วันนี้เรามีนัดกับ เบิร์ด เอกชัย เจียรกุล แชมป์กีต้าร์คลาสสิกระดับโลก ที่เพิ่งไปคว้ารางวัล Guitar foundation Of America 2014 หรือที่รู้จักกันในสากลว่า GFA การได้แชมป์รายการนี้เปรียบเสมือนการชูถ้วยฟุตบอลโลก ที่สำคัญเขาเป็นคนไทยคนแรกและคนเอเชียคนแรกที่คว้ารางวัลนี้มา ซึ่งวันนี้เขานัดเราที่ กองดุริยางค์ ทหารบก เพราะเขามาเปิดเวิร์คช็อปให้นักดนตรีของทหารไทย ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของแคมเปญ Sangsom Road to Carnegie Hall ที่จะพานักดนตรีชาวไทยไปดูการแสดงสดของเบิร์ด เอกชัย เจียรกุล ที่ Carnegie Hall นิวยอร์ก เวทีนี้ถือเป็นเวทีระดับโลกที่เคยมีวงดนตรีดังๆผ่านมาแล้วอย่าง New York Philharmonic วงออร์เคสตราชื่อดังแห่งนิวเยอร์ หรือจะเป็นนักไวโอลินชื่อดังอีกคนอย่าง Isaac Stern ก็เคยขึ้นเวทีนี้มาแล้ว แต่ถ้ายังไม่คุ้นหูยังมีสตาร์อย่าง Led Zeppelin, Rolling Stones, Tina Turner หรือจะเป็น The Beatles ล้วนเคยผ่านเวทีนี้มาแล้วทั้งนั้น เพราะฉะนั้นการเดินทางครั้งนี้ถือเป็นประสบการณ์อันล้ำค่ามากๆ ที่นักดนตรีทุกคนควรคว้าไว้
เมื่อเราก้าวเข้าไปในห้องสิ่งแรกที่สัมผัสได้เลยคือเสียงกีต้าร์คลาสสิกของเขาที่ก้องกังวาลไปทั่วฮอลล์ เขานั่งเล่นกีต้าร์พร้อมกับคำถามมากมายที่ถูกถามโดยเหล่านักเรียนดุริยางค์ทหารบก แน่นอนว่าเขายิ้ม และยินดีตอบทุกคำถามอย่าตั้งใจ นี่คงเป็นสิ่งที่เขาและแสงโสมตั้งใจจะมอบให้นักดนตรีทั่วประเทศ เพราะได้ยินมาว่าก่อนหน้านี้เขาไปเปิดเวิร์คช็อปมาแล้วหลายๆที่ หลายๆจังหวัด ทุกที่ต่างต้อนรับเขาเป็นอย่างดี เอาล่ะงั้นเราจะไปพูดคุยกับเขากันดีกว่า ว่าอะไรที่ทำให้เขามายืนถึงจุดนี้ได้ เขาซ้อมหนักขนาดไหน? แล้วเป้าหมายต่อไปของเขาคืออะไร เราไปคุยกันเลย!
หลังจากได้รางวัล GFA แล้วเป็นยังไงบ้างครับ?
ดีใจครับ คือรู้สึกว่าสิ่งที่เราทำมาตลอด 13 ปีเนี่ย มันเห็นผลแล้วเราซ้อมหนัก เรามุ่งมั่นขนาดไหนมันเห็นผลแล้ว ตอนนี้ก็กลายเป็นที่รู้จักในวงกว้างมากขึ้น เพราะว่าแชมป์ GFA เนี่ยมันบอกเลยว่านักกีต้าร์คลาสสิกทั่วโลกรู้จักคุณ ถ้าให้เปรียบเทียบมันเหมือนกับทีมคุณได้แชมป์ฟุตบอลโลก คนทั่วโลกรู้จักคุณหมด เช่นเดียวกับแชมป์ GFA นักกีต้าร์คลาสสิกทุกคนก็รู้จักคุณ
แล้วอีกอย่างผมรู้สึกว่ามันเป็นความรับผิดชอบที่ยิ่งใหญ่เหมือนกันที่เราได้ตำแหน่งครั้งนี้มา เพราะฉะนั้นการเล่นทุกๆครั้งของผมมันต้องดียิ่งขึ้น เพราะคำว่าแชมป์มันบอกอยู่แล้วว่าคุณระดับไหน
ดนตรีคลาสสิกคืออะไรครับ?
ดนตรีคลาสสิกก็คือ ศิลปะแขนงหนึ่งที่คนทั่วไปอาจจะยังไม่คุ้นเคย อาจรู้สึกว่าเป็นอะไรที่น่าเบื่อ หรือหลายๆคนมักบอกว่าต้องปีนบันไดฟังอะไรอย่างนี้ แต่สำหรับผมเองในฐานะนักดนตรีคลาสสิกแล้ว เสน่ห์ของเพลงคลาสสิกคือการส่งผ่านเรื่องราว ผ่านเสียงดนตรีเหมือนกับเราอ่านหนังสือ เราสามารถจินตนาการไปกับเรื่องราวของเราได้ ไม่เหมือนเพลงที่มีเนื้อร้อง ที่มีคำกำหนดความรู้สึกว่า ‘ฉันรักเธอ’ มันต้องเป็นความรัก แต่ดนตรีคลาสสิกมันสื่อออกมาเป็นเสียงและท่วงทำนองซึ่งผ่านเข้ามาที่หูของเราทำให้สามารถจินตนาการเป็นเรื่องราวได้ ผมมักบอกคนที่ฟังเสมอว่าไม่จำเป็นต้องเข้าใจเรื่องราวของมัน แต่ให้จินตนาการตามเสียงที่เราได้ยิน เพราะฉะนั้นแล้วบางคนอาจจะบอกว่าเพลงนี้เศร้า แต่ในขณะเดียวกันบางคนอาจบอกว่าเพลงนี้มีความสุขก็ไม่ผิด ก็เป็นความสุขของเราที่เราจินตนาการ ผมว่านี้เป็นเสน่ห์ของดนตรีคลาสสิกที่แท้จริง
อะไรที่ทำให้คุณเลือกเล่นกีต้าร์คลาสสิก?
แรกเริ่มเลยผมเล่นทรัมเป็ตในวงโยก็เล่นเพลงทั่วไปครับ อยู่มาวันนึงผมได้ยินเพลงชะตาชีวิตในเวอร์ชั่นของกีต้าร์คลาสสิก ผมรู้สึกว่ามันตอบโจทย์ทุกอย่างเลย มันเหมือนเป็นมายากลอย่างนึง ไม่ได้รู้สึกว่าเป็นเครื่องดนตรี ผมรู้สึกว่ามันเป็นเสียงที่มหัศจรรย์ ทำได้ยังไง ผมอยากทำแบบนั้นบ้างก็เลยเริ่มไปเรียนกีต้าร์คลาสสิก ส่วนตัวเพลงชะตาชีวิตเป็นเพลงที่อยู่ในสายเลือดผมอยู่แล้ว ตอนผมเล่นทรัมเป็ดผมใช้เพลงนี้สอบเข้าโรงเรียนประจำจังหวัด ตอน ม. 1 ได้ก็เพราะเพลงชะตาชีวิต ผมเป่าเพลงนี้แหละ ‘นกน้อยคล้อยบินมาเดียวดาย’ เพราะฉะนั้นเพลงนี้จึงเป็นเพลงที่มีความหมายสำหรับผมมาก และเป็นจุดเริ่มต้นให้ผมหยิบกีต้าร์คลาสสิกขึ้นมาเล่น
สิ่งสำคัญสำหรับการเป็นนักดนตรีที่ดี คืออะไร?
สิ่งสำคัญของการเป็นนักดนตรีคือ คุณต้องมีใจรักในการเป็นนักดนตรี เพราะว่าถ้าคุณไม่มีใจแล้วเนี่ย อย่างอื่นมันทำต่อไม่ได้เลย ต่อให้คุณมีพรสวรรค์ แต่คุณไม่มีใจนี่มันไม่ได้เลย พอมีใจปุ๊บคุณต้องยอมทุ่มเท เพราะว่าดนตรีถ้าคุณไม่ซ้อมก็จะไม่ประสบความสำเร็จ อันนี้ผมกระรันตีได้เลย ต่อให้คุณเก่งมาจากไหนแต่ถ้าคุณไม่ซ้อมเลยคุณก็จะไม่เก่ง ฉะนั้นคุณต้องมีใจ ขยัน ทุ่มเท ผมขอแค่นี้เอง ถ้าคุณทำได้คุณก็สามารถเป็นนักดนตรีระดับโลกได้เลย
ฝึกซ้อมหนักขนาดไหน?
ผมซ้อมหนักนะครับหนักมากๆ แต่ถ้าย้อนกลับไปเมื่อก่อนก็ไม่หนักเท่าไหร่ เพราะว่าเมื่อก่อนผมไม่ได้จริงจังมากนัก ไม่ได้ต้องการที่จะมาเล่นแข่งบนเวที หรือว่าเล่นให้คนฟังเยอะๆ ผมเป็นคนขี้อาย แค่ให้ถือกระดาษพูดหน้าห้องมือก็สั่นแล้ว นับประสาอะไรต้องมาเล่นกีต้าร์คลาสสิกให้คนฟังเป็นร้อยเป็นพัน แต่พอเล่นไปเล่นมาก็รู้สึกว่ามันใช่เป็นสิ่งที่เรารักจริงๆนะ เริ่มรู้สึกว่าเราต้องทุ่มเทแล้ว ต้องลบศักยภาพที่มันเป็นด้านลบให้เป็นด้านบวกให้ได้ หลังจากนั้นตอน ม. 4 ผมตัดสินใจเข้าเรียนวิทยาลัยดุริยางคศิลป์ ที่มหาลัยมหิดล ก็รู้สึกว่าเราต้องเปลี่ยนวิธีคิดแล้ว เราอยากซ้อมเราซ้อม แต่ตอนเราไม่อยากซ้อมเราก็ต้องซ้อม เพราะมันคือความรับผิดชอบ มันคือหน้าที่ ไม่ใช่เล่นเพื่อความเพลิดเพลินแล้ว ผมซ้อมวันละ 8 – 10 ชั่วโมง ผมว่ามันเป็นเรื่องปกติของนักดนตรีที่อยากประสบความสำเร็จนะ
นอกจากการฝึกซ้อม อะไรคือสิ่งที่ทำให้คุณพัฒนาไปอีกขั้น?
ผมมักบอกนักเรียนหลายๆคนเลยว่า ถ้าคุณไม่ฟังดนตรีดีๆ คุณไม่มีทางเล่นดนตรีดีได้หรอก คุณจะเอาเสียงมาจากไหน คุณเกิดมาคุณจะรู้ได้ไงว่านี้คือเสียงที่ดี ถ้าคุณไม่เคยได้ฟังเสียงที่ดีมาก่อน ตัวผมเองก็ชอบนักดนตรีหลายคนนะ เพราะแต่ละคนมีเอกลักษณ์ของตัวเอง อย่างนักกีต้าร์บางคนเสียงกีต้าร์ดี ดีดออกมาเพราะ แต่เล่นธรรมดาๆไม่มีความเร็ว ในขณะที่อีกคนเล่นเร็วมากๆแต่ขาดเรื่องเสียงอะไรอย่างนี้ เราก็พยามดึงข้อดีของแต่ละคนมาปรับใช้จนกลายเป็นเอกลักษณ์ของเรา อันนี้มันเกิดจากทักษะในการฟังเยอะๆ เมื่อก่อนผมฟัง CD เพลงเยอะมาก ฟังแล้วเราจินตนาการถึงเสียงที่ดี สุดท้ายเวลาที่เราเล่นมันจะมีจินตนาการออกมาว่าเสียงมันควรจะเป็นประมาณนี้ ซึ่งก่อนที่ผมจะมาถึงตรงนี้ได้ ผมผ่านตัวอย่างที่ดีและไม่ดีมาเยอะแล้ว ผมรู้ว่าอันไหนดีไม่ดี
หลังจากที่คุณได้แชมป์ GFA ตอนนี้คุณรู้สึกอย่างไรบ้างที่จะได้ไปโชว์ที่ Carnegie Hall เพราะที่นั่นถือเป็นเวทีที่ใหญ่ มีคนดังๆมากมายเคยผ่านเวทีนี้มาแล้วทั้งสิ้น?
รู้สึกดีใจมาก เป็นเกียรติมากๆ ที่ครั้งนึงเราเคยฝัน แล้วฝันเราก็เป็นจริง
แสดงว่าคุณฝันมาก่อนว่าจะได้เล่นที่นี่?
โอ๊ยแน่นอน… แน่นอน ทุกอย่างในชีวิตผม ผมฝันมาหมด ไม่มีคำว่าฟลุ๊คสำหรับชีวิตผมเลย ผมคาดหวังทุกอย่าง ผมตั้งเป้าหมายว่าผมจะเล่นที่ Carnegie Hall ผมต้องได้รางวัล GFA ต้องได้กีต้าร์ตัวนี้ มันเป็นความคาดหวังของผมสมัยเด็กๆอยู่แล้ว ผมเลยรู้สึกว่ามันไม่เซอร์ไพส์ หรืออะไรทั้งนั้น มันเป็นวิถีทางของเราอยู่แล้วว่าถ้าเราฝันถึงมัน เราทุ่มเท เดี๋ยวมันก็ไปถึงสักวันแค่นั้นเอง
พร้อมแค่ไหนสำหรับคอนเสิร์ตใหญ่ที่ Carnegie Hall ครั้งนี้?
พร้อมครับเต็มที่ เพราะทุกคอนเสิร์ตผมเต็มที่หมดครับ ไม่ว่าผมจะเล่นที่ Carnegie Hall หรือเล่นให้คนดูแค่ 2 คน ผมก็ซ้อมหนักเหมือนกันทุกครั้ง เพราะฉะนั้นคนที่จะมาดูผม ก็จะได้ฟังผลงานที่สุดยอดของผมทุกๆครั้ง
แล้วความพิเศษของแคมเปญ Road to Carnegie Hall คืออะไร?
เป็นโครงการจากแสงโสมครับ ที่เล็งเห็นว่าการที่ผมไปเล่นที่ Carnegie Hall น่าจะสร้างแรงบันดาลใจให้กับใครหลายๆคนได้ โดยเฉพาะนักดนตรีไทย เพราะว่าผมเชื่อว่า ‘คนไทย… ตั้งใจทำอะไรไม่แพ้ชาติใดในโลก’ ขอแค่มีโอกาสผลักดันพวกเขาขึ้นมา เพราะฉะนั้นการที่ผมไปเล่นที่ Carnegie Hall ครั้งนี้ ผมต้องการพาเยาวชนไทยที่มีความสามารถ เข้ามาแข่งขันกันเพื่อชิงตั๋วเครื่องบินไปดูผมเล่น ซึ่งเราจะไม่มีเงินรางวัลให้นะครับ แต่เราจะให้โอกาสให้แรงบันดาลใจกับคนที่ได้รางวัล เพราะผมเชื่อว่าสิ่งนี้มีค่ามากกว่าเงิน เพราะฉะนั้นน้องๆที่มาแข่ง เขาจะได้รู้สึกว่าเขามาเพื่อพิสูจน์ตัวเอง เพื่อจะคว้าโอกาสเพื่อจะไปฟังดนตรีดีๆ ในห้องดนตรีระดับโลก นี่แหละคือที่มาของการแข่งขันครั้งนี้
กีต้าร์ที่คุณถืออยู่ตอนนี้ ได้ยินมาว่ามันพิเศษมาก คุณได้มายังไง?
กีต้าร์ตัวนี้ มันเป็นกีต้าร์ในฝันของผมเลย ผมอยากได้มานานแล้ว มันเป็นของช่างชาวเยอรมันครับ โดยปกติเขาเป็นคนที่เก็บตัวมากไม่เล่นอินเตอร์เน็ต เวลาจะสั่งอะไรต้องบินไปหาเขาเท่านั้น ไปเล่นให้เขาฟังก่อน เพราะเขาต้องการให้กีต้าร์อยู่กับคนที่คู่ควรเท่านั้น ถ้าฝีมือไม่ถึงจะเอาเงินไปให้เขา เขาก็ไม่ทำให้ เงินซื้อเขาไม่ได้จริงๆ เขาเป็นคนที่มีอาร์ทิสติกสูงมาก กีต้าร์มันเลยมีมูลค่าขนาดนี้ไง
โดยปกติอาจจะต้องรอนานถึง 20 ปี เพราะเขาทำปีละ 5 ตัวเท่านั้น แต่ผมกลับได้มาผมได้ 2 ตัวในปีเดียว ซึ่งมันเป็นเรื่องบังเอิญมากๆ ตัวแรกผมได้มาเพราะผมไปเล่นคอนเสิร์ตที่เยอรมันแล้วมีเพื่อนเขาสั่งไว้ 14 – 15 ปีแล้วเขาไม่เอา เขาก็เลยขายต่อให้ผม ซี่งมันเป็นเรื่องค่อนข้างบังเอิญมากๆที่เพื่อนคนนี้ขายให้ผม ส่วนตัวที่ 2 ผมได้มาเพราะว่าผมได้แชมป์ GFA ผมก็เลยโทรไปหาเขา ตอนแรกเขาก็ไม่รู้หรอกว่าผมมีกีต้าร์ของเขาแล้ว 1 ตัว ที่ผมซื้อต่อจากคนอื่นมาแล้ว ผมก็คุยบอกเขาว่าผมได้แชมป์ GFA แล้วนะ เขาก็บอกว่า… ‘โอ้ดีใจด้วย เดือนหน้ามามาเอากีต้าร์ได้เลย’ ซึ่งปกติต้องรอถึง 20 ปีครับ คิดดู 20 ปีมันนานมากแค่ไหน แต่หลังจากที่ผมได้แชมป์ เขาก็ยอมรับว่าฝีมือเราคู่ควรกับกีต้าร์ของเขา ผมก็เลยได้กีต้าร์มาครอบครอง 2 ตัวภายใน 1 ปี ผมกล้าพูดเลยว่าไม่มีใครในโลกนี้ทำได้ แล้วอาจจะเป็นคนเดียวในโลกที่มี 2 ตัวภายใน 1ปี จริงๆแล้วขอแค่ตัวเดียวยังหายากเลย บางคนทั้งชีวิตยังหาไม่เจอเลยนะ ซึ่งผมคิดว่ามันอาจจะเป็นความมหัศจรรย์เดียวที่เกิดขึ้นในชีวิตผม แต่อีกใจผมเชื่อว่ามันเกิดขึ้นได้ เพราะว่าผมอยากได้มันมาก ผมดึงดูดพวกมันมา 5 ปี ไม่มีวันไหนเลยที่ผมไม่คิดถึงกีต้าร์ตัวนี้ ผมคิดถึงมันทุกวัน หาข้อมูลมันทุกวัน สุดท้ายมันก็มาหาผมเองในที่สุด
สำหรับดนตรีคลาสสิกแล้ว การฟัง CD กับการฟังสดในฮอลล์ต่างกันมาขนาดไหน?
การฟังเพลงดนตรีคลาสสิกในแผ่นกับการฟังสดจะไม่เหมือนกัน มันจะได้บรรยากาศที่คุณจะไม่เห็นในแผ่น CD ว่าง่ายๆคุณจะเห็นวิธีการที่นักดนตรีเขาถ่ายทอดการเล่นกัน เวลาไปดูในห้องมันจะให้ความรู้สึกความเงียบ คุณจะไม่เคยฟังความเงียบอะไรที่มันเพราะขนาดนี้มาก่อนเลย เพราะดนตรีมันจะส่งผ่านเข้าเส้นเลือดคุณกลับบ้านไปจะมีความสุขมากๆ ไม่มีดนตรีคลาสสิกที่ทำร้ายใคร
ย้อนกลับไป 10 ปีที่แล้ว กับตอนนี้ ความเข้าใจระหว่างดนตรีคลาสสิก กับคนทั่วไปมันดีขึ้นไหมครับ?
ผมว่าดีขึ้นนะ หลังจากที่มีสื่อต่างๆ หรือหลายๆองค์กรจัดคอนเสิร์ตดนตรีคลาสสิก คนก็เริ่มเข้าใจมากขึ้น อาจจะไม่ 100% แต่อย่างน้อยก็ได้คุ้นเคยกับเสียงดนตรีคลาสสิกมากกว่าเมื่อก่อน ต่อไปผมคิดว่าคนไทยจะคุ้นเคยกับดนตรีคลาสสิกจนเป็นเรื่องธรรมดา ซึ่งมันส่งผลดีต่ออนาคตของวงการดนตรีบ้านเรา เพราะดนตรีคลาสสิกมันเป็นดนตรีที่เชิดหน้าชูตาประเทศได้ พูดตรงๆเลยนะครับ ผมว่ามันเป็นวัฒนธรรมของโลก ถ้าเราแข็งแกร่งด้านนี้มันจะแสดงให้เห็นเลยว่า คุณมีการศึกษาที่ดีมากๆ เพราะประเทศคุณส่งเสริมทั้งด้านกีฬา และดนตรี ประเทศของเราก็จะดูดีในสายตาโลกขึ้นเยอะเลย
สำหรับคนที่ไม่เคยฟังเพลงคลาสสิก ควรจะเริ่มยังไง?
ผมว่าอาจจะยังไม่ต้องซื้อแผ่นก็ได้ ลองหาฟังจาก youtube ไปก่อน เลือกฟังเพลงคลาสสิกช้าๆระหว่างนั่งทำงาน หรือฟังในเวลาที่เราจะต้องใช้สมาธิ ลองเสิร์ช Classicial for relax ใน youtube จะมีขึ้นมาเยอะแยะ ฟังไปเถอะไม่ต้องไปสนใจว่าเพลงนั้นมันคืออะไร ชื่ออะไร ผมว่าเพลงคลาสสิกจะเป็นเพลงที่ตอบโจทย์คุณได้ดีที่สุดเลย เพราะว่ามันเป็นดนตรีที่ฟังแล้วไม่ต้องคิดมาก เหมือนกับปล่อยอากาศเข้าหัวคุณ หัวสมองคุณจะโล่ง มันจะช่วยให้คุณทำงานได้ดีขึ้น
เป้าหมายต่อไป?
แน่นอนว่าผมอยากมีชื่อเสียงมากกว่านี้ ผมอยากมีคอนเสิร์ตมากกว่านี้ ในตอนนี้ผมมีคอนเสิร์ตประมาณ 60 คอนเสิร์ตต่อปี แต่ผมอยากจะมี 100 คอนเสิร์ตต่อปี อยากจะไปเล่นกับวงออร์เคสตราดังๆ ก่อนหน้านี้ผมเคยเล่นกับวง Buffalo Philharmonic ที่นิวยอร์ก ซึ่งก็ถือว่าเป็นวงออร์เคสตราดังมากๆแล้วครับ แต่ผมอยากเล่นกับวงที่ดังกว่านั้นอีก อยากไปเล่นโซโล่กับวง Berlin Philharmonic Orchestra หรือ New York Philharmonic ซึ่งแน่นอนว่ามันเป็นไปได้
อีกหนึ่งในความฝันที่ผมอยากทำคือ อยากทำอะไรให้ประเทศนี้ อย่างการพูดสร้างเเรงบันดาลใจ ได้เห็นแววตาของคนที่ฟังมีพลังขึ้นมา อยากมาบอกถ่ายทอดเรื่องราว เพราะว่าสมัยผมไม่ค่อยมีอะไรอย่างนี้ ถ้ามีสิ่งเหล่านี้เกิดขึ้น ผมเชื่อว่าคนไทยที่จะอยู่ในระดับโลกจะมีเยอะมากขึ้น มันจะแพร่กระจ่ายไปทุกจังหวัด จะมีนักกีต้าร์คลาสสิกระดับโลก เขาเห็นผมทำได้ เขาก็ต้องทำได้เหมือนกัน เราแค่แชร์วิธีการให้เขา เขาก็จะรู้ว่าจะต้องทำยังไง นี่มันเป็นสิ่งที่ผมคิดว่าตอบโจทย์ประเทศไทยนะ เท่าที่คนอย่างผมจะสร้างได้ ถ้าผมเป็นคนที่ไปมีชื่อเสียงระดับโลก แต่กลับไม่ทำประโยชน์ให้กับประเทศเลย ผมรู้สึกว่ามันเห็นแก่ตัวเกินไป
แสงโสมเชื่อว่า… คนไทยตั้งใจทำอะไรไม่แพ้ชาติใดในโลก!
สำหรับผู้สนใจที่จะเป็นส่วนหนึ่งของ Sangsom Road to Carnegie Hall สามารถคลิกอ่านรายละเอียดกติกาเพิ่มเติมพร้อมดาวน์โหลดใบสมัครและส่งผลงานเข้าร่วมประกวดได้ที่ www.thesangsom.com/roadtocarnegie
ใครที่สนใจต้องรีบส่งเลยนะ เพราะว่าเปิดรับสมัครตั้งแต่วันนี้ จนถึง 20 กันยายน 2558 นี้เท่านั้น
SangSom
Website: http://www.thesangsom.com/
Facebook: https://www.facebook.com/sangsomexperience
ติดตามผลงานของ เบิร์ด เอกชัย เจียรกุล ได้ที่ https://www.facebook.com/Ekachaiguitarist
Writer: Suvisit Rukparyoon
Photographer: Kongkarn Sujirasinghakul
RECOMMENDED CONTENT
การร่วมมือกันระหว่างศิลปิน 2 Generation ที่มามอบความสุขท้ายปีให้แฟนเพลงแบบสวยงาม เมื่อ “LYRA” เกิร์ลกรุ๊ป T-POP กระแสร้อน