หลังจากที่เคยคุยกับเขาไปครั้งหนึ่งแล้ว ในคอลัมน์ Dooddot Visit และ Dooddot Tools วันนี้เรามีโอกาสได้กลับมาคุยกับ นวพล ธำรงรัตนฤทธิ์ (เต๋อ) อีกครั้ง คราวนี้เป็นเรื่องของกล้องถ่ายรูปกันบ้าง กับกล้อง Mirrorless รุ่นใหม่ล่าสุดจากค่ายโอลิมปัส Olympus OM-D ที่ตอนนี้เดินทางมาถึงรุ่น E-M5 II สดๆร้อนๆเลย เราลองมาฟังจากปากของผู้กำกับมากฝีมือคนนี้ถึงกล้องรุ่นดังกล่าวกันว่า มีความสามารถโดดเด่น ถูกใจ ใช้เข้ามือขนาดไหน…
เป็นยังไงบ้างครับกับ The Master?
ครับ เมื่อช่วง 2 อาทิตย์ที่ผ่านมา เพิ่งได้รางวัลสุพรรณหงส์ไป ตอนนี้มันเป็นช่วงรางวัลในประเทศอย่างนี้ละครับ ก็ต่อไปกะจะส่งไปเดินทางไปต่างประเทศอะไรอย่างนี้ต่างๆนู่นนี่ แล้วเดี๋ยวก็คงกะจะมี DVD แล้วก็จะมี Release ฉายใน True Vision ก็จริงๆแล้วดีครับ มันไม่ได้เยอะเท่า Mary แต่สำหรับเรามันสำเร็จตามโกล์ที่เราตั้งไว้ แบบคนดูเรื่องนี้ที่น่าจะอินก็คงแบบ 30+ หรือว่าเป็นแบบอาจารย์ 40+ อะไรอย่างนี้ แต่ว่าที่เราตั้งโกล์ไว้คือเราอยากให้เด็กวัยรุ่นดูได้ด้วย เหมือนเวลาเราดูหนังแบบ Biopic สมมุติเราดู Imitation Game เราก็ไม่ได้ทันยุค Alan Turing อะไรนะแต่เราก็ดูสนุกได้ แล้วนี่เราแค่ย้อนไป 20 ปีเอง มันน่าจะทัน น่าจะดูได้ ซึ่งสุดท้ายแล้วพี่ป้องที่ House RCA เค้าบอกส่วนใหญ่แล้วคนดูเป็นวัยรุ่นมากกว่าคนผู้ใหญ่อีก เราก็เลยรู้สึกว่า เออ เท่านี้แม่งก็ Success แล้วล่ะ เพราะ โอเคหนังมันฉายอยู่โรงเดียว มันไม่ได้ไปแบบ 10 โรง มันก็ได้เท่าที่ได้ครับ
การใช้ชีวิตของผู้กำกับ/นักเขียนบทมี Routine เป็นยังไงบ้าง?
Routine คือการที่เหมือนไม่มี Routine ครับ เพราะว่ามันไม่ตายตัว เราต้องเป็นคนกำหนดเอง บางทีตารางก็จะเละๆเหมือนกัน เหมือนว่าตื่นมาแต่ละวัน ก็จะมีช่วง Boost Up ปรับสมองก่อน คือมันไม่สามารถตื่นมาแล้วเขียนได้เลย มันต้องไปอ่านอะไรไร้สาระเหมือนปรับเข้าโหมด มันต้องค่อยๆจูนอัพว่าตัวละครที่เราเขียน เหมือนต้องโหลดเครื่องอะครับ เหมือนค่อยๆเอาข้อมูลกลับเข้าที่ก่อน ก่อนที่จะกลับไปเขียนได้อีกทีนึง เพราะไม่งั้นมันจะงง พอบูทเครื่องเสร็จแล้ว ทีนี้มันก็เขียนไปทั้งวันอะครับ 5 6 7 ชั่วโมงรวดอะไรแบบนั้น ซีนนึงบางทีก็นั่งไปเลยชั่วโมงนึง กว่าจะคิดออก 3 ประโยค มันคิดกลับไปกลับมา ยิ่งตอนนี้เราทำหนังยาวแล้ว จักรวาลมันก็ใหญ่เหมือนกัน เหมือนต้องเอาคนดูให้อยู่ 90 นาที 120 นาที ขยับอะไรซีนนึงมันกระเทือนที่เหลือหมดเลย ก่อนนอนมันจะต้องแบบ Cooldown อะครับ ต้องไปทำอย่างอื่นที่ไม่เกี่ยว คือทิ้งไปเลยเพราะว่าถ้าเกิดยังคิดอยู่มันจะนอนไม่หลับ
ปกติเป็นคนจับกล้องชึ้นมาถ่ายบ่อยไหม?
ก็แล้วแต่ครับ แต่ส่วนใหญ่เวลาไปไหนก็จะพกกล้อง มีหยิบขึ้นมาถ่ายอยู่ตลอดนะครับ แต่เราไม่ใช่คนที่แบบ… ว่าง่ายๆถ้าสมมุติเราไปเที่ยว เราไม่ใช่คนแบกกล้องใหญ่ๆไปเยอะๆอะ (หัวเราะ) คือเราจะเหนื่อยมากถ้าต้องเอาเวลามาแบกกล้องกัน เหมือนถ้าไปเที่ยวแล้วต้องแบกเยอะๆมันจะไม่ค่อยสนุกแล้ว
ส่วนตัวมองว่ากล้องที่ดีควรมีคุณสมบัติอย่างไร?
อืม ถ้าอย่างที่บอกไป อย่างแรกเลยคือเราจะชอบกล้องที่มันเป็นกล้องเล็ก อาจจะทำอะไรได้ไม่เยอะทุกอย่างถ้าเทียบกับกล้องใหญ่ แต่ก็ทำอะไรได้เยอะพอสมควรในความหมายเรา อย่างน้อยคือเราขอมีระบบ Manual ที่เราปรับเล่นกับมันได้บ้าง เพราะว่าเราก็ไม่ใช่คนที่อยากจะใช้โหมด P ตลอดเวลา บางครั้งอันนี้มันสวยดีถ้ามืดกว่าปกติ หรืออันนี้จะสวยขึ้นถ้าเราเล่นชัตเตอร์มันได้บ้าง บางทีเราต้องการเล่นอะไรที่มันไม่ได้อยู่ในขีดของการ Balance แสงให้เป๊ะอย่างดี หรือว่าโฟกัสแบบ Manual มันก็ทำให้เราเล่นอะไรตามใจได้ประมาณหนึ่ง เพราะฉะนั้นเราก็จะไม่ได้ใช้กล้อง Compact ที่กดถ่ายอย่างเดียวหรืออะไรแบบนี้ครับ ซึ่งอย่าง E-M5 II ตัวนนี้ก็จัดว่าเป็นไซส์ที่พอดีนะ ถ้าใหญ่กว่านี้ขี้เกียจขนแล้วล่ะ มันพกได้ ไปไหนมาไหนเราหยิบขึ้นมา Snap ได้ ถ่ายได้เร็วกว่า มันก็เลยจะสะดวก พอเทียบกับกล้องใหญ่แล้ว เราว่าแบบนี้มันตรงกับสไตล์ที่เราถ่ายมากกว่ามั้ง
แล้วจากที่เราลองถ่ายมา Olympus OM-D E-M5 II ตัวนี้มีความน่าสนใจอย่างไรบ้าง?
จริงๆปัญหาที่เราเชื่อว่าเป็น ปัญหาสากลเลยของคนถ่ายภาพ บางทีเวลาไปเจอพวกแสงน้อยๆหรืออะไรแบบนี้ ภาพมันสวยแหละแต่ถ่ายออกมาแล้วมันเบลอ แต่อย่างกล้องนี้ที่เราลองถ่ายมา เราว่ามันถ่ายในที่แสงน้อยได้ค่อนข้างดีกว่า ซึ่งเราว่ามันเป็นการเปิดพื้นที่ในการถ่ายภาพได้อีกเยอะเลยนะ สมมุติว่าแต่ก่อนเราเจอที่แบบมืดมากๆ แม้จะสวยแค่ไหนแต่เราก็ไม่อยากถ่ายแล้วเพราะเรารู้ว่าถ่ายไปมันก็ไม่ติด แต่ว่าตอนนี้เหมือนกับว่าพอเจอที่มืดๆ มืดมากนะหมายถึงว่าอาจจะมีไฟดวงเดียวอะไรแบบนี้ เราก็รู้สึกว่าอยากลองถ่ายดู คือเดี๋ยวนี้ใน Memory Card ก็จะมีภาพกลางคืนเยอะขึ้น ผิดกับแต่ก่อนที่อาจจะกลางวัน เย็น หกโมง ทุ่มนึงก็เลิกแล้ว แล้วบางทีภาพดีๆมันก็อยู่ในที่มืดอะครับ เราว่ามันก็สมควรได้รับการบันทึกประมาณนึงอะ พอสมัยนี้มันมีอุปกรณ์หรือเทคโนโลยีที่มันรองรับได้ มันก็ช่วยให้เรามีมุมมองภาพใหม่ๆขึ้นเหมือนกัน
เคยลองใช้ถ่ายหนังบ้างหรือยัง?
มันคงไม่เชิงหนังครับ มันคือเหมือนเป็นคลิปมากกว่า เดี๋ยวนี้พอมีกล้องที่มันถ่ายวิดีโอได้ดีด้วยเหมือนกัน เราก็จะพยายามเก็บทั้งภาพนิ่งและภาพเคลื่อนไหวดู สมมุติเวลานั่งเครื่องบิน เราชอบถ่ายการเคลื่อนไหวของเมฆจากหน้าต่างบนเครื่องบินอะไรอย่างนี้ หรือเวลาเดินเที่ยวก็จะหยิบขึ้นมาถ่ายระหว่างเดิน คือตัวนี้มันจะมีข้อดีของมันคือ มันมีคล้ายๆกับระบบกันสั่น ที่เราสามารถเดินถ่ายได้แล้วมันไม่ Jerk มากเท่าไรนักคือถ้าเป็นกองถ่ายก็เป็น Steadicam จำลองได้อะ แล้ว Steadicam เช่ากันทีนึงก็แพงมาก พออันนี้มันใช้แทนได้ประมาณนึง มันก็ทำให้แบบเราลองเดิน Hand Held ได้บ้าง
การทำงานกับภาพนิ่งกับวิดีโอมันต่างกันยังไง?
ภาพนิ่งมัน 1 วินาทีเองครับ ชัตเตอร์เราทำงานภายใน 1 วินาที ต่อตั้งแต่น้อยๆไปจนถึงเป็น 1,000 2,000 เลย มันแค่เฟรมเดียวก็มีพลังของตัวเองแล้ว แต่สำหรับหนัง มันเป็นเรื่องของ Motion การเคลื่อนไหว บางอย่างที่เคยใช้ได้กับภาพนิ่งก็อาจจะไม่ได้เวิร์คกับภาพเคลื่อนไหวเสมอไป สมมุติว่าภาพนิ่งเราชอบแบบเปิดรุรับแสงกว้างๆ f1.8 , 1.4 อะไรแบบนี้ พอเวลาที่เราเอาไปอยู่ในหนัง เห้ย มันดูแล้วมันมึนเหมือนกันนะ แล้วเรื่องที่สำคัญคือพอมันภาพเคลื่อนไหว มันมีเรื่อง Movement ของกล้องเข้ามาเกี่ยว สิ่งที่เรามองเห็นตรงหน้าบางครั้งมันอาจจะเหมาะกับการเป็นภาพนิ่งเฉยๆก็ได้ เพราะแบบมันสวยแบบวิเดียว หรือพลังของบางอย่างต้องถ่ายเกิน 1 วินาที มันต้องถ่ายซักนาทีนึงมันจะเริ่มเห็นแสงที่มันค่อยๆเปลี่ยนหรืออะไรแบบนี้ เออ ก็ต้องภาพเคลื่อนไหวแล้วล่ะ เอาเป็นว่ามันคนละประเภทกันมากกว่าครับ ไอ้ที่เรายกตัวอย่างเรื่อง f1.8 จริงๆอาจจะไม่ใช่ตัวอย่างที่ดีเท่าไหร่หรอก (หัวเราะ) เพราะว่าบางเรื่องเขาถ่ายด้วย f1.8 มันก็สวยแหละ มันเป็นเรื่องความงามในช่วงเวลาเดียวกับความงามที่มีการเคลื่อนไหวมากกว่าครับ
ตอนนี้มีช่างภาพหรือผู้กำกับคนไหนที่สนใจเป็นพิเศษไหม?
เอ่อ จริงๆถ้าเกิดเอาช่างภาพ อย่าง Emmanuel Lubezki ตากล้องที่ได้รางวัลกับ Birdman เคยถ่าย Children of Men อะไรอย่างนี้เราก็ชอบดูงานเขานะ คืออาจจะไม่ใช้ถึงขั้นเป็น Big Fan ตามดูจริงจัง แต่เรารู้สึกว่าคนนี้ล่ะคือยุคนี้ อย่างที่บอกไปเมื่อกี้ว่าภาพเคลื่อนไหวมันไม่ใช่การถ่ายสวยอย่างเดียว สำหรับคนทำหนังมันมีเรื่อง Movement มันมีการเข้าออกของกล้อง จังหวะนี้ อารมณ์นี้ กล้องมันควรจะ Move ไปทางไหนต่อ มันควรเคลื่อนยังไง เพราะมันเป็น Motion Picture มันเคลื่อนตลอด จริงๆไอ้เทคนิค Long Take เค้าก็มีกันมาซักพักแล้วเพียงแต่ว่า คนนี้แกสามารถเอามาใช้ได้แบบ Push ให้ไกลขึ้นไปอีก เค้าเคยทำใน Children of Men เป็นแบบ Long Take ฉากสงคราม ซึ่งมันดูใหม่มาก ต่อมาทำ Gravity เค้าก็เอา Long Take ไปใช้ในบรรยากาศที่มันหนักหนาขึ้นหรือแปลกขึ้น มันก็เกิดสิ่งใหม่ๆ ตอนเราดู Gravity เราก็เห้ย มันก็เกิดผลพิเศษทางภาพจริงๆอะ มันมหัศจรรย์ ครับ จะเป็นอะไรแบบนี้
Olympus ตัวนี้ตอบโจทย์ได้ไหม?
เรามองว่าได้เลยนะ ได้ในความหมายของเราที่เราอยากบอกก็คือ พวกคุณภาพของไฟล์มันสามารถขึ้นโรงได้แล้วมันไม่แย่ โอเค มันคงไม่ดีเท่ากล้อง Red หรือว่ากล้องถ่ายหนังโดยเฉพาะขนาดนั้นอยู่แล้วล่ะ แต่ว่ามันก็ไม่ได้ขี้เหร่อะไร จริงๆมันถือว่าโอเคเลยนะ ถ้าเกิดคุณถ่ายมาโอเค มันก็จะโอเค แล้วสำหรับคนที่เริ่มถ่ายหนัง เราว่าสำคัญเลยคือมันใช้ลองนู่น ลองนี่ได้ใน Quality ที่โอเคมาก ตอนเราเริ่มถ่ายหนังเราใช้ Mini DV ยังเป็นม้วนเทปอยู่เลย มันทำอะไรก็ไม่สะดวกเหมือนแบบตัวนี้ อย่าง Olympus นี่ สมมุติลองทำซีนเล่นๆ แล้วมันเกิดดีมาก ก็สามารถส่งเข้าคอมแล้วตัดต่อได้เลย จะส่งประกวดอะไรก็ได้ เพราะฉะนั้นเราว่ามันใช้ได้เลยล่ะ พูดถึงเรื่องขนาดก็ค่อนข้าง Handy หมายถึงว่ามันจะทำให้กองคุณเล็กลงเยอะ ทำให้เข้าไปถ่ายในที่ที่เป็นไปไม่ค่อยได้มากขึ้น สมมุติเราอยากเข้าไปถ่ายในซอกสักอย่าง กล้องใหญ่เข้าไม่ได้แต่เอาแค่กล้องตัวนี้ไป เอานักแสดงเข้าไปก็ลองถ่ายเก็บได้เลย อืม เรื่องของเทคโนโลยีแหละครับ พอกล้องมันประสิทธิภาพมากขึ้น มันก็เพิ่มพื้นที่ มันก็เพิ่มเนื้อหาของหนังเรามากขึ้น หรืออย่างถ่ายกลางคืนที่เคยถ่ายยาก ก็ทำได้ สมมุติจะพกลงน้ำก็ง่ายขึ้นเพราะกล้องเดี๋ยวนี้เค้าทำมากันน้ำได้พอสมควรแล้ว เรามีอุปกรณ์ที่ดี เราก็สนุกไปกับการบันทึกภาพมากขึ้น
กล้องสมัยนี้มีระบบ WI-FI ให้มาด้วย?
มันมีประโยชน์ดีครับ ในแง่ที่ว่า ปกติสมมุติเราถ่ายจากกล้อง แล้วมันเวิร์ค ถ้าเราอยากแชร์ แต่ไม่มี WI-FI อะ ก็ต้องรอกลับโรงแรมเสียบสายเชื่อมก่อน แต่พอเดี๋ยวนี้มันมี WI-FI กดแชร์เลยมันก็สนุกดี มันไม่ต้องไปโยนเข้าโยนออกหรืออะไรแบบนี้ ก็เร็วกว่าสะดวกกว่าครับ
นอกจากเรื่องหนังแล้วตอนนี้มีอินกับเรื่องอะไรบ้าง?
เราว่าเราสนใจเทคโนโลยีมากขึ้นกว่าแต่ก่อนนะ แต่สนใจในแง่ความสัมพันธ์มนุษย์หรือว่ากับเชิงสังคมมากกว่า ล่าสุดดูแบบการพัฒนาหุ่นยนต์หมา ที่แบบแม่งโครตเหมือนเลย ส่วนตัวเราไม่ได้มองว่าอนาคตเราจะสบายขึ้นนะ เราจะคิดกลับกันว่าถ้าเกิด เราเห็นหุ่นยนต์หมาเราคงกลัวอะ มันจะเหมือนในหนังมากตัวมันใหญ่มากแล้วมันเหล็กทั้งตัว ถ้าเกิดมันรวนขึ้นมาแล้วกูจะสู้มันได้ยังไง หรือสมมุติมันมี App ใหม่ขึ้นมา ความสัมพันธ์ของคนเราจะเปลี่ยนไปหรือเปล่า เพราะจริงๆแค่มี Facebook ความสัมพันธ์ก็เปลี่ยนหมดแล้ว สมมุติว่าเมื่อก่อนเราเขียนจดหมายหากัน วันนึงมีโทรศัพท์โลกก็เปลี่ยนไปหมดเลย จากโทรศัพท์สายกลายเป็นมือถือโลกก็เปลี่ยนอีกที มีอินเตอร์เน็ตโลกก็เปลี่ยนเลยอะไรอย่างนี้ เออผมสนใจอะไรพวกนี้มากกว่า เพราะฉะนั้นเวลาอ่านก็จะอ่านอะไรแบบนี้
Movement ต่อไปมีอะไรบ้าง ?
ก็ตอนนี้ กำลังจะมีทำหนังกับ GTH มันก็จะเป็นหนังที่สเกลใหญ่มากขึ้น แล้วก็ฉายโรงจำนวนเยอะขึ้น อยู่ในขั้นตอนเขียนบทอยู่ครับ ก็น่าจะเป็นหนังที่พูดกับคนดูเยอะขึ้น เยอะกว่าจากที่เราเคยทำมา ก็ลองดูครับ ดีหรือป่าวก็ไม่รู้เหมือนกันนะ แต่อยากลองดูซักทีนึง
ข้อมูลเบื้องต้นของ Olympus OM-D E-M5 II
- เซนเซอร์ Live MOS ขนาด Four Third ความละเอียด 16 ล้านพิกเซล
- ชิพประมวลผล TruePic VII
- ระบบกันสั่น 5 แกน 5-Axis VCM ลดการสั่นไหวได้ถึง 5 สตอป
- ระบบ Autofocus แบบ Contrast Detect 81 จุด
- ความเร็วชัตเตอร์สูงสุด 1/8000 วินาที
- ความเร็วชัตเตอร์อิเล็กทรอนิกส์ 1/16000 วินาที
- ถ่ายภาพต่อเนื่องเร็วขึ้นเป็น 10 ภาพต่อวินาที AF-S และ 5 ภาพต่อวินาที AF-C
- จอแสดงผล Touchscreen แบบ Vari-angle ความละเอียด 1,040,000 พิกเซล
- ช่องมองภาพความละเอียด 2,360,000 พิกเซล อัตราขยาย 1.48x
- ถ่ายวิดีโอ Full HD 1080/60p บิตเรตสูง 52Mbps(IPB) และ 77Mbps(ALL-I)
- วิดีโอสามารถตั้งค่า Time Code ได้
- บอดี้ทำจากแมกนีเซียมอัลลอยด์
- บอดี้มี Weather Seal ป้องกันละอองน้ำ, ฝุ่น, ทนอุณหภูมิได้ -10 องศาเซลเซียส
- ฟีเจอร์ถ่ายภาพความละเอียด 40 ล้านพิกเซลจากการรวมภาพ 8 ภาพเข้าด้วยกัน(JPEG)
- ถ่ายภาพความละเอียดสูงสุด 64 ล้านพิกเซลสำหรับไฟล์ RAW
- ฟีเจอร์ใหม่ Live View Boost II สว่างกว่าของเดิมใน E-M5 ถึง 5EV
- มีฟีเจอร์ Keystone, Live Composite และ Olympus Capture แบบเดียวกับ E-M1
- มี Focus Peaking(เลือกได้ 4 สี ดำ, ขาว, แดง, เหลือง)
- ฟังก์ชั่น Clip ให้ผู้ใช้อัดคลิปสั้นๆหลายๆคลิปได้(1, 2, 4, 8 วินาที)
- มาพร้อมแฟลช FL-LM3(GN 9) หัวแฟลชหมุนและก้มเงยได้
- มี Wi-Fi ในตัว
กล้อง Olympus OM-D E-M5 II จะเริ่มวางขายแล้ววันนี้ในราคา
- E-M5 II ตัวกล้องอย่างเดียว ราคา 37,990 บาท
- E-M5 II มาพร้อมเลนส์ 12-50mm EZ ราคา 44,990 บาท
- E-M5 II มาพร้อมเลนส์ 14-150mm II ราคา 54,990 บาท
- E-M5 II มาพร้อมเลนส์ 12-40mm F2.8 ราคา 64,990 บาท
Olympus Thailand
Website: http://www.olympus.co.th/th/
Facebook: https://www.facebook.com/penclubthailand?ref=hl
RECOMMENDED CONTENT
“Smile” ซิงเกิ้ลล่าสุดจากวงดนตรีวงดนตรีที่ดีที่สุดของสห […]