เหมือนจะเป็นธรรมเนียมของดู๊ดดอท ที่พอเข้าช่วงเทสกาลเฉลิมฉลองทีไร เป็นต้องชวนคุณผู้อ่านไปทำความรู้จักกับร้านสวยๆ ที่ตกแต่งให้เข้ากับบรรยากาศหน้าหนาว ปีนี้ก็เช่นเดียวกัน โดยเราจะพาทุกคนไปนั่งชิลล์กันที่ร้าน “The Third Pig” ร้านอาหารกึ่งลอฟท์ กึ่งบาร์ สุดสไตลิช แถวย่านห้าแยกลาดพร้าว ที่ถึงแม้จะเปิดร้านมาได้เพียงห้าเดือนเท่านั้น แต่ปัจจุบันก็ได้กลายเป็นแหล่งแฮงเอาท์สุดฮอตของหนุ่ม สาว ชาวออฟฟิศย่านลาดพร้าว รวมถึงผู้อยู่อาศัยแถวอารีย์ สะพานควาย ให้ได้แวะมานั่งกิน ดื่ม คลายเครียดหลังเลิกงาน และช่วงวันหยุดสุดสัปดาห์แบบไม่ต้องขับรถไปไหนไกลให้เหนื่อยเลย
ตอนที่ได้ยินชื่อร้านแห่งนี้ว่า The Third Pig ครั้งแรกก็แอบสงสัยอยู่เหมือนกัน ว่าร้านอาหารที่ใช้ชื่อตัวเองว่า “ลูกหมูตัวที่สาม” นี่จะเป็นร้านสไตล์ไหน และเสิร์ฟอาหารแบบใด ซึ่งพอเราได้ฟังหนึ่งในหุ้นส่วนของร้านนี้เล่าให้ฟังถึง backstory และคอนเซ็ปต์ของร้าน ก็ถึงกับต้องร้องอ๋อ โดยเขาได้เล่าให้เราฟังอย่างน่าสนใจว่า แรกเริ่มแล้ว หุ้นส่วนทุกคนของร้านนี้รู้จักเป็นเพื่อนกันมาตั้งแต่สมัยเป็นเด็กมัธยม พอโตขึ้นก็คิดอยากจะมีสถานที่ที่สามารถรวมตัว มาแฮงเอาท์ด้วยกันได้ ซึ่งสุดท้ายก็ได้มาลงตัวกับร้านนี้ โดยหุ้นส่วนแต่ละคนก็จะมีหน้าที่ช่วยดูแลในแต่ละส่วนของร้าน คนนึงเก่งทางด้านค็อกเทล ก็จะช่วยดูแลส่วนของบาร์ ส่วนอีกหลายๆคนที่ทำงานในสายครีเอทีฟ และสถาปัตย์ ก็จะช่วยกันออกแบบร้าน ซึ่งถ้าใครได้เคยไปนั่งร้านนี้ เราเชื่อว่าจะต้องชอบบรรยากาศ และการตกแต่งที่ชัดเจน ไม่เหมือนที่อื่นของร้านนี้แน่นอน เพราะไอเดียการตกแต่งของร้านนี้ได้แรงบันดาลใจมาจากนิทานวัยเด็กชื่อดังเรื่อง “ลูกหมูสามตัว” นี่เอง
ด้วยความที่กลุ่มเพื่อนหุ้นส่วนส่วนใหญ่ล้วนเกิดปีหมูเหมือนกัน และต้องการร้านที่มีกลิ่นอายของความเป็นลอฟต์ แนวอิฐ ไม้ พวกเขาเลยปิ๊งไอเดีย เนรมิตร้านแห่งนี้ให้เปรียบเสมือนเป็นบ้านของลูกหมูตัวที่สาม จากนินานเรื่องลูกหมูสามตัว ที่ฉลาดหลักแหลมสุดในบรรดาพี่น้องด้วยกันเอง โดยการสร้างบ้านจากอิฐที่มีความแข็งแกร่ง ปลอดภัยมากสุดจากหมาป่าจอมเจ้าเล่ห์ ซึ่งหลังจากที่เราได้ฟังเรื่องราว และคอนเซ็ปต์ของร้านแห่งนี้แล้ว ก็อดที่จะรู้สึกชื่นชมในครีเอทีฟไอเดียของทีมหุ้นส่วนไม่ได้ที่เราว่าแจ๋วไม่เบาเลย แถมผลลัพธ์ที่ได้ก็น่ารักไม่ซ้ำใครจริงๆ เชื่อว่าใครที่ชอบหาร้านสวยๆสบายๆนั่งชิลล์ หรือทานอาหารในร้านที่มีบรรยากาศฮิปๆเป็นต้องชอบ ซึ่งจะว่าไปแล้วการตกแต่งร้านนี้ก็ออกสไตล์วินเทจ อินดัสเตรียล นั่นแหละ กับพื้นผนังปูนเปลือย ที่บางส่วนมีการกะเทาะออกเพื่อเพิ่มความดิบ และเฟอร์นิเจอร์ที่ใช้วัสดุไม้เป็นหลัก แต่เพิ่มความน่ารัก และฟีลอบอุ่นด้วยพวกดอกไม้แห้ง หนังสือนิทาน และตุ๊กตาหมูที่แอบซ่อนตามมุมต่างๆของร้าน ส่วนมุมที่โดดเด่นที่สุดของร้านนี้ก็เห็นจะหนีไม่พ้นเตาผิงอิฐแดง ข้างบนเป็นฟืนไม้ เห็นแล้วก็อดอมยิ้มไม่ได้ หลงนึกว่าเรากำลังนั่งอยู่ในบ้านของลูกหมูตัวที่สามจริงๆ
หมูพะโล้แดดเดียวทอดกับข้าวเหนียว
พาสต้าแองเจิ้ลแฮร์กับกระเทียม พริกแห้ง และไส้กรอกอีสาน
Brick House Cobbler
ลาซานย่ามัสมั่นเนื้อ
ในส่วนของอาหาร เพื่อให้เข้ากับคอนเซ็ปต์ของร้านที่เกี่ยวกับหมู และออกฟาร์มๆหน่อย เชฟของที่นี่เลยนำเสนอเมนูอาหารที่เกี่ยวกับหมูพะโล้เป็นบางส่วน แต่โดยรวมแล้วก็จะเป็นอาหารฝรั่ง ที่มีการ twist ให้มีความเป็นไทยๆหน่อย ยกตัวอย่างเช่น ในส่วนของ Appetizer ก็จะมี “Salted Egg Fries with Home-Made Tomato Marinara and Garlic Mayonnaise” เฟรนช์ฟรายที่ชุบกับไข่เค็มก่อนแล้วเอามาทอด ทานกับซอสมะเขือเทศมารีนาร่า และมายองเนสกระเทียม หรือจะเป็นจานสลัดอย่าง “Green Curry Caesar Salad with Crispy Chicken” สลัดซีซ่าร์แกงเขียวหวานกับไก่กรอบ เป็นต้น ฟังแล้วดูน่าสนใจไม่ใช่เล่นเลย ใครที่เคยได้ลองทานแล้ว ก็บอกกันด้วยนะว่ารสชาติเป็นยังไง ถ้าอร่อยวันหลังจะได้ตามไปชิม
สำหรับจานที่เราได้ลองชิม ได้แก่ “Deep Fried Pa-Loh Pork with Sticky Rice” หมูพะโล้แดดเดียวทอดกับข้าวเหนียว (180 บาท) สำหรับเราจานนี้สามารถแบ่งทานเป็น appetizer ได้กับเพื่อนๆ รสหมูทอดแบบ deep fried เหนียวนุ่ม ออกหวานนิดๆด้วยรสชาติของพะโล้ ตัวหนังกรุบกรอบ เสิร์ฟพร้อมสลัดผัก จิ้มซอสทานกับข้าวเหนียว เป็นการเริ่มต้นมื้อที่เรียกน้ำย่อยได้ดีทีเดียว ต่อด้วย “Angel Hair Pasta with Garlic, Dried Chilli and E-san Fermented Sausage” พาสต้าแองเจิ้ลแฮร์กับกระเทียม พริกแห้ง และไส้กรอกอีสาน (180 บาท) เป็นจานพาสต้าผัดแบบแห้งๆถูกลิ้นคนไทย หอมฉุยด้วยชีสที่โรยหน้า ซึ่งแน่นอนว่าไฮไลท์ของจานก็คือไส้กรอกอีสาน เค็มๆ มันๆ ยิ่งทานยิ่งเพลิน และสุดท้ายกับ “Beef Massaman Lasagna” หรือลาซานย่ามัสมั่นเนื้อ (250 บาท) ชีสเยิ้มๆเข้ากับรสชาติของเครื่องแกงมัสมั่นได้เป็นอย่างดี ยิ่งทานร้อนๆ ยิ่งอร่อย รสชาติเข้มข้นถูกลิ้นคนไทย ถ้าใครไม่ทานเนื้อ สามารถเลือกเป็นลาซานย่าหมูได้
เครื่องดื่มที่นี่จะเน้นค็อกเทลเป็นหลัก ซึ่งนอกจากจะมีพวกคลาสสิคค็อกเทลทั่วไปอย่าง Negroni, Old Fashioned และ Martini แล้ว ที่ The Third Pig ก็ยังมี Signature Cocktails ประจำร้าน หรือที่ร้านนี้เรียกว่า “Pignature Cocktails” โดยมีทั้งหมดห้าตัวด้วยกัน ซึ่งแต่ละแก้วก็จะถูกตั้งชื่อให้เกี่ยวกับนิทาน เราได้ชิมด้วยกันสองตัวคือ “Huff & Puff” (260 บาท) รสชาติออกหวานสดชื่น ดื่มง่าย ด้วยส่วนผสมของบรั่นดี ชาไทย ฮันนี่ไซรัป น้ำมะนาว และเยลลี่ไวน์ Cabernet Sauvignon เก๋ไก่เบาๆ ด้วยกิมมิคของการ Smoke เพิ่มควันลงไปเพื่อสื่อถึงบ้านฟางของลูกหมูตัวที่หนึ่ง เสริฟพร้อมข้าวเกรียบว่าว และไวน์เยลลี่ปิดปากแก้วไว้อย่างสวยงาม
ส่วนใครที่ชอบดื่มค็อกเทลรสชาติออกผลไม้ ฟรุ๊ตตี้ๆหน่อย ทางร้านขอแนะนำ “Brick House Cobbler” (260 บาท) แก้วที่เป็นตัวแทนของลูกหมูตัวที่สาม ที่มีส่วนผสมของวอดก้า แบล็คเคอร์เรนท์ และช็อกโกแลตลิเคียว พอร์ทไวน์ แครนเบอรี่บิทเตอร์ มิกซ์เบอร์รี่ส์ และแท่งคิทแคท เสิร์ฟในแก้วอะลูมิเนียม พร้อมกับหลอดที่ทำจากอะลูมิเนียมเหมือนกัน ดื่มแล้วรู้สึกหวานนิดๆ เปรี้ยวหน่อยๆ สดชื่นไม่แพ้แก้วแรก และเอาไปเลย 10 คะแนนในการพรีเซ้นท์ เพราะตกแต่ง ดีไซน์แก้วได้น่ารักจริงๆ สาวๆเห็นแล้วเป็นต้องชอบ
ส่วนแก้วสุดท้าย สำหรับคนที่ไม่ดื่มเหล้า ก็สามารถสั่งเป็น Mocktail ได้ อย่าง “Lady Piglet” (150 บาท) ที่มีส่วนผสมของน้ำองุ่นขาว โรสบิทเตอร์ น้ำมะนาว ไซรัป โรสแมรี่ โซดา และโรสสโม๊ค แก้วนี้ก็พรีเซ้นท์ได้ออกมาหน้าตากุ๊กกิ๊กน่ารัก โดยตัวแก้วจะวางบนจานไฟ ฉายแสงสีชมพูออกมา รสชาตินั้นเรียกว่าหวานนำมาเลย แต่ก็หอมสดชื่นๆมากด้วยกลิ่นของกุหลาบ
Huff & Puff
Lady Piglet
ถึงแม้จะเปิดร้านมาได้เพียงห้าเดือน แต่ก็เรียกได้ว่ากระแสการตอบรับของ The Third Pig นั้นดีมาก อาหาร และเครื่องดื่มก็อร่อย แถมเรื่องราว คอนเซ็ปต์ร้านก็มีความหมายที่น่าสนใจไม่ซ้ำใคร สำหรับใครที่ทำงาน หรืออาศัยอยู่แถวๆย่านอารีย์ สะพานควาย เลยไปถึงย่านลาดพร้าว แล้วยังไม่เคยได้ไปลองนั่งร้านนี้ยามว่าง ก็ให้รีบไปลองซะ ไม่แน่คุณอาจได้ร้านโปรดร้านใหม่ใน neighborhood ของคุณเพิ่มเข้ามาอีกหนึ่งร้านก็ได้นะ
ตั้งอยู่ที่: ซอยพหลโยธิน 20 จตุจักร กรุงเทพมหานคร 10900 (ติดกับธนาคาร TMB)
เปิดบริการวันจันทร์-เสาร์ ตั้งแต่เวลา: 17:30 น. – 24:00 น.
Tel: 098 965 4356
Facebook: https://www.facebook.com/The3rdPig
Writer: Thip S. Selley
Photographer: Kongkarn Sujirasinghakul
RECOMMENDED CONTENT
ขยันสร้างผลงานดี ๆ ให้แฟน ๆ ได้ฟังกันอย่างต่อเนื่อง สำหรับศิลปินหนุ่มหล่อมากความสามารถที่มีแนวเพลงเป็นเอกลักษณ์อย่าง “เป้ - อารักษ์ อมรศุภศิริ” จากค่ายเพลง What The Duck หลังปล่อย EP อัลบั้ม “ARAGOCHINA” ไปเมื่อปลายปีที่ผ่านมา