ป๋าตึกคือผู้ชายที่มีหนวด ชอบออกงานสังคมอยู่บ่อยๆ เป็นคนแต่งตัวแฟชั่นจัดๆ นี่คือสิ่งที่คนส่วนใหญ่รู้จักป๋าตึกกัน แต่เชื่อเลยว่าคงมีคนอีกจำนวนไม่น้อยที่อยากรู้เหมือนกัน ว่าจริงๆแล้วป๋าตึกที่ว่านี่เค้าเป็นใครกันแน่!? เค้าเป็นคนยังไง ทำอาชีพอะไร เค้ามีความคิดแบบไหนที่ทำให้เค้าเป็นคนเท่ได้ขนาดนี้ นอกจากการเป็น Style Icon คนสำคัญของเมืองไทยในวัยอายุ 60 เขายังมีมุมอื่นในชีวิตที่เรายังไม่รู้จักกันอีกไหม? วันนี้เราอยู่กับเขาแล้ว พบกับ “ภูษิก พัฒนปราการ” หรือที่ทุกคนรู้จักกันว่า “ป๋าตึก”
ป๋าตึกคือใคร ?
มีคนถามเยอะนะ บางทีเด็กก็พูดกันว่าเขาเป็นเจ้าของสยามเซ็นเตอร์ (หัวเราะ) สุดท้ายป๋าตึกก็คือป๋าตึกไง ก็คือคนๆนึงแหละ ที่อายุก็ 60 ขนาดนี้แล้ว ถ้าคนรู้จักพ่อเขาจะเข้าใจว่าพ่อผ่านอะไรมาเยอะจริงๆ พ่อไม่ได้อยู่เฉยๆมาตลอด และก็… พ่อเป็นคนชอบแต่งตัว เรื่องแต่งตัวนี่เป็นมาตั้งแต่พ่อของพ่อ (คุณปู่) แล้ว พี่ชายพ่อ ลูกเต้าแต่ละคนก็แต่งตัวหมด มันคงเป็น DNA ล่ะมั้ง
แล้วป๋าทำอาชีพอะไร ?
ตอนนี้พ่อเกษียณแล้ว ชีวิตพ่อทำงานมาเยอะส่วนมากจะทำธุรกิจ ตอนนี้ก็มีบริษัททัวร์ ทำรังนกนางแอ่นไว้ที่ใต้ สมัยหนุ่มๆก็ทำธุรกิจรถนำเข้าจากอังกฤษ แล้วก็เคยมีธุรกิจค้าของเก่าอยู่ที่ฝรั่งเศส แต่ตอนนี้ก็วางมือไปบ้าง ทำของเก่านี่วุ่นวายมาก แต่ละประเทศมันมีกฎหมายเยอะแยะไปหมด แล้วตอนนั้นมันต้องข้ามประเทศนั้นนี้ พ่อก็เกือบเข้าคุกมาหลายประเทศละ (หัวเราะ) มันคงเป็นความซนอะนะ
ป๋าเริ่มมาสนใจแฟชั่นได้ยังไง?
ที่ทิ้งไม่ได้เลยคือ พ่อชอบดูหนัง ดูหนังตั้งแต่เล็กๆเลย ขนาดตอนเด็กๆโดนพ่อเฆี่ยนตีก็ยังชอบแอบหนีไปดูหนัง ส่วนมากจะเป็นหนังฝรั่ง พ่อเป็นคนใต้ตอนนั้นอยู่หาดใหญ่ ที่นั่นเค้านิยมดูหนังกัน แล้วพ่อก็ชอบอ่านหนังสือ ดูหนังสือเยอะพวกหนังสือแฟชั่น ก็ฝันตั้งแต่เด็กๆว่าอยากไปเมืองนอกเพราะชอบดูหนังฝรั่ง หนังนี่เป็นสิ่งที่วัยรุ่นห้ามทิ้งเลยนะ คิดดูสิหนังแต่ละเรื่องเค้าลงทุนกันเป็นพันๆล้าน แล้วทำมาให้เราดูจ่ายแค่ร้อยสองร้อยบาท หนังมันเป็นสื่อที่ทำให้เราพัฒนาได้ตลอดเวลา ทุกวันนี้พ่ออายุ 60 แล้ว พ่อยังไปดูหนังโรงตลอด ไปดูหนังโรงทีไรซื้อตั๋วเสร็จ ตอนรอเข้าโรงมันก็ยังตื่นเต้นเหมือนเดิม พ่อว่าหนังนี่แหละที่เป็นตัวเริ่มเลยตั้งแต่สมัยดาราอย่าง “Steve McQueen” พ่อเกิดปี 1953 ก็ทันยุคฮิปปี้ (หัวเราะ) แล้วพอเราเริ่มอินกับวัฒนธรรม อินกับแฟชั่น มันก็เลยทำให้เราอยากไปอยู่เมืองนอกบ้าง
เริ่มแรกที่อยากไปอยู่เมืองนอกป๋าคิดจะไปทำอะไร?
คิดจะไปทำงานครับ ก็กะจะไปทำงานด้วยเรียนไปด้วย ได้ไปเจอแม่ (ภรรยาของป๋าตึก) ที่เมืองนอก ก็สมบุกสมบันกันมาตลอด โหกว่าพ่อจะมาถึงวันนี้นะ เรื่องเล่าเยอะแยะเลย ต้องล้างจานไปไม่รู้เท่าไหร่
แสดงว่าป๋าไปเสพแฟชั่นที่โน่นด้วย?
ใช่ ช่วงที่อยู่อังกฤษ ทุกวันหยุดพ่อต้องไปเดินสโลน สแควร์ (Sloane Square) เพราะสมัยนั้นยังไม่มี บริค เลน (Brick Lane) เหมือนทุกวันนี้ สโลน สแควร์ถือว่าเป็น High Street ของเวลานั้นเลย พ่อคิดว่าการที่เราเสพแฟชั่นมันเหมือนเป็นการเอ็นเตอร์เทรน์ชีวิตอย่างหนึ่ง เหมือนเวลาที่เรากินข้าวนั่นมันก็เป็นความสุขอย่างหนึ่ง คนเราอาจจะชอบอะไรไม่เหมือนกัน สำหรับพ่อการเสพแฟชั่นมันเป็นความสุข มันเป็นลมหายใจ
พ่อว่าเราไปดูได้อย่างนึงเลย ประเทศจะเจริญได้ไม่ว่าจะที่ไหน พ่อไปมาเยอะ ถ้าคนแม่งไม่เท่นะจะเจริญยังไงมันก็ยังไม่เท่มันยังไม่ดีรับรองได้เลย ถูกมั้ยครับ? คุณมีเงินมีอะไรกันก็จริง แต่คนแม่งเดินกันแบบ …ซึ่งพ่อว่ามันไม่ใช่อะ ไม่ว่าจะประเทศไหนๆในโลกนี้นะ ถ้าคนในประเทศมันยังไม่เท่อะ ต่อให้บ้านเมืองดูเจริญขนาดไหน มันก็ยังถือว่าใช้ไม่ได้อยู่ดี เพราะว่าอะไร เพราะว่า “แฟชั่น” มันเป็นตัวแสดงให้เห็นถึงวิสัยทัศน์ แสดงให้ถึง Vision ของคนในประเทศ ซึ่งมันบ่งบอกถึงเศรษฐกิจในประเทศนั้นๆด้วย อย่าคิดว่าแฟชั่นมันเป็นเรื่องเหลวไหลนะ พ่อชอบเห็นคนแต่งตัว แต่งตัวในที่นี้ไม่จำเป็นต้องแต่งตัวเหมือน “ป๋าตึก” นะ คนเรามีรสนิยมไม่เหมือนกัน อย่างที่เค้าพูดว่า “อย่างอื่นศึกษากันได้แต่รสนิยมนี่ต้องศึกษากันเรื่อยๆ” ยกตัวอย่างเมื่อวานซืนพ่อไปเลี้ยงรุ่นเพื่อนเก่า ในเพื่อนรุ่นเดียวกันมันเรียนเก่ง เป็นหมอกัน12 คน พ่อก็บอกไปว่าพ่อเรียนไม่เก่งอย่างพวกมึง มันก็บอกกลับมาว่า “มีหมอ12คนก็จริง แต่จะมีคนแบบพ่ออยู่คนเดียวที่เป็นแบบนี้” (หัวเราะ) เออมันก็พูดโดนเหมือนกันนะ มีหมอ 12 คน มีวิศวะน่าจะ 40 คนได้ แต่เออมีเราคนเดียวที่เป็นแบบนี้ ก็ เป็นความภูมิใจเล็กๆ (หัวเราะ)
เป็นอย่างไรบ้างตอนใช้ชีวิตอยู่ที่อังกฤษ?
ก็ถือว่าเราได้ไปเห็นอะไรเยอะจากตรงนั้น พูดกันตรงๆพ่อก็ไม่ใช่คนที่เกิดบนกองเงินกองทองอะไร การไปอังกฤษสำหรับพ่อมันเลยเหมือนเป็นช่วงสร้างตัวมากกว่า พ่อไม่ได้เป็นประเภทที่ชอบคนแต่งตัวอย่างเดียวแต่ชีวิตไม่เอาไหนนะ ต้องบอกเด็กๆก่อนเลยว่า “เราต้องหาเงิน” ยิ่งอยู่ประเทศนี้เรายิ่งต้องใช้เงิน ดูอย่างคุณแม่ของพ่อตอนนั้นล้มนิดเดียว เข้าโรงพยาบาลเอกชนทีนึงเสียไป 7หมื่น 8หมื่น พ่อถึงพูดกับเด็กๆอยู่เสมอว่า “ไม่ว่ามึงจะแนว หรือมึงจะอาร์ตยังไง มึงก็ต้องเก็บเงิน” ทุกคนไม่ได้เกิดจากกระบอกไม้ไผ่ เราเองยังต้องมีแม่มีพ่อมีพี่มีน้อง มีคนที่เรารักให้ดูแล ทุกคนมีสิ่งที่จำเป็นต้องใช้ “อยู่ประเทศนี้ต้องใช้เงิน”
แปลว่าแฟชั่นที่ดีมันมาพร้อมกับเศรฐกิจที่ดีรึเปล่า?
มีส่วน การที่คุณจะนิพพานได้คุณจำเป็นต้องมีเศรษฐกิจที่ดี แม้กระทั่งเป็นพระก็ตาม เรื่องนี้มันคือมงคลที่ 4 ของพระพุทธเจ้า คือคุณต้องพร้อมในเรื่องที่อยู่อาศัย เรื่องเงินเรื่องทองก่อน ถ้าคุณยังไม่พร้อมคุณทำอะไรไม่ได้หรอก ไม่ใช่ว่า คุณกำลังนั่งวิปัสสนาอยู่ดีๆ ลูกเดินมาสะกิดขอตังค์ 100นึง พอตื่นนอนมาลูกสะกิดขอค่าเทอมอีก มันเยอะแยะไปหมด แล้วคุณจะไปนั่งยุบหนอพองหนอตรงไหน มันเป็นไปไม่ได้! กับแฟชั่น กับเรื่องรสนิยมก็เหมือนกัน ของพวกนี้มันจะเกิดขึ้นได้ มันต้องเกิดในที่ที่เราพร้อมถููกมั้ย? เชื่อพ่อ “รสนิยมอย่างเดียวกินไม่ได้ คุณยังต้องหาอะไรใส่ปากใส่ท้องด้วย”
วิวัฒนาการของแฟชั่นในเมืองไทย ที่ป๋าเห็นๆมาตั้งแต่ยุควัยรุ่นจนถึงปัจจุบันมันเป็นอย่างไรบ้าง?
คือบ้านเรายังเป็นประเทศด้อยพัฒนา “จริงๆ” พูดกันตรงๆ คือพวกกลุ่มคนเสพแฟชั่นของเรามันยังไม่เยอะ มันยังกระจุกอยู่ที่สยามสแควร์ เอาแค่คุณขับรถออกเมืองไปหน่อยเขาก็ไม่ได้แฟชั่นกันแล้ว พ่อยอมรับนะว่าประเทศเรากำลังพัฒนา แฟชั่นเรายังไม่เยอะถ้าเทียบกับความเจริญประเทศเรานะ ก็เราลองไปเปิดทีวีดูสิ แล้วลองไปเทียบกับคนในสภาดู ในสภาของเราคุณลองไปดูสิดูได้รึป่าวล่ะ (หัวเราะ) พ่อนั่งดู เราดูในแนวของเราเป็นแฟชั่น พวกคุณเข้าไปพูดเรื่องอะไรกันในนั้นอะ! คือคุณจะพูดเรื่องไรได้ ก็ในเมื่อรสนิยมคุณมันยังไม่ดีอะ แล้วทีนี้คุณจะไปพัฒนาอะไรให้ประเทศได้!? คุณพูดออกมากันแต่ละอย่าง พ่อดูทุกฝ่ายนะ… คือคุณต้องกลับไปดูตัวคุณก่อน พวกรสนิยมมันต้องออกมาจากข้างในอะ …มันโชว์วิสัยทัศน์โชว์ Vision ของคุณออกมาหมดพ่อพูดถูกมั้ย?
แสดงว่าความพัฒนาของเรามันยังน้อยมาก?
น้อยมาก อย่างที่พ่อบอก ถ้าเศรษฐกิจคุณยังไม่พร้อม คุณยังมีความต้องการเยอะแยะ วันไหนคุณตื่นมาคุณไม่สบาย นั่นคุณก็ต้องมีเงินละ แล้วทีนี้คุณจะเอาเวลาที่ไหนไปคิดเรื่องแบบนี้ได้ ที่พูดนี่ไม่ใช่เฉพาะเรื่องแฟชั่นนะ เรื่องใจก็เหมือนกัน เพราะฉะนั้นคือ “คุณต้องอยู่ให้ได้ก่อน” เมื่ออยู่ได้อย่างพอเพียง รัฐก็ต้องเข้ามาช่วยด้วยโดยเฉพาะเรื่องเจ็บไข้ได้ป่วย มีฝรั่งเคยมาพักกับพ่อแล้วเขาไม่สบาย ไปนอนโรงพยาบาลเสียไปคืนละ150,000 แล้วบริษัทประกันของเค้าบินมาหาเองจากเมืองนอกเลย บอกว่าคุณห้ามตายนะ ห้ามมาตายในเมืองไทย เขานอนอยู่เดือนนึงใช้เงินไปทั้งหมด 5 ล้านกว่าบาท ขนาดหมอยังพูดเองเลยว่า “ฝรั่งเขามองคนของเขาเป็นเทวดา ถ้าเกิดเคสนี้เป็นคนไทยคงตายไปนานแล้ว ไม่มีใครมาดูแลหรอก” จริงๆนะ พ่อก็อยากรู้เหมือนกันว่า ถ้าเป็นคนไทยจะทำยังไง พ่อถึงได้ย้ำกับเด็กๆทุกคนตลอดว่า ไม่ว่าคุณจะทำอะไร จะแต่งตัว จะแฟชั่นกัน คุณต้องนึกถึงเศรษฐกิจด้วย
คนที่ป๋าคิดว่าเท่จริงๆ มันต้องเป็นคนแบบไหน?
เรื่องนี้ต้องใช้เวลาอธิบายเลยนะ พ่อว่ามันคือ “ความคิด” คือมันจะออกมาก่อนเลยจริงๆ! คือดูแล้วมันรู้เลย อย่างน้อยคนๆนี้เค้าก็ต้อง มีอะไรที่เค้าหลงใหล เอาเรื่องที่มันดีด้วยนะ เช่น คนที่ชอบ “ดนตรี” มันก็จะออกมา เพราะว่า Fashion นี่มันไม่จำเป็นต้องเหมือนกันหมดถูกมั้ย? คนที่ชอบดนตรีไม่จำเป็นต้องแต่งตัวจัด แต่เค้าจะมี Passion จัด นั่นแหละที่พ่อคิดว่าคือความเท่ของเค้า แต่คนทั่วไปที่เห็นๆกันบางทีมันก็ควรจะสนใจบ้างนะ ไม่ใช่ว่าใส่อะไรก็ได้ไปหมด
แล้วถ้าคนทั่วไปเค้าเริ่มที่จะสนใจ เค้าอยากจะเท่ cool บ้าง ป๋าจะแนะนำให้เค้าเริ่มยังไง?
อันแรกเลย ง่ายที่สุดคือคุณต้องมี Idol นะ เช่นว่าคุณชอบไอสไตน์มาก (หัวเราะ) เราก็ต้องมาดูรายละเอียดละ ว่าเออเขาเป็นยังไง เขาคิดยังไง พูดตรงๆก็คือ เราต้องหาตัวเองให้เจอก่อนว่าเราชอบอะไร เราหลงใหลอะไร คำว่า “หลงใหล” นี่สำคัญมากจริงๆจังๆ ไม่ว่าคุณจะชอบอะไรคือเราต้องศึกษาอะ เหมือนคนเล่นพระเครื่องหรือพ่อเล่นของเก่า คนเล่นของเก่ากับคนไม่เคยเล่นของเก่าเนี่ย พอเขาเห็นอะไรเก่าปุ๊บเขาก็ว่ามันสวยไปหมด แต่ถ้าคุณเห็นของมาเยอะ เหมือนกัน คุณก็จะเริ่มรู้ว่า บางทีอันนี้มันยังไม่สวย มันยังมีสวยกว่า พ่อว่าของแบบนี้มันต้องใช้เวลา ต้องค่อยๆซึมซับ แล้วมันจะค่อยๆพัฒนาของมันขึ้นมาเอง
ป๋ามีวิธีเลือกของมา Mix and Matchยังไง ไม่ว่าจะเป็นเสื้อผ้า หรือว่าจะเป็น item ต่างๆที่ป๋าใช้?
จนถึงตอนนี้พ่อเคยผ่านกลียุค (ยุคมืด) ของพ่อมาแล้ว (หัวเราะ) มันคือ พ่อว่ามันไม่ใช่อะไรที่จะมีวิธีการตายตัว แต่มันคือเรื่องประสบการณ์ ซึ่งแฟชั่นมันมีการเปลี่ยนแปลงตัวเองอยู่ตลอดเวลานะ ไม่ได้ยั่งยืนอะไร แต่มันมีตัวนำอยู่ ก็เหมือนรถยนต์อะ สมมุติถ้ารถเบนซ์ปีนี้ตากลม อะเดี๋ยวญี่ปุ่นก็กลมตามกัน แต่สุดท้ายแล้วแฟชั่นมันคือ “การแสดงออก” ของแบบนี้มันอยู่ข้างใน คือเราจะดูรู้เลย วิธีการที่จะเรียนตรงๆมันไม่มีหรอก พ่อว่าไม่มีนะ มันเป็นความชอบของแต่ละคน เป็นความชอบของเราที่แล้วแต่ว่ามันจะไปโดนคนส่วนมากรึป่าวเท่านั้นเอง …ก็เหมือนกับงานศิลปะเลย ถ้าคุณจะนั่งดูอยู่คนเดียว แล้วบอกว่าสวยอยู่คนเดียวก็ได้! เพราะถ้าคุณชอบของคุณก็ไม่ได้มีใครว่าอะไร (หัวเราะ)
Item แบบไหนที่ป๋าซื้อมากที่สุด?
พ่อซื้อทุกอย่าง พ่อชอบซื้อของ พ่อมีหมวกเป็นร้อย รองเท้าเป็นร้อย พ่อบอกแล้วมันเป็นเหมือนเรื่องเอ็นเตอร์เทรน มีเหมือนกันนะ เพื่อนพ่อคนนึง เค้าเป็นอารมณ์เสี่ยๆ เชื่อมั้ยเค้าเที่ยวผู้หญิงวันนึง3 – 4หมื่น …เกือบทุกวัน แบบนั้นเรียกว่าฟุ่มเฟือยรึป่าว? มันก็เป็นรสนิยมของเค้า แม้ถ้าถามเราเราว่ามันไม่ค่อยดีเท่าไหร่ แต่ก็เค้าชอบของเค้าอ่ะ! หรือผู้ชายบางคนกินเหล้าทั้งคืนอะ เหล้าไวน์เปิดทีขวดละ 3แสน 4แสน ซึ่งพ่อว่าพ่อไม่ใช่คนฟุ่มเฟือยอะไรแบบนี้นะ เรามาแต่ทางแฟชั่นนี้ ไปทางอื่นพ่อก็ว่าพ่อรสนิยมไม่ค่อยดี อย่างเช่นการดื่มนี่ พ่อออกตัวเลยว่าพ่อไม่ค่อยมีรสนิยม
เลือกซื้อของที่ไหน?
เรื่องนี้พ่อมีปัญหาตั้งแต่เด็กๆ คือพ่อเป็นคนตัวใหญ่ หาไซส์ในไทยมันไม่ค่อยมี สมัยก่อนพ่อเลยต้องรอเวลา GI เข้ามา แล้วก็เข้าไปซื้อเสื้อผ้าซื้อรองเท้าในแคมป์มัน ก็เลยส่งผลถึงทุกวันนี้ในการเลือกหยิบของเหมือนกัน แต่เอาจริงๆแล้ว พ่อชอบงานคนไทยนะ บางครั้งไปดูแล้วมันสวย แล้วพ่อชอบเลยนะไม่ได้ว่ารังเกลียดหรืออะไร แต่มันใส่ไม่ได้เพราะไม่มีไซส์จริงๆ ตอนนี้พ่อว่าประเทศไทยในมุมดีไซน์เนอร์บ้านเราเก่งขึ้น เดี๋ยวนี้โลกทัศน์มันเปิดกว้างขึ้น สไตล์ก็เริ่มชัดเจนขึ้น แล้วพ่อเป็นคนชอบเสื้อผ้า พ่อไม่เคยเกลียดคนแต่งตัวอะไรยังไง ไม่ใช่ว่าจะต้องใส่ของแบรนด์เนมเมืองนอกอย่างเดียว แต่สุดท้ายมันก็ต้องมาจบที่รสนิยมอีกอะแหละ บางทีเราใส่ดูแล้วเราอาจจะคิดว่าเราสวย แต่จริงๆแล้วมันไม่สวย
Hobby ของป๋าตึกมีอะไรบ้าง มีพวกของสะสมบ้างมั้ยครับ?
มีเต็มเลย พ่อสะสมทุกอย่างเยอะแยะไปหมด ตอนนี้พ่อกำลังบ้า “Taxidermy” พวกสัตว์สตาฟ ชอบมานานแล้วเพราะพ่อชอบสะสมของแปลก ส่วน Hobby ตอนนี้พ่อกำลังศึกษาเกี่ยวกับเรื่องศาสนา แต่เราก็ไม่ได้ทิ้งเรื่องแฟชั่นนะ ทุกวันนี้พ่อในทีวีพ่อชอบดูอยู่สองเรื่อง คือเรื่องแฟชั่นกับเรื่องศาสนา พ่อดูทุกศาสนาเลยนะ
ทุกวันนี้คนส่วนใหญ่มองป๋าตึกคือ “style icon” มีอะไรอย่างอื่นอีกมั้ยที่คิดว่าคนอื่นยังไม่รู้เกี่ยวกับตัวเรา?
คงเป็นมุมที่พ่อเป็นคนคลั่งศาสนา ยิ่งช่วงหลังๆเนี่ยพ่อชอบถามตัวเองตลอดว่า “เราเกิดมาทำไม” “เราตายแล้วไปไหน” พวกคำถามปรัชญาอะไรอย่างนี้ ส่วนตัวพ่อคิดว่าโลกนี้น่าจะมีพระเจ้าองค์เดียว มันคงไม่มีแยกกันระหว่างนรกไทยกับนรกฝรั่งหรอก …ตอนนี้พ่อก็ดูๆอยู่ว่าจะไปนรกไหนดี (หัวเราะ) ซึ่งถ้าเทียบกับคนวัยพ่อด้วยกัน ดูอย่างงี้พ่อเหมือนคนแต่งตัว คนเที่ยวก็จริง แต่ถ้าว่างเมื่อไรพ่อจะไปวัดทุกเย็น ไปสวดมนต์ พ่อชอบไปอยู่วัดนานบ้านเลยเป็นอย่างนี้ อีกอย่างพ่อไม่ชอบความเรียบร้อย เกะๆกะๆวุ่นวายอย่างนี้ล่ะชอบ… ใครอย่ามาจัดห้องให้นะโกรธตายเลย จริงๆนะ แบบนั้นพ่ออยู่ไม่ได้ เดี๋ยวพ่อหาของไม่เจอ ที่สำคัญคือเราต้องอย่าประมาทกับชีวิต ไม่ใช่ว่าชีวิตนี้ต้องดูเท่ ต้องดูเก๋อย่างเดียว …ในชีวิตจริงมันซับซ้อนกว่านั้นมาก มันยังมีอีกตั้งหลายมุมหลายเรื่องให้คิด
ถ้าเปรียบเทียบแฟชั่นกับศาสนา?
เรื่องพวกนี้มันเป็นรสนิยมเหมือนกัน… ศาสนามันก็เป็นรสนิยมนะ ของแบบนี้บางทีเราไปคุยกับเด็กๆเขาก็ยังเข้ายังไม่ถึง แต่พ่อก็เป็นตั้งแต่เด็กๆแล้วนะ พ่อชอบเชื่อในสิ่งที่คนอื่นเขาไม่เชื่อ อย่างเช่นพ่อเชื่อว่า Destination บั้นปลายชีวิต พ่อเชื่อเรื่องสวรรค์มีจริง เดี๋ยวนี้เวลาเด็กพูดถึงศาสนากัน ชอบเอามาอ้างอิงเป็นวิทยาศาสตร์กันหมด แต่ศาสนามันเหนือกว่าวิทยาศาสตร์ ทุกวันนี้ก่อนออกจากบ้าน พ่อสวดมนต์ ที่สวดเพราะส่วนตัวพ่อชอบภาษาในบทสวด มันฟังดูเป็นภาษาที่ศักดิ์สิทธิ์ พ่อคิดอยู่ตลอดเวลาเลย ถ้าพรุ่งนี้กูจะตาย กูกำลังคิดอะไรตรงนี้
แสดงว่าเรื่องความฟุ่มเฟือย การทำธุรกิจ หรือแม้แต่เรื่องแฟชั่น มันไปด้วยกันกับเรื่องธรรมะได้หมด?
ใช่! นั่นแหละถึงจะเรียกว่า “เท่” เรื่องพวกนี้ยังไงมันก็ต้องไปพร้อมกันให้ได้ ยกตัวอย่างง่ายๆอย่างบางคนที่เขาไม่กินเหล้า จริงๆคนที่คิดแบบนี้เราต้องช่วยกันสนับสนุน ไม่ใช่ว่าคนต้องกินเหล้าแล้วจะดูเท่เหมือนที่คิดๆกัน มันเป็นไปไม่ได้! ก็ในเมื่อเวลาคุณเมา คุณกำลังอยู่ในความประมาท คุณอยู่ในความมึน คุณงงอยู่ แล้วคุณจะไปเท่ได้ยังไงอ่ะ? คุณมันไม่ใช่แล้วอะ ถูกเปล่า? สำหรับคนที่กำลังสร้างเนื้อสร้างตัวจากธุรกิจก็ ธรรมะก็ช่วยเหมือนกัน เราต้องคิดว่าเอาให้ได้ในชาตินี้ แล้วเราก็ต้องทำให้ได้ เพราะถ้ารอเกิดชาติหน้าก็ยังไม่รู้จะได้เป็นคนหรือเปล่า (หัวเราะเสียงดัง)
สถานที่ในกรุงเทพ ที่ป๋าไปบ่อยที่สุด?
พ่อเป็นคนชอบไปห้าง ชอบไปเดินพารากอน เวิร์ดเทรด (ปัจจุบันคือเซ็นทรัลเวิร์ด) หรือบางทีก็เข้าวัด ชอบไปวัดสุทัศน์ แล้วก็ชอบเดินเยาวราช เหมือนละครเรื่อง “เยาวราชในพายุฝน” พ่อชอบอะไรที่เป็นยุคเก่าๆ พ่อชอบไปเดินดูของเก่าตามพวกคลองถมหรือจตุจักร ก็ประเทศเราเนี่ยนะ พ่อพูดเลยว่าเราโชคดีมาก ที่เราอยู่ติดกับเขมร ติดกับโรงเกลือ มันทำให้บ้านเรามีของวินเทจขายกันเยอะมาก แล้วจะยังมีที่ไหนมีแบบนี้อีก!? จริงไหม? แถมถูกด้วย เนี่ย…จริงๆเรื่องนี้เด็กไทยโชคดีมากเลย ถ้าคุณเล่นของวินเทจนะ ไปหาที่ London ไม่มีหรอกไปดูได้เลย อย่าง New York ก็เป็นไง แพงมาก เห็นมั้ยสมัยนี้บ้านเรามีของหลุดมาเยอะ ถ้าไม่ได้เดินทางไปไหนนี่พ่อจะไปเดินเจเจ ทุกเสาร์อาทิตย์
ดูป๋าน่าจะเดินทางมาเยอะ ใช้ชีวิตมาขนาดนี้ ส่วนตัวป๋าชอบเมืองไหนเป็นพิเศษ?
ถ้าชอบสุดก็คงเป็น Londonนะ เพราะ London นี่บางทียังชอบกว่าเมืองไทยอีก เพราะ Inspired แรงบันดาลใจมันเยอะ ประเทศอังกฤษมันเหมือนที่นิ้วกลมเคยพูด “อาหารกายแพง อาหารใจถูก” จริงนะ ถึงข้าวจานละสี่ร้อยห้าร้อยก็จริง แต่อาหารใจมันถูก โดยเฉพาะถ้าคุณเป็นคนชอบศิลปะเรื่องอะไรแบบนี้อยู่ด้วยนะ ไล่ตั้งแต่ป้ายโฆษณาไปจนถึงถุงกาแฟ เดินๆอยู่คุณก็เจอคนเล่นดนตรีกันตามผับละ นี่พูดแล้วยังขนลุกเลย ส่วนเบอร์สองเลือก New York เบอร์สาม Paris (หัวเราะ) เพราะเป็นเมืองเจริญหมดเลย New York พ่อชอบตรงที่มีพิพิธภัณฑ์เยอะ แต่สำหรับพ่อยังไงอังกฤษมันสุดยอดตรงที่มันจับฉ่าย พ่อชอบความเป็นจับฉ่าย คนอื่นอาจจะไม่ชอบแต่พ่อชอบ มันมีทั้งแขกจีนเดินปนกันมั่วไปหมดก็จริง แต่แล้วทำไมคนเขาอยู่ด้วยกันได้ล่ะ?
พ่อไปอยู่อังกฤษตั้งแต่อายุ 24 อยู่จนมีลูก ประเทศนี้ถึงมันจะไม่ใช่ประเทศแม่เราก็จริง แต่มันก็เหมือนเป็นแม่เลี้ยง พ่อมีใช้ก็เพราะอังกฤษนี่ล่ะ คือพ่อไม่ใช่คนเก่งอะไร พ่อเป็นคนพูดมาก เคยมีคนบอกว่าทำไมถึงต้องการให้พ่อไปช่วยทำธุรกิจด้วย เขาบอก พ่อพูดได้หมดเปลี่ยนจากเรื่องซีเรียสๆ คือในวงการธุรกิจเค้าตรงการคนพูดเหมือนน้ำ เพื่อที่จะเชี่อมทุกสิ่งทุกอย่างให้มันได้เป็นตัวขึ้นมา เอ้ะเรานี่ก็มีประโยชน์เหมือนกันนะ (หัวเราะ)
แสดงว่าการเดินทางสำคัญ?
พ่อว่าเด็กๆนะ ถ้ามีความฝัน คุณต้องไปเมืองนอกให้ได้ อย่างพ่อเองก็เป็นเด็กต่างจังหวัด พ่อพูดได้เลยว่า การที่เด็กบ้านนอกจะมาสู้เด็กกรุงเทพมันเป็นไม่ได้ ส่วนการที่เด็กกรุงเทพจะไปสู้เด็กอังกฤษก็เป็นไปไม่ได้เหมือนกัน ของแบบนี้เค้าอาจจะไม่ได้เก่งกว่าเราก็จริง แต่แน่นอนว่าเค้าได้เปรียบกว่าตรงที่เค้าผ่านตามาเยอะ เค้าเห็นเยอะกว่าเรา มันเหมือนกับเรื่องศึกษาของเก่าที่พ่อเล่าไป ถ้าอะไรที่คุณยังไม่เคยเห็นเลยแล้วคุณไปบอกว่า “อันนี้สวย” มันไม่ใช่! มันไม่ใช่เพราะว่าคุณยังไม่เคยเห็น คุณลองไปดูน้ำตกไนแองการ่านั่นคุณว่าใหญ่แล้วนะ แต่ถ้าคุณได้ไปเห็นน้ำตก Victoria Falls ที่เคนย่าแม่งใหญ่กว่าอีก แล้วอันนั้นแม่งจะธรรมดาไปเลย เนี่ยมันเป็นอย่างนี้ล่ะ
ถ้าเป็นไปได้การไปเมืองนอกสำหรับเด็กๆ พ่อถือว่า “ควรจะ” จริงๆ หมายถึงว่า “ถ้า” เรามีโอกาสนะ ตอนพ่อเด็กๆพ่อก็ลูกคนบ้านนอกธรรมดา ปู่เขาทำงานก็เอาลูกมาฝากให้อยู่วัด แล้วพ่อก็ต้องดิ้นรนเองจนได้เรียนอาชีวะ พ่อจนก็จริงแต่พ่อเป็นคนใฝ่สูง ต้นทุนพ่อต่ำ เมื่อเรารู้ว่าต้นทุนชีวิตเราต่ำ ถ้าจะเอาไปเทียบกับคนอื่นที่เค้ามีวันหลังให้ลองเยอะ เราก็ต้องรู้จักประมาณตัวเราเองเหมือนกัน ไม่ได้แปลว่าให้เรายอมนะ นั่นแปลว่าการต่อสู้ของเรามันต้องเยอะกว่าคนอื่นขึ้นไปอีก พ่อว่าพ่อทำมาหมดล่ะ พ่อผ่านอะไรมาเยอะ… บางคนก็บอกพ่อให้ไปเขียนหนังสือเล่าประสบการณ์ชีวิตนะ พ่อก็อยากเขียนแต่หน้าปกหนังสือจะเขียนไว้เลยว่า “คนเก่งไม่ต้องมาอ่าน” เพราะพ่อเข้าใจว่าชีวิตมันยังมีอีกเยอะ พ่อเข้าใจประเภทคนที่เอ็นไม่ติดหรือคนที่ไม่ได้เก่งอะไร ชีวิตมันไม่ได้จบแค่นั้น ชีวิตมันยังต้องมีด้านอื่นอีกด้วย
ไม่มีสูตรตายตัวในชีวิต?
บางทีอ่านหนังสือพิมพ์ พ่อคิดว่าคนที่ทำผิด บางครั้งมันก็ผิดจริงแหละนะ แต่ส่วนหนึ่งที่มันผิดก็เพราะกฎหมายรึเปล่า? คือแม่งโลกเรามันมีสิทธิมนุษยชนไง อย่างคนติดยา คุณไปลงโทษเขามองว่าเขาผิด แต่สุดท้ายยังไงมันก็ร่างกายเขารึเปล่า? เราต้องแยกก่อนว่ากฎหมายกับศีลธรรมมันคนละอย่างกัน มันคนละส่วนกัน พ่อเคยดูสารคดีที่อเมริกา เขาพูดถึงคนขายโคเคน แล้วเราตามติดชีวิตเขา ไปดูที่บ้านแม่เขาเป็นอัมพาต ลูกก็พิการ แล้วศาลอเมริกามันใช้ระบบลูกขุนใช่มั้ย? สุดท้ายผลตัดสินศาลบอกว่าเขา “ไม่ผิด” นะ เห็นมั้ย? สุดท้ายมันก็หลุดนะ มันเป็นเส้นกั้นบางๆระหว่างศีลธรรมกับกฎหมาย บางครั้งกฎหมายมันมีไว้เพื่อให้คนส่วนใหญ่มันอยู่ร่วมกันได้
เหมือนบ้านเราพวกคดีไรท์แผ่นนั่นอะ คือเรื่องลิขสิทธิ์อะไรพ่อเข้าใจนะ แต่ประเทศเรามันเป็นประเทศยากจนอะ ถามจริงๆว่าคุณไม่ก๊อปวินโดว์กันเหรอ? คุณซื้อแท้ไหวเหรอ? อยากจะรู้หนังฝรั่งบางเรื่อง คนจนๆจะซื้อดูไหวมั้ย เนี่ยถ้าพูดกันตรงๆเรื่องผิดไม่ผิดมันเลยพูดลำบาก มันพูดได้สองแง่สองง่ามจริงๆ ชีวิตพ่อเองกว่าจะได้ขนาดนี้ก็ต้องผ่านอะไรมามากเจอปัญหาเยอะแยะ ชีวิตพ่อทำมาหมด มีหลวงพ่อเคยบอก “โยมยืนอยู่ขอบนรกแล้ว” ยังไม่ลงนรกนะ (หัวเราะ)
ป๋ารับมือกับปัญหาในชีวิตยังไงครับ?
พ่อเป็นคนอดทน เห็นพ่อขี้เล่นแบบนี้ แต่เวลาพ่อพยายามทำอะไร พ่อพยายามจริง พ่อเคยติดอยุ่ในแอฟฟริกาตอนนั้นไปทำธุรกิจ แล้วเงินหมด เราต้องคิดหาทุกวิธีตอนนั้น… พ่อติดอยู่ที่สถานีขนส่งในเขตบ้านนอก แล้วไอ้ดำคนนึงมันก็มาพาพ่อไปทิ้งไว้ที่โรงแรม บอกให้รออยู่ในห้องแล้วมันก็เอาเงินเราไป พ่อจำได้เลยตอนนั้นมันทำอะไรไม่ได้จริงๆ ภาษาที่มันพูดๆกันเราก็พูดไม่ได้ฟังไม่รู้เรื่อง อยากกลับก็กลับไม่ได้ ขืนกลับตอนนั้นนายทุนที่เค้าจ้างมาเอาเราตายเลย เงินเค้าก็ลงทุนหายไปตั้งเยอะ อีกอย่างงานที่พ่อไปมีพ่ออยู่คนเดียว พ่อก็เลยได้แต่รอ คือมนุษย์ต้องมีความอดทน ตรงนี้สำคัญ “อดทน” แล้ววันนึงมันก็ต้องมีวันของเรา เชื่อพ่อได้เลย แล้วมันก็มีจริงๆพ่อรออยู่เป็นเดือน สุดท้ายก็ได้กลับบ้าน
มันอยู่ที่วิธีคิด พอจะตายตอนนั้นถึงได้เชื่อศาสนา เชื่อโลกหน้ามีจริง เพราะถ้าเราไม่เชื่อเรื่องบาปกรรมเลย นั่นก็แปลว่าเราทำอะไรก็ได้ เราฆ่าพ่อแม่ก็ได้ เพราะไม่บาป บาปไม่มี ทุกวันนี้พ่อพูดกับพระตลอด ขอให้ส่งคนดีๆมาหาพ่อ อย่าส่งคนที่มันทำให้เราต้องชั่วไปด้วยเลย คือส่วนตัวใจเราไม่ค่อยชั่วหรอก แม่เค้ารู้จักพ่อดี เค้าจะพูดตลอดว่า “ตึกมันบ้าๆบอๆก็จริง แต่ใจมันดี”
ชีวิตของป๋าตึกในวัย 60 คืออะไร?
พ่อคิดว่าชีวิตพ่อมันถือว่าประสบความสำเร็จไปแล้วนะ ในฐานะที่เราเองก็ไม่ใช่ดารา และเราก็ไม่ใช่คนมีพรสวรรค์ ไม่ใช่คนเก่งอะไร แล้วตอนนี้เดินไปไหนมีคนรู้จัก ไปอังกฤษไปเมืองนอกมีคนมาขอถ่ายรูป มันก็เป็นความสุขน้อยๆที่ไม่ได้ยิ่งใหญ่อะไร เพราะพ่อก็ไม่ได้เป็นถึงระดับนายกรัฐมนตรี (หัวเราะ) แค่นี้พ่อก็ถือว่าพอเพียงแล้ว ไม่ใช่ต่อไปพ่ออยากดังอีก ไม่ใช่ๆ แค่นี้พ่อก็โอเคแล้วนะ พอแก่แล้วพ่อเริ่มสงบมากขึ้น นี่พูดจบพ่อว่าจะพ่อไปอยู่กับพระเจ้าละ
ถึงตอนนี้มีความฝันอะไรที่ยังไม่ได้ทำมั้ยครับ?
พ่อคิดว่าไม่มีแล้ว ก็อย่างที่พ่อเล่ามาทั้งหมด ได้แค่นี้มันก็เติมเต็มชีวิตเด็กบ้านนอกอย่างเรามากแล้ว พ่อได้เดินทางไปมาแล้วทั่วโลก พ่อได้ทำงานหลายอย่าง ชีวิตก็ได้เห็นอะไรเยอะแยะไปหมด ทุกวันนี้พ่อก็ถือว่านอนหลับละ สมมุติว่าถ้าพรุ่งนี้ไม่ตื่นก็ไม่เป็นไร เรียกว่า “อยู่ก็ได้ตาย ก็พร้อม” อย่างสายัณห์ สัญญา นั่นน่ะพ่อชอบเขามากนะ ที่เขาไม่ยอมทำคีโม พ่อมองว่าเค้า “เท่ จริงๆ จะมีซักกี่คนในโลกนี้ล่ะที่ยอมตาย แล้ว “ตาย” จริงๆ คุณจะอยู่ต่อไปอีกปีหรือห้าปีมันก็อยู่ใน Period เดียวกันอยู่ดี
แต่จริงๆแล้วพ่อก็ทำเป็นพูดไปนะ เอาเข้าจริงพ่อคงกลัวตายเหมือนกัน ทุกวันนี้ต้องมีสติ พ่อยังต้องบอกกับตัวเองเสมอว่า “เรามาโลกนี้แค่ชั่วคราว” พวกลูกเองก็เหมือนกัน ถ้าอยากทำอะไรหรือมีความฝันอะไร เราก็ต้องพยายาม เราก็ต้องเอามันมาให้ได้ เราต้องทำให้ถึงที่สุด
ไม่ใช่แค่เพียงภาพลักษณ์ภายนอกเท่านั้น ด้วยความคิดไม่เหมือนใครที่แสดงออกมาอย่างตรงไปตรงมา จากประสบการณ์ชีวิตที่สั่งสมมาเหล่านี้ มันช่วยสรุปได้เลยว่าผู้ชายคนนี้คือคนที่ “เท่” จริงๆ เขาคืออีกหนึ่งรุ่นเก๋าที่คนไทยทุกคนไม่ควรมองข้าม “ป๋าตึก” ภูษิก พัฒนปราการ
Who is Pa Tuek? (The word “Pa” in Thai is equivalent to “Papa” in English, which Thai people use to call an elderly man with respect) “Pa Tuek is a stylish man with bushy beard, who often goes to many social events”. This is probably what most people know about Pa Tuek. But we truly believe that there are still a majority of people out there who also want to know who this “Pa Tuek” really is. Who is he? What does he do for a living? What is his outlook that made him has so much coolness and swag? Apart from being one of the most important Thai “style icon” at the age of 60, does he have any other sides that we still don’t know about? Today we are here with him now. Meet “Phoosik Pattanapragan”, or as everyone knows him by, “Pa Tuek”.
So who is Pa Tuek?
Many people asked me that. Sometimes youngsters would say that I’m the owner of Siam Center (laugh). At the end of the day, Pa Tuek is Pa Tuek. I’m just a 60 year old man. People who know me well will understand that I have been through a lot of things in my life. I have always been active and…I like fashion. Fashion has always run through my family, from my father’s father (grandfather), and also my father’s brother (uncle). Every member of the family has always loved to dress up. It’s in our DNA I guess.
What do you do for a living?
Right now I’m retired. All my life I have worked a lot, but mostly I was into business. Right now I have my own tour company and Swallow’s nest in the South. When I was young I imported cars from England, and I also used to trade antiques when I was in France. I am finished with that job. There is a lot of fuss with selling antiques because different countries have their own laws and what not, plus I had to go across many countries. I almost got sent to jail by many countries (laugh). I guess I was quite mischievous.
How did you become interested in fashion?
I love to watch movies and I started watching movies since I was a kid. Even though I would get punished by my father afterwards, I still liked to sneak to the movie theaters. Mostly I would watch Hollywood films. I’m from the South and at that time I lived in Hat Yai. People there enjoyed watching movies. I read a lot of books and magazines, especially fashion magazines. I had a dream when I was a kid that I wanted to travel abroad from the influence of watching films. Watching films is something that every teenagers should not forget about. Think about it, each movies that are made have been invested for billions and billions, but they let us pay just a few hundred, two hundred Baht to watch. Movies are a type of media that allows us to constantly develop as a person. Even though I am now 60, I often still go watch movies in theaters. I still get the excitement whenever I’m in the queue waiting in line with my movie ticket in hand. I think it is the movies that truly made me become interested in fashion, ever since that Hollywood star “Steve McQueen”. I was born in 1953, therefore I was also in the hippie era. Since I was into the Western culture and the fashion, it made me want to travel and stay abroad.
What did you think you would be doing when you first started to want to live abroad?
I planned to work there. Actually I planned to work and also study. I met my wife when I was in the UK as well and we’ve been through a lot in life together. I have tons of stories to tell before I have become who I am now today, you won’t believe how many times I had to wash dishes back then.
This means that you were also absorbed by fashion from abroad?
Yes… When I was in England, every weekend I would always walk around Sloane Square because there was no Brick Lane at the time. Like today, Sloane Square was considered to be the High Street of that time. I think fashion is an entertainment for your life, just as eating is part of life’s happiness. I know we may not all have the same interests, but for me, fashion is my happiness, it is the air that I breathe. I think there is one thing you can observe, I’ve been to a lot of places. No matter what country that is, a country can be further developed as long as its people are cool from the inside. Even if the country is developed, but if its people are not cool, I can guarantee that that country is still not complete. Am I correct? If you are rich and have all the money, so what? I just don’t think that’s good enough. No matter what country that is, if its people still don’t have substance, even how much developed that country look, it’s still not okay. Why? Because “fashion” reflects the person’s perspective, it shows the vision of the people in that country. It also reflects the economy of that certain country as well. Don’t ever think that fashion is all mumbo-jumbo stuff. I like to see people being into fashion. Fashion in this sense doesn’t have to be like “Pa Tuek”. We all have different tastes. It’s like that saying, “everything can be taught, but fashion has to be thoroughly studied”. For example, a few days ago I had a reunion with my old friends from school. All of them are smart guys; 12 of them are now doctors. I told my friends that I’m not as smart as you guys are, but they said to me, “it’s true that 12 of us turned out to be doctors, but you are one of a kind” (laugh). What they said was pretty spot on. There are 12 doctors and 40 who turned out to be engineers. But yeah, I’m the only person who turned out like this. I guess I’m a little proud of it (laugh).
What was your life like when you were in England?
I have seen a lot of things from there. To be honest, I wasn’t born with a silver spoon in my mouth. Therefore, being able to go live in England is considered to be the time where I built myself up. I’m not the kind of person who only likes fashion and doesn’t do good in life. I like to say to the kids that first they have to know how to “earn money”, especially living in this country, where you need to spend money. There was one time when my mother had a little injury, and we had to pay around 70,000-80,000 Baht for the private hospital. That’s why I like to say to kids these days that “no matter how cool or artsy you are, you still have to save up”.
Not all of us were born with a silver spoon in our mouth. We all have to take care of our mother and father, our siblings, and love ones. We all have things that we need to buy. “Being in this country, you need to have some money”.
This means that good fashion comes with good economy?
Part of it. In order for you to reach nirvana, you need to have good economy, even if you’re a monk. I mean, you have to have your residence and money ready. If you don’t have these things then you can’t do it. You’re meditating and your children come up to you asking for 100 Baht, or your children ask you for their school fees. How will you ever attain peace? No way! It’s the same for fashion and tastes. These things can happen once you are ready, am I right? Believe me, “You can’t fulfill yourself with only your good tastes, but you also need to eat in order to survive”
When you were young up until now, how do you see the development of fashion in Thailand?
Thailand is still an undeveloped country. I’m serious. There are still a small amount of people who are really into fashion, and this group of people are all clustered in Siam Square. If you start to drive a bit out of the city, you won’t see any fashionable people anymore. I admit that our country is still developing, and that our fashion industry is still not widely spread out compared to the development of the country. You can see by turning on the television and watch the people in the congress. I mean, just look at them (laugh). I sit there watching the TV from my fashion perspective. What the hell are you guys talking about? What can you guys even talk about when all of you have such bad taste? And how the hell are you going to make this country a better place? All the things that come out of their mouths…I watch from every side. The thing is, they need to go back and take a look at themselves first, because good taste come from inside. It shows all your perspective and vision, am I right?
This means that the development within our people is still very little?
Yes… Like I said, if your economy is not ready, and you wake up one day feeling ill, then that means you need to have money to go to the doctor. Then where will you find the time to think about these sort of things? And I’m not just talking about fashion, but I’m also talking about people’s mentality. Therefore, “you need to be able to survive first”. Once you can live sufficiently, then the government must come and help with the healthcare. One of my foreigner friends used to stay with me here, and he got ill. He had to pay 150,000 Baht per night at a private hospital, and his insurance company flew all the way here to tell him that he can’t die here, he can’t die in Thailand. Turns out he stayed at the hospital for about a month with the cost up to around 5 million Baht. Even the doctor said, “their people see themselves as saints, if he was a Thai person, he would have died a long time ago, no one would take care of him”. I’m serious. I also want to know that what would Thai people do? That’s why I always say to kids all the time that no matter what you do, whether you’re into dressing up and fashion, you must also think about your economy.
What kind of person do you think is “cool”?
This subject actually needs a lot of explanation. I think it’s the person’s “mentality” that will first shine through. You will know when you see one. At least this person must have something that he or she is truly passionate about. For example, you will sense what kind of person likes music, because fashion doesn’t have to be all the same am I right? A person who loves music doesn’t have to be a fashionista. His or her deep passion for music is what makes the person cool in their own way. I think other ordinary people should also have their certain interests, not just always go with the trends.
And what if one of these ordinary people is starting to have his certain interests and want to shine out, what advice would you give to this person?
Firstly, the easiest way is for him to have an idol. For example if you like Einstein (laugh), then you have to know how he was, his ideas, etc. Frankly speaking, you have to know yourself first what you really like, what are you passionate about. The word “passionate” is very important. No matter what you like, you have to study about it. The same goes to people who like to collect amulets or antiques, like myself. There’s a difference between a person who studied about antiques and the person who just likes antiques. When they see antique stuff, these people would automatically think that they are all so beautiful. But if you’ve seen a lot of antiques and studied about it before, you will start to understand that maybe this antique is not that pretty, that you’ve seen ones that are prettier, something like that. I think with this subject, you need time. Just learn how to slowly absorb it, and you will eventually develop your own tastes and interests.
So do you have any techniques in choosing items to mix and match, whether it’s clothes or other items that you wear?
I have gone through some of my dark ages before (laugh). I don’t think it’s something that can be a fixed equation, but it’s up to your life experiences, since fashion is always evolving and changing, it is not infinite. However, there will always be a lead. The same goes with cars. If this year the Mercedes Benz’s head lights are round, then Toyota’s head lights will also be round. But in the end, fashion is a way to “express” yourself, it comes from within, and I know one when I see one. I don’t think there’s a direct way to learn it. It depends on each person’s preferences, and it’s whether your preferences and tastes will make an impact to other people or not. Actually, it’s like art. If you’re going to sit alone, looking at an artwork and say it’s beautiful, then it’s up to you, because if you like it, it’s your business (laugh).
What items do you like to buy the most?
I buy everything, I like to shop. I have hundreds of hats and shoes. Like I said, it’s about being entertained. I have a friend of mine who is quite a wealthy man. He used to go out at night with women for 30,000-40,000 Baht everyday, can you believe it? Is it superfluous? Well, it is his preference. But if you ask me, even I’d say it’s not really a good habit, but again, what can you do, he likes it! I have a friend who loves to drink all night, and he would spend 300,000-400,000 Baht on wine. I consider myself not a superfluous person in this way. I only come into the fashion path, if I have to go to other paths I don’t think my taste is good enough. Like drinking for instance, I can say that I don’t have a specialty for it.
Where do you choose to shop?
I have this problem since I was a kid because I am big built. I can’t really find the clothes my size here. Back in the day I would wait for the G.I. to come and then go buy the clothes or shoes from their camp, which still affects how I choose my items today. But actually I like the work done by Thai designers, sometimes it looks really good. It’s not that I hate it, I really do like it, but I can’t find the right size for me. I think right now Thai designers have improved a lot, because we have more outlook, and the styles are more rich. I really do like clothes, and I never judge people on what they wear. It’s not like you only have to wear brand names. But in the end, it always comes down to our tastes. Some things might look good when we wear it, when in reality it doesn’t look that great.
And what about your hobbies? Do you have any collectibles?
I have tons, I collect everything. Right now I’m really into taxidermy. I’ve liked it for a really long time now because I like to collect weird things. As for my hobby, right now I’m studying about religion, but I also haven’t abandoned fashion. Nowadays when I turn on the television I like to watch only two things, fashion and religion. I like to study about every religion.
Today, most people would see you as a “style icon”. Is there anything else that you think people still don’t know about you?
I guess it’s the side where I’m very into religion, especially at this age I like to ask myself all the time, “why were we born?” “where do we go after we die?”, these sort of philosophical questions. Personally, I think there is only one God in this world. I don’t think there’s a divide between Thai hell or any hell…right now I’m looking for which hell I should go to (laugh). If you compare me to other men my age, it’s true that I may seem like a fashionable guy who likes to go out all the time. But whenever I’m free I like to visit temples every evening, to pray. Since I used to stay at temples, that’s why my house is like this. Besides, I don’t like things to be tidy. I like my house to be messy, and don’t even think about tidying it up, because I’ll be very angry. I’m serious, otherwise I can’t live like that, I probably can’t find my belongings. But what’s important is don’t underestimate life. Life is not just about being cool and stylish…real life is much more complicated than that. There are a lot of things to think about.
About fashion and religion?
This subject is also up to your taste. Religion is also considered to be a taste. Sometimes when I talk to kids about it, they still don’t get it, but I was into religion since I was a kid. I believe in things that other people don’t believe. For example, I believe in your life’s destination. I believe that heaven really does exist. Nowadays when kids talk about religion, they always like to base it on scientific theories, but religion is more powerful than science. Everyday I would pray before I leave the house, because personally I like the language that is used for praying. It sounds like such a sacred language. I think to myself all the time, that if I die tomorrow, what would I be thinking?
This means that being superfluous, doing business, or even being fashionable, these things can all go together with religion?
Yes! And that’s what you can call being “cool”. These things must be able to go well together. An easy example is, some people they don’t drink alcohol, and we should not judge these people’s opinions. Some people drink just to show off, just to act drunk. That’s not cool. When you drink, you get drunk, you underestimate things, you get dizzy and confused. Also for someone who is building themselves up by doing business, Buddhism can help you. You have to think that you will succeed in this life, because you don’t even know if you’ll be born a human in the next life (laugh).
What are the places you often go to in Bangkok?
I like to go to malls. I like to go to Siam Paragon, Central World, or sometimes to temples like Wat Suthat Thep Wararam, and also Yaowarat (Bangkok’s China Town). I like things that are quite old. I like to go look at vintage stuff at Chatuchak Market and Klongthom. I have to say that our country is very lucky that we’re right next to Cambodia. Because of the Rongkluea Market, we are able to sell tons of vintage stuff. Nowhere else in the world are like us! Am I right? Plus, it’s so cheap! Thai youngsters are very lucky. If you’re really into vintage stuff, you can’t find it in London or New York because they’re very expensive. Our country has lots of goods. If I don’t travel to anywhere else, then every weekend I’ll always go to Chatuchak Market.
Seems like you have traveled a lot, and that you have lived your life. What cities do you like most personally?
My most favorite is probably London. Sometimes I like London even more than Thailand, because there are so many inspirations there. England is like what Roundfinger (a famous Thai writer) once said, “the food for the body is expensive, but the food for the heart is cheap”. It’s very true. Even if the food there cost around 400-500 Baht per dish, but the food for the mind is cheap, especially if you like art. From the billboards, to coffee bags, to pub musicians. I still get goosebumps just by talking about it. New York is my second favorite, and Paris the third (laugh), because they’re all developed countries. I like New York because there are a lot of museums. But for me, London is the best, because of the diversities there. I like things that are diverse. Other people may not like it, but I do. There are Chinese and Indians everywhere in England, but how come the people there can live productively? I lived in England since I was 24 until I had two daughters. Even if this country is not my mother country, but it’s the country that had provided me. I have money to spend because of England. I’m not that skillful of a man, I’m always so talkative. Someone used to say to me why he wanted me to help him with his business. He said, because I can just talk about anything. The thing is, in any business, they need someone who can talk smoothly like water, in order to connect and build everything up. Hey! I guess I’m quite useful (laugh).
So traveling is important?
I think for kids who have their dreams, they must travel abroad. I myself was a kid from the countryside. For countryside kids to compete with Bangkok kids is impossible, and for Bangkok kids to compete with kids who has studied or travel abroad is also impossible. They might not be more talented, but they certainly have more advantages because they’ve seen more things. The same goes to the story of studying about antiques that I told you before. If you see something that you have never seen before and you said, “this is beautiful”, then that’s not right! It’s not right because you’ve never seen a lot of those things before. When you see the Niagara Falls, you’ll immediately think that it’s the biggest waterfall or whatever, but if you see Victoria Falls in Kenya, it’s much much bigger, making Niagara Falls look really ordinary.
I think it is important for kids to travel abroad, but what I’m saying is “if” they have the chance. When I was a kid, I was just an ordinary countryside boy. When my grandfather went to work, he would bring me to stay at the temple. I had to struggle until I got to study vocational education. It’s true that I was poor, but I had big dreams. My life assets were low, so I had to know my own standing compared to other people who have many days ahead of them to try and do things in life. But I’m not saying that I have given up. It just means that I had to fight for things more than other people. I think I have done and been through everything…some people told me to write a book about my life experiences. I do want to write, but on my book cover it’ll say, “this book is not for talented people to read”, because I understand that things in life are so vast. I understand people who didn’t pass their entrance exams or people who have no special gift or skills. Life isn’t just about that. There are other sides to life.
There’s no fixed equation?
Sometimes when I read the newspaper, I think for the person who committed crimes, it is true that what they did was wrong. But part of it is because of the law? It’s because the world has human rights. Like the people who use drugs, they get punished by the law, but in the end, it’s their bodies, isn’t it? We have to first separate the law from morality, because they are two different things. I watched this one documentary when I was in America that talked about a cocaine dealer. It followed his life, his home, and you can see that his mother is paralyzed, his child is handicapped, and in America they use the jury system right? In the end, the court finalized that “he is not guilty”. See? In the end, he got released. There’s a fine line between morality and the law. Sometimes the law is there to help the majority of people to be able to stay together as a whole.
The same goes to our country with the cases of illegally ripping DVDs. I understand the copyrights and everything, but our country is a poor country. Let me ask you this, have you ever copied a Windows application? Do you have that much money to buy the legit ones? I want to know, with some Hollywood movies, how many poor people can actually buy the legit ones? I’m being very honest here. Therefore, what’s right and wrong is sometimes hard to say. Before I can get to where I am today, I have been through a lot, and I’ve seen a lot. I’ve done everything in my life. A monk used to say to me, “you’re standing at the edge of hell”, but I’m not in hell yet (laugh).
How do you handle all the problems in life?
I have a lot of patience. I may seem like an easy-going, funny man, but when I try to do something, I really try hard. I used to get stuck in Africa. I went to do a business at the time, and my money ran out. I had to think of every possible way to survive…I was stuck at a bus terminal, and this black guy came up to me and dumped me at a hotel, telling me to stay in the room, and he will get me the money. I still remember back to that day that I couldn’t possibly do anything. I couldn’t understand the language, and no matter how much I wanted to come home, I just couldn’t, because I would get screwed by my investor. Most of the money that he invested was already gone, besides I was the only one who worked for the job. So all I could do was wait. Us human beings have to have tolerance and patience, this is very important. Have “patience”, and your time will come, believe me on this. My time eventually came, but I had to wait for months, finally I got to come home.
It’s up to the way you think about things. When I felt like I was about to die, I then started to have faith in religion. I believed that the next life really exists, because you don’t believe in karma at all, then it means that you can do anything you want. You can even kill your own parents, because there’s no sin, no karma. Nowadays, I often talk to the Lord Buddha, to please send good people into my life, don’t send me bad people who will make me do bad things. I know that my heart isn’t that bad. My wife knows me well, she’ll always say, “Even if Tuek is a little bonkers, but he has a good heart”.
What is your life like at the age of 60?
I think that my life has already achieved its success. I’m not a celebrity, I don’t have any special gift or talent, but where ever I go, people would recognize me. I go to England and other countries, people would ask for picture. It’s my little happiness that isn’t big or anything, because it’s not like I’m a Hollywood star (laugh). But up until now, I have already lived enough. It’s not like I want to be famous in the future, it’s not like that. I’m okay now at this point. I’m old now, and I’m more at peace. I think after this I’ll be with the Lord Buddha.
Do you have any dreams that you still haven’t achieved at this point in life?
I don’t think I have any. Like everything I have told you, for a countryside boy to get to where I am today, I am already fulfilled. I get to travel all around the world, I get to work in many fields, and I’ve seen a lot in life. I am able to sleep at peace now. Even if tomorrow I don’t wake up, it’s okay. It’s like, “I can live, but I’m also ready to die”. Look at Sayun Sunya (a popular Thai country singer), for example. I really like him that he wouldn’t take chemotherapy. In my eyes, he’s very cool. How many people in this world would want to die? Even if you live for one year or five years more, you’ll be in the same period anyway.
But maybe I have said too much, because in the end I guess I’m also afraid to die. You have to be conscious. I tell myself all the time that, “we are here in this world just temporarily”. The same goes to you kids. If you have something you want to do, or if you have any dreams, then you must try hard. You must achieve it, and do the best you can.
At that moment, we have come to a conclusion that some things in this world are not meant to be studied through books or any other methods, as some things are up to life experiences. We may never know how much this man has gone through in life. He is not just a party animal or a fashionista, but what is even more important than his image is his mentality that shines through. We dare say that this man is truly “cool”. “Pa Tuek” Phoosik Pattanapragan, a man who’s seasoned character all Thais should not overlooked.
Interview : Norrarit Homrungsarid
Translator : Thip S. Selley
Photographer : Chaiyasith Junjuerdee
RECOMMENDED CONTENT
ถ้าคุณได้ติดตามข่าวกันมาบ้าง คนไทยหลายๆคนนั้นอยู่ในวงการ Visual Effect ระดับโลกมากมาย ไม่ว่าจะเป็นงานภาพยนตร์ หรืองานภาพนิ่ง