Behind Bar ในครั้งนี้ ขอบอกเลยว่าคอค็อกเทล หรือคอคนตรีแจ๊สทุกคนห้ามพลาดเด็ดขาด ย้ำว่าเด็ดขาด เพราะ “Bamboo Bar” ที่ดู๊ดดอทจะพาคุณไปทำความรู้จักกันในวันนี้ ถือเป็น ‘ตัวจริง’ ของค็อกเทลบาร์บ้านเรา นอกจากคอนเซ็ปต์ การตกแต่งร้าน และเรื่องราวประวัติอันยาวนานเก่าแก่ที่น่าสนใจแล้ว แน่นอนว่ารสชาติของค็อกเทลที่นี่จะไม่ทำให้คุณผิดหวัง ยิ่งถ้าคุณเป็นคนชอบดื่มพวกคลาสสิคค็อกเทล ยิ่งต้องมาเช็คอินที่นี่สักครั้ง แล้วรับรองว่าคุณจะติดใจจนต้องหาโอกาสมาแฮงเอาท์ที่นี่อีกบ่อยๆ
Bamboo Bar นั้นอยู่บริเวณชั้นล่างของโรงแรม Mandarin Oriental โรงแรมอันเก่าแก่ที่มีชื่อเสียงมากที่สุดแห่งหนึ่งของประเทศไทย ที่ปัจจุบันอยู่มาถึง 139 ปี ตั้งแต่ปี ค.ศ. 1876 แรกเริ่มนั้นโรงแรมแห่งนี้เป็นที่พักของชาวต่างชาติที่เดินทางเรือเข้ามาในสมัยก่อน ซึ่งตอนหลังได้ต่อเติมสถานที่ดริ๊งค์ แฮงเอาท์ ให้กับแขกที่มาพักในโรงแรม ในปี ค.ศ. 1953 “Bamboo Bar” จึงถือกำเนิดขึ้น ซึ่งจนถึงทุกวันนี้ก็มีอายุมากว่า 60 ปี แล้ว และยังถือเป็นแจ๊สบาร์แห่งแรกของเมืองไทยอีกด้วย โดยปัจจุบันจะมีการแสดงดนตรีสดจากศิลปินที่มีชื่อเสียงมากฝีมือมากมายทุกวัน เวลาสามทุ่มเป็นต้นไป
คอนเซ็ปต์หลัก ที่ถือเป็นจุดเด่นของ Bamboo Bar ก็คือชื่อ ซึ่งแปลว่าไม้ไผ่ (Bamboo) โดยมีธีมของการตกแต่งในลักษณะแบบป่าร้อน มีกลิ่นอายความเป็นแอฟริกัน แต่ทางร้านได้ทำการปัดฝุ่น ปรับปรุงโฉมเมื่อเดือนธันวาคมที่ผ่านมา โดยยังคงความเป็นลักษณะของป่า แต่เน้นไปที่ลักษณะของป่าร้อนชื้น แบบ tropical มากขึ้น การตกแต่งของที่นี่จึงยังคงความโดดเด่นของไม้ไผ่ อย่างเช่นบนหลังคาที่ทำขึ้นมาใหม่หมด กรอบรูปที่พยายามนำความเป็นไม้ไผ่เข้ามาใช้ หรือจะเป็นพวกเฟอร์นิเจอร์อย่างตัวเก้าอี้ที่ทำจากหวาย เพื่อสะท้อนความเป็นยุคสมัยก่อน รวมถึงมีกลิ่นอายความเป็นซาฟารีนิดๆ ที่ทำให้เรานึกถึงพวกนักสำรวจป่า หรือนักผจญภัยสวมหมวกสไตล์ Indiana Jones ในช่วงยุค 1930s ที่เวลาออกไปทำการสำรวจ พวกเขาจะมีเต็นท์ หรือมีค่ายไว้สำหรับดื่ม แฮงเอาท์กันอย่างครื้นเครง และแน่นอนว่าในเมื่อนี่คือบาร์ที่อยู่ในโรงแรมห้าดาวระดับโลกที่ทุกคนยอมรับ บรรยากาศโดยรวมของ Bamboo Bar จึงมีความเรียบหรู แต่มีสไตล์ สัมผัสได้ถึงความขลังอันเก่าแก่ แต่ในขณะเดียวกันก็เต็มไปด้วยมนต์เสน่ห์ที่สวยงาม อย่างเช่นเรื่องราวของนักดนตรีแจ๊สจากกรอบรูปต่างๆบนผนัง เข้ามาแล้วรู้สึกอบอุ่น cozy มากๆ มีความเข้าถึงได้ รู้เลยว่าถ้าเข้ามาเหยียบที่นี่แล้ว เราจะต้องมีช่วงเวลาผ่อนคลายที่คับไปด้วยคุณภาพแน่นอน
มาถึงพระเอกสำคัญ กับตัวค็อกเทล เนื่องจากโรงแรม Mandarin Oriental เป็นโรงแรมเก่าแก่ เมนูค็อกเทลของ Bamboo Bar จึงเน้นไปที่พวก ‘classic cocktails’ ที่มีชื่อเสียงจากทั่วโลกเป็นหลัก รวมถึงค็อกเทลสูตรใหม่ๆก็มีอยู่ด้วยเช่นกัน ซึ่ง คุณสมพงษ์ บาร์เทนเดอร์คนเก่าคนแก่ที่อยู่คู่มากับบาร์แห่งนี้เป็นเวลากว่า 40-50 ปี เป็นคนคิดค้น ครีเอทขึ้นมา แต่เนื่องจากคุณสมพงษ์ได้รีทายไปแล้ว ปัจจุบันจึงได้บาร์เทนเดอร์แนวหน้า คุณบอล ศราวุฒิ ปิ่นเพชร Head Bartender หนุ่มไฟแรง หนึ่งในสุดยอดบาร์เทนเดอร์ระดับเวิล์ด คลาส ของประเทศไทย มาช่วยสืบสาน พัฒนา เมนูค็อกเทลของ Bamboo Bar ให้คงความพิเศษ และเป็นเอกลักษณ์เอาไว้ไม่เสื่อมคลาย ซึ่งหลังจากที่ทำการปรับปรุง renovate ตัวบาร์แห่งนี้ ในเรื่องของสูตรค็อกเทลก็ได้มีการปรับปรุง พัฒนา ด้วยเช่นกัน ให้มีความเป็น American Cocktail bar ที่จริงจัง และคลาสสิคมากขึ้น คุณบอลได้อธิบายให้เราฟังว่าคอนเซ็ปต์ของคลาสสิคค็อกเทลจริงๆก็คือการทำ ‘recipe’ ที่ง่าย มีการตกแต่งที่อาจจะเรียบง่าย แต่ดูหรูหรา ซึ่งก็ถือว่าตรงกับคอนเซ็ปต์ของ Bamboo Bar เป็นอย่างดี
เมื่อเราได้เปิดดูเมนูเครื่องดื่มเล่มหนาของ Bamboo Bar เราก็รู้สึกได้ทันทีว่าเหมือนเรากำลังถือ cocktail bible อันล้ำค่าอยู่ในมือ เพราะนอกจากด้านในจะรวมลิสท์ของเหล้าที่น่าสนใจไว้หลายประเภท เมนูเครื่องดื่มของที่นี่ยังแฝงไว้ด้วยเรื่องราว และเกร็ดความรู้ที่น่าสนใจเกี่ยวกับโลกแห่งค็อกเทลเอาไว้มากมาย เมนูจะแบ่งออกเป็นสองฝั่ง ฝั่งแรกจะเป็น selection ของวิสกี้ที่มีตัวเลือกค่อนข้างหลากหลาย รวมถึงพวก gin, rum, vodka และ tequila ส่วนอีกฝั่งจะเขียนว่า ‘Cocktails & Dreams’ ที่ inspire มาจากชื่อร้านค็อกเทลของ Tom Cruise จากภาพยนตร์เรื่อง ‘Cocktail’ (1988) ฝั่งนี้จะเป็นเมนูค็อกเทลที่แบ่งออกเป็น category ของรสชาติต่างๆ ในแต่ละหน้าก็จะมีเขียนบรรยายให้ลูกค้าได้ทำความเข้าใจกับเรื่องราว และแรงบันดาลใจในแต่ละค็อกเทลของทางร้าน โดยแบ่งออกมาเป็นสี่รสชาติ ได้แก่ Exotic & Playful, Fruity & Mellow, Sophisticated & Contemporary และ Mature & Robust
เริ่มกันที่ category แรก กับ ‘Exotic & Playful’ ที่รวมเอาค็อกเทลที่มีส่วนผสมที่ค่อนข้างแปลก และแตกต่างจากบาร์อื่นๆเอาไว้ อย่างตัวที่ขายดีที่สุดของทางบาร์ก็คือ ‘Shooting Star’ (390 บาท) ที่มีส่วนผสมของ Homemade Sweet Guava Gin infusion (ฝรั่งแช่บ๊วย), Homemade Sauvignon Blanc White Wine Sugar Syrup, Bamboo Bar Bitters, Lime Juice Cordial, Fresh Lime Juice และ Sweet Guava ปิดท้ายด้วยไฮไลท์คือการแพริ่งด้วยขนมหวาน อย่างโฮมเม้ดมาการองรสส้ม (Citrus Macaron) อันขึ้นชื่อของทางโรมแรม Mandarin Oriental
ส่วนค็อกเทลที่เราได้ลองชิมใน category นี้ก็คือ ‘Rose Jam Tea Time’ (490 บาท) ที่มีส่วนผสมของ Homemade Eros Mariage Freres Tea Gin Infusion, Homemade Mandarin Oriental Rose Jam, Rose Essence, Fresh Lime Juice และ Homemade Ginger Syrup โดยเสิร์ฟเป็นเซ็ตกับโฮมเม้ดสโคน (scone) โรสแยม และครีม mascarpone ถือเป็นอีกหนึ่งประสบการณ์การดื่มค็อกเทลที่แปลกใหม่สำหรับเรา กับการแพริ่งค็อกเทลคู่กับของหวาน รสชาติของค็อกเทลเมนูนี้จะออกเบาๆ ดื่มง่ายและรู้สึกสดชื่น เมื่อทานคู่กับสโคนเนื้อเข้มข้น ก็รู้สึกว่าเข้ากันได้ smooth ดีมากทีเดียว น่าจะเป็นตัวเลือกที่ถูกใจสาวๆได้ไม่ยาก
มาต่อกันที่ ‘Fruity & Mellow’ ที่รวมค็อกเทลดื่มง่าย ออกรส fruity สดชื่นๆ ซึ่งคุณบอลได้แนะนำ ‘The Majestic’ (390 บาท) ค็อกเทลที่ครีเอทขึ้นมาสำหรับพระองค์โสม โดยใช้ส่วนผสมระดับพรีเมี่ยม อย่าง Homemade Safron Vodka Infusion, St. Germain Liquor ซึ่งเป็น elderflower ที่หายากในเมืองไทย ทางร้านต้องสั่งนำเข้าเข้ามา Apple Juice, Elderflower Syrup, Fresh Lime Juice และ Edible Flower หรือดอกไม้ทานได้ แก้วนี้เหมาะสำหรับเป็นแก้วเปิดของค่ำคืน มีรสชาติออกหวานๆปนเปรี้ยวนิดๆ ดื่มง่าย ใครที่ชอบดื่มค็อกเทลรสฟรุ๊ตตี้ๆหน่อย แนะนำให้ลองสั่งแก้วนี้
ถัดมาเป็น category ของ ‘Sophisticated & Contemporary’ ที่เน้นพวกค็อกเทลที่มีวิธีการทำแบบ modern technique หรือ modern molecular แต่ว่าก็ยังคงความเป็นคลาสสิคอยู่ แก้วที่เราได้ลองชิมคือ ‘Avant-garde’ (590 บาท) ที่ใช้ air foam ซึ่งเป็น modern technique ในด้านของอาหาร มาผนวกเข้ากับค็อกเทล มีส่วนผสมของ Hendrick’s Gin, Camomile Mariage Freres Tea, Sugar Syrup, Fresh Lime Juice, Thai Cucumber, Fleur de Sel Air Foam และ Dill หรือผักชีลาว แก้วนี้ถือเป็นแก้วโปรดของเราเลย ตอนแรกอ่านชื่อ และส่วนผสมแล้วนึกว่าจะเป็นแก้วที่ดื่มยาก แต่กลับกลายเป็นแก้วที่ดื่มได้คล่องคอสุดๆ มีรสชาติออกบางเบาจืดๆ แต่ดื่มแล้วรู้สึกสดชื่นเหลือเกิน แถมยังหอมกลิ่นอ่อนๆของแตงกวา และผักชี ถือเป็นแก้วที่ดื่มเท่าไหร่ก็ไม่มีเบื่อ อยากสั่งต่ออีกเรื่อยๆ
สุดท้ายกับ category ที่รวบรวมพวก gentlemen’s drink รสชาติหนักๆ กับ ‘Mature & Robust’ ซึ่งเน้นพวกค็อกเทลที่ twist มาจากพวกคลาสสิคค็อกเทลอีกที แก้วที่เราได้ลองคือ ‘The Bamboo Bar Negroni’ (490 บาท) ที่ทางร้านได้เอามา twist โดยใส่ Homemade Caramel Gin ร่วมด้วย Dry Orange Campari เสร็จแล้วเสิร์ฟคู่กับโฮมเม้ดทิรามิสุ มาการอง รสกาแฟ แก้วนี้ต้องบอกว่ารสแรงเข้มข้นไม่ใช่น้อย หนุ่มๆคอดริ๊งค์สายแข็งทุกคนต้องมาลอง
นอกจาก category ทั้งสี่นี้แล้ว ทางร้านยังมี ‘Aging Cocktail’ หรือค็อกเทลที่ผ่านการบ่มจากโอ่ง และการบ่มในขวด ซึ่งมีบาร์ไม่กี่ที่ในกรุงเทพที่มีการเสิร์ฟค็อกเทลประเภทนี้ หรือจะเป็น ‘Classic World Cocktails’ ที่ได้เลือกค็อกเทลสำคัญๆที่เป็นจุดเปลี่ยนของแต่ละยุค โดยมีการใส่ชื่อของผู้ที่คิดค้นค็อกเทลแต่ละตัวเข้าไปด้วย ส่วนค็อกเทลที่เราอยากลองสั่งมาดื่ม ถ้ามีโอกาสได้กลับไปที่ Bamboo Bar อีกก็คือ ‘The Quentin Tarantino Royal’ (490 บาท) ซึ่งคุณบอลบอกว่าเป็นค็อกเทลที่จัดว่าแรงที่สุดใน category ของ ‘Mature & Robust’ โดยมีรสชาติ และ recipe ที่ครีเอทขึ้นมาให้เข้ากับหนัง และภาพยนตร์ของผู้กำกับชื่อดังอย่าง Quentin Tarantino ส่วนชื่อนั้นก็ได้แรงบันดาลใจมาจากชื่อแฮมเบอร์เกอร์ Royale with Cheese จากภาพยนตร์เรื่อง Pulp of Fiction นั่นเอง
สุดสัปดาห์นี้ ถ้าคุณอยากนั่งดื่มค็อกเทลรสชาติเยี่ยม พร้อมกับอยากผ่อนคลาย สบายอารมณ์ ไปกับดนตรีแจ๊สคุณภาพ ขอให้นึกถึง Bamboo Bar ที่โรงแรม Mandarin Oriental แห่งนี้เป็นทีแรก ต่อให้คุณจะลุยเดี่ยว พาเพื่อนๆ หรือคนพิเศษมาด้วย เราเชื่อว่าค่ำคืนของคุณจะต้องเต็มไปด้วยความสุขที่ดื่มด่ำอย่างที่สุดแน่นอน
ตั้งอยู่ที่: 48 ซอยโอเรียนเต็ล กรุงเทพฯ 10500
เปิดบริการ: วันอาทิตย์-วันพฤหัสบดี ตั้งแต่เวลา: 17:00 น. – 01:00 น.
และวันศุกร์-วันเสาร์ ตั้งแต่เวลา 17:00 น. – 02:00 น.
Tel: 02 659 9000
Website: http://www.mandarinoriental.com/bangkok/fine-dining/the-bamboo-bar/
Writer: Thip S. Selley
Photographer: Kongkarn Sujirasinghakul
RECOMMENDED CONTENT
หลังเปิดตัวอย่างเป็นทางการกับบ้านหลังใหม่กับค่ายเพลง “High Cloud Entertainment” ไปเมื่อช่วงเดือนสิงหาคมที่ผ่านมาไปไม่ทันไร งานนี้จึงได้ฤกษ์ปล่อยผลงานเพลงในฐานะศิลปินเดี่ยวเต็มตัวในชื่อ “PEARWAH” หรือ “แพรวา - ณิชาภัทร ฉัตรชัยพลรัตน์” กับเพลงที่มีชื่อว่า “จีบป่ะ”