนังแอคชั่นจาก Hollywood ตอนนี้ก็กำลังคุยๆกันอยู่ครับ แต่ก็ยังดูอยู่ว่า… สุดท้ายจะตัดสินใจย้ายไปทำเกาหลีรึเปล่า เพราะประเทศเค้าดูแลคนภาพยนตร์ดีกว่าของเรา (ยิ้ม) ส่วนงานกำกับก็รอพร้อมอีกครั้งก็จะทำอยู่เรื่อยๆครับ
_________________________________________________________
For our DOODDOT VISIT today, we will introduce you to “Tom Waller”, a half-Thai, half-Irish producer and director who has done numerous independent films such as the award winning, “Mindfulness and Murder” (2011) starring Vithaya Pansringarm before his breakthrough with Only God Forgives. And now, with his latest film, “The Last Executioner”, also starring Vithaya Pansringarm, which is currently getting a lot of buzz from international film festivals, we didn’t hesitate to go to his production office here in Bangkok to have a little chat with him and Vithaya about their latest collaboration.
Tom, how did you start working in the Thai film industry?
After I studied filmmaking in Leeds, England, I came back to Thailand to work on my first film, “Butterfly Man”, which was filmed in Koh Samui. After that, I started to feel that I want to work here, because I can work in Thailand more freely, whereas in England, there are tons of film makers like me, so the competition there is different. Plus, I got to work with Oliver Stone, the director of “Alexander”, and I got to see that the production team in Thailand had a lot of potential and was very hard working. So I decided to open De Warrene Pictures in 2004.
What kind of works are De Warrene Pictures involved in?
Mainly we do production service, which is basically helping to get permission to start shooting the film, as well as all the other production process for filmmakers, both from Hollywood or from Europe who want to use locations in Thailand. Other than filmmaking, we also do music videos, like for Tata Young’s “El Nin Yo” in 2006 ; commercials; and tv shows such as “Survivor” for the Philippines and Israel. For films, I’m mostly the producer, but as a director, I’ve done “Mindfulness and Murder”, which got several awards and screenings at many film festivals.
What is the difference between being a producer and being a director?
The fun of being a producer is that you get to spend other people’s money (laughs). But if you are both director and producer at the same time, that can be stressful because you have to spend your own money. Actually, I enjoy more being the director, because I get to do the things I want to do and say what I want to say. For example, I get to say how bad the acting is in a scene, whereas being a producer, I can’t really be involved in that sort of thing. In filmmaking the director calls the shots!
Actually, I started out as a director for the film “Monk Dawson” in 1997, which got quite a lot of interest among the critics, but it didn’t make any money. So in the end I was broke, and had to branch out as being a producer instead. I opened my own production company and got the chance to work with different directors and see their different styles and perspectives. Later, I got to direct “Mindfulness and Murder”. Even though it got good feedback from the critics and screenings at film festivals, it still didn’t make enough money. So I had to go back and work as a producer to earn more investment money for my own filmmaking. You could say that being a producer is like my “day job”. As for my latest project, “The Last Executioner”, I had enough investment money to start when I heard that Chavoret (the real-life last executioner of Thailand) had just passed away, so I decided it was the right time to make the film.
Can you tell us a bit about the film, “The Last Executioner”?
This film is about an ordinary man with a most peculiar job. It was hardly a desirable job but Chavoret had a family to support and as a musician, he needed a “day job”. The reason this government officer is so interesting is because he was probably the only person in Thailand who killed 55 people and didn’t get sent to jail! That’s strange! In this film, we also address karma and many scenes are symbolic. In Thai culture, people really do believe that humans and spirits coexist. Even though I’m Catholic, my mother is a Buddhist. As a kid, she would drag me to temples and make merit. This gives me a sensitivity and understanding of the local culture and beliefs. This film also shows the love Chavoret had for his family, and how he had to completely change his persona between work and home. The film shows how prisoners were executed in the past, a part of Thai history little talked about, and so I think Thai people shouldn’t miss it.
How do you choose the topics or issues you portray in your films about Thailand?
As a half-Thai, half-British guy, I understand that most foreigners think of Thailand as beautiful beaches, beautiful women, and delicious food…. the typical tourist fare. But I’m interested in presenting sides of Thailand that even Thai people don’t normally talk about. As with Father Ananda in “Mindfulness and Murder”, this last executioner leads a good honest life but the events around him are hardly the images presented to tourists even though they are real.
For you Vithaya, how was acting as Chavoret Jaruboon different from the characters of Father Ananda (Mindfulness and Murder), and Chang (Only God Forgives)?
It was very different, because I could create the persona for Father Ananda and Chang, along with the input from the director and the screen writer whenever I had any doubts. But for Chavoret, he was a real person and this is a true story. I had to do a lot of research about his life, both as the executioner and also as a family man. I also had to portray this character in the different stages of his life over a three decade period.
What is your hope for “The Last Executioner”?
Vithaya: I think this sort of film traditionally has a limited appeal among Thai audiences therefore the director/producer is truly brave to create such a film. .We all know that filmmaking is also a business, and when we invest in a business, of course we all want it to make money. If you ask me whether I hope this film makes money, I would be happy if it does because that would mean that people were watching and the story is being told. I hope that Thais will take interest in a true story of their own. I believe that this film is of international standard. Our cinematographer Wade Muller and the rest of our crew are all very professional.
Tom: I want Thai people to get to see this film before it starts showing abroad. When I did “Mindfulness and Murder”, I had to get it seen in many foreign countries until it was well known among foreigners, before it got shown here in Thailand. There was a limited interest in this film at the time, plus Vithaya was still a new face in the industry. But now many people know him, especially after walking the red carpet at Cannes Film Festival, so there should be more interest this time. This doesn’t mean that I use Vithaya as our “sell out”, because the name “The Last Executioner” is still our main selling point for our Thai audience.
What do you both think of the Thai film industry today?
Tom: I don’t think the Thai film industry can ever grow if we don’t get the support from the Thai government. Filmmakers from all over the world love Thailand no matter what, because we have beautiful locations and reasonable budget, but unfortunately we don’t get enough support from the government. In other Asian countries like Malaysia or South Korea, filmmakers get good support from the governments which makes these countries more attractive. Who knows, maybe in the future even Hollywood stops coming to Thailand if our film industry is still like this while our neighbors become more enticing. Honestly if you ask me, foreigners still don’t really know about the Thai film industry even today. The only Thai actor they might know of is Tony Jaa, or maybe among the artsy independent film scene people may know the names of Thai directors like Pen-Ek Ratanaruang or Nonzee Nimibutr whose films are being shown in international film festivals.
Vithaya: Compared to Tom, I’m still quite new to the film industry. But nowadays you see so many students and other newcomers starting to make very interesting projects. This is truly the time where new generations keep popping up. Compared to my generation where people wanted to become bankers, architects, and interior designers after they graduated from university, the people of this generation want to become directors, producers, artists, and actors. The choices for a career are much broader and the values are different. The Thai educational system is also improving, which of course must be an ongoing evolution. But what the Thai film industry is lacking is the variety of genres and the courage to be experimental and out of the mainstream. We should have more genres for the audience to watch, not just comedy, horror, romance, comedy, horror, romance. In reality, our lives are not only about ghosts, laughs and love, but we also have dramas and issues and so many other aspects that I think should be reflected on screen.
What’s the next move for both of you?
Vithaya: I just had a meeting with Pen-Ek for our upcoming project together. This project is like my dream come true because he’s one of my favorite Thai directors. I have been contacted by quite a few directors both from Thailand and abroad. Right now I’m still waiting for the final scripts before saying yes or no to the projects. It’s not that I’m being picky, but the reason I have to choose wisely is because I don’t want people to view Vithaya Pansringarm always as a tough guy. I want people to see my different sides as well.
Tom: After this film, I’ll be going back as a producer for quite a number of films, one of them is a Hollywood action film called, “The Mechanic” (Part 2) with Jason Statham. Right now we’re still deciding whether to film it in South Korea, because they have better support there compared to Thailand. As for directing, I’ll keep doing it whenever I have the chance.
Interview : Norrarit Homrungsarid
Photographer : Pakkawat Tanghom
Translator : Thip S. Selley
RECOMMENDED CONTENT
หลายสื่อยกให้ ศรีสะเกษ นครหลวงโปรโมชั่น เป็น ‘นัก […]