ปี 1959 เซซาร์เร (Cesarre) ผู้เป็นพ่อและเสาหลักของครอบครัวเสียชีวิต ปัญหาทุกอย่างจึงเริ่มเกิดขึ้นเรื่อยๆ ขณะที่ในช่วงทศวรรษที่ 1950-1960 ไร่ Charles Krug Winery ของครอบครัวประสบความสำเร็จในการขาย Table wine จนขึ้นมาเป็น 1 ใน 5 อรหันต์ไวน์ของแคลิฟอร์เนีย ที่เหลือคือ Beaulieu, Inglenook, Louis Martini และ Beringer
Robert Mondavi ไม่พอใจกับตำแหน่งนี้ เพราะเขาฝังหัวอยู่ว่า….อยากทำไวน์นาปาดีๆ สู้กับยุโรปได้อย่างไม่อาย เช่น สเปน อิตาลี เยอรมัน รวมทั้งฝรั่งเศส แต่เมื่อปรึกษากับน้องชายและแม่ ทุกคนบอกว่าแค่นี้ก็ขายดีอยู่แล้วไปดิ้นรนทำไม…..?
หนึ่งในความไม่พอใจของครอบครัวที่ประทุอยู่ตลอดเวลาคือ การที่ Robert ชอบออกงาน เปิดตัวกับกลุ่มบุคคลต่างๆ ซึ่งต้องใช้เงินกงสี…
แต่นั่นไม่สามารถหยุดฝันของ Robert ได้..เขาเดินทางไปยุโรปเป็นครั้งแรกในปี 1962 เพื่อไปเยี่ยมชมไร่ไวน์ดังๆ ทั้งในบอร์กโดซ์ (Bordeaux) และเบอร์กันดี (Burgandy) ในฝรั่งเศส ทัสคานี (Tuscany) ในอิตาลี และโมเซลล์ (Moselle) ในเยอรมัน กรรมวิธีการผลิตไวน์ของฝรั่งเศสหลายอย่างที่เขาเห็นเป็นครั้งแรกในชีวิต ทำให้ตื่นตาตื่นใจอย่างมาก กลับไปถึงบ้านเขาไปคุยกับแม่และน้องด้วยความตื่นเต้น.
แต่เพราะการเปลี่ยนแปลงใดๆ ต้องมีมติเป็นเอกฉันท์ จากการที่พ่อทำมรดกไว้ว่าพ่อ-แม่ถือหุ้น 40% ที่เหลือพี่น้องแบ่งกันถือหุ้น เมื่อพ่อจากไปแม่จึงเป็นคนที่ถือหุ้นใหญ่คนเดียว นอกจากมองไม่เห็นความสำคัญแล้วทุกคนยังตำหนิเรื่องการเดินทางให้เปลืองเงินเปลืองทองของเขาอีกด้วย..
เดือนพฤศจิกายน 1965 วันขอบคุณพระเจ้าครอบครัวมารวมตัวกันพร้อมหน้าพร้อมตา..สองพี่น้องมีการเสียดสีและกระทบกระทั่งกัน และจบด้วยการชกต่อยกันอุตลุด เป็นภาพที่น่าเวทนา พี่น้องคลานตามกันมา ต้องมาชกต่อยกันเหมือนกับเด็กๆ ในวัยเฉียดๆ เลขห้า นั่นคือวันที่ความแตกแยกในครอบครัวได้เกิดขึ้น ถึงขนาดมีการขึ้นโรงขึ้นศาลหลายปี ที่สำคัญก็คือแยกการเรียกนามสกุลให้ต่างกัน ครอบครัวของ Robert อ่านว่ามอนดาวี ส่วนของ Peter อ่านว่า มอนเดวี ทั้งที่สะกดเหมือกัน !!!
Robert หลุดออกมาจากวงจรธุรกิจที่ยุ่งเหยิงของครอบครัว จึงไปทำงานกับไร่ไวน์ต่างๆ ขณะที่ความฝันจะทำไร่ของตัวเองไม่ได้จางหายไปแม้แต่น้อย..เขาใช้เวลาว่างตระเวณหาไร่องุ่นเหมาะๆในบริเวณ Oakville ซึ่งอยู่ระหว่างเมือง Napa กับชายเขตด้านใต้ของ St.Helena เพื่อที่จะหาสถานที่ปักหลัก ทั้งๆ ที่เงินก็ยังไม่มี
ด้วยการสนับสนุนของเพื่อนเศรษฐี 2-3 คน เขาจึงได้เป็นเจ้าของไร่องุ่น To Kalon ซึ่งในภาษากรีซหมายถึงความงดงาม Robert เลือกวันที่ 16 กรกฏาคม 1966 วันคล้ายวันเกิดของมาชา (Macia) ลูกสาว เป็นวันลงจอบลงเสียมเพื่อเบิกหน้าดินเอาฤกษ์เอาชัย พร้อมชื่อ Robert Mondavi Winery แม้จุดมุ่งหมายคือการผลิตไวน์ด้วยองุ่นระดับราชาของโลก…..แต่ตอนนั้นต้องเป็นไปตามกลไกของตลาดก่อน และต้องรอองุ่นได้คุณภาพตามที่ต้องการ ด้วยการซื้อองุ่นจากไร่อื่นมาทำไวน์
ในช่วงนั้นโรเซ (Rose) กำลังเป็นที่นิยม Robert จึงทำโรเซสไตล์ดื่มง่ายๆ หอม เย็นชื่นใจ ด้วยองุ่นกาเมย์ (Gamay) เหมือนในโบโฌเลส์ ของฝรั่งเศส เพราะไวน์สไตล์นี้ทำแล้วขายได้เลย ไม่ต้องรอหมักบ่มให้เงินจม ขายราคาขวดละ $1.79
วันหนึ่งชาวไร่องุ่นส่งโซวีญยอง บลัง (Sauvignon Blanc) คุณภาพดีมาให้ แต่ Robert ก็ยังมึนๆ งงๆ ว่าจะเอามาทำอะไรดี เพราะในตอนนั้น ไวน์ขาว Sauvignon Blanc ไม่เป็นที่นิยม ส่วนใหญ่คุณภาพย่ำแย่
Robert นึกถึงการได้ไปเที่ยวชมไร่องุ่นในลัวร์ แวลลีย์ (Loire Valley) ที่ทำไวน์ขาวซองแซร์ (Sancerre) และปุยญี-ฟูเม (Pouilly-Fume) ด้วยองุ่น Sauvignon Blanc ได้ดีเยี่ยม แล้วทำไมเขาจะทำบ้างไม่ได้เชียวหรือ ? ในที่สุด เขาก็เอา Sauvignon Blanc ไปหมักต่อในถังโอคฝรั่งเศสพร้อมตั้งชื่อว่า Fume Blanc วางตลาดในปี 1968 ได้รับการต้อนรับอย่างดีและกลายเป็นตำนานหน้าหนึ่งของไวน์แคลิฟอร์เนีย
ปี 1979 Robert ก่อตั้งไร่ Mondavi Woodbridge Winery ใน Lodi เพื่อผลิตไวน์แคลิฟอร์เนียระดับพรีเมียม และจับมือกับบาฮรอง ฟีลิปป์ เดอ ร็อธไชลด์ (Baron Philippe de Rothschild) เจ้าของชาโต มูตอง ร็อธชิลด์ (Château Mouton Rothschild) ในฝรั่งเศส ก่อตั้ง “โอปุส วัน” (Opus One Winery) ในปีเดียวกันนั่นเอง และกลายเป็นตำนานอีกหน้าหนึ่งของไวน์แคลิฟอร์เนีย ก่อนจะขยายอาณาจักรไปยังอีกหลายประเทศทั้งในยุโรป อเมริกาใต้ และออสเตรเลีย
Robert หย่ากับภรรยาคนแรก Marjorie Ellen (Declusin) Mondavi ซึ่งมีลูกด้วยกัน 3 คนคือ Michael Mondavi, Marcia Mondavi และ Tim Mondavi ก่อนจะแต่งงานใหม่ในปี 1980 กับ Margrit (Kellenberger) Biever Mondavi
ปี 2005 Robert Mondavi กลับมาจับมือกับน้องชาย Peter เป็นครั้งแรก ผลิตไวน์โดยใช้องุ่นจากไร่ของทั้งคู่มาผสมผสานกัน ในสไตล์ Cabernet Blend ชื่อ Ancora Una Volta (Once Again) ผลิตเพียงบาร์เรลเดียวเท่านั้น
Robert Mondavi Winery ผลิตไวน์ออกมาหลายรุ่น แต่ละรุ่นได้รับการยอมรับจากคอไวน์ทั่วโลก ขณะที่กิจการการผลิตไวน์กลายเป็นที่หมายปองของนักธุรกิจทั่วโลกที่จะเข้ามาครอบครอง และถูกขายให้กับยักษ์ใหญ่ Constellation Brands ในปี 2004 จนถึงปัจจุบัน
นอกจากการทำไวน์แล้ว Robert Mondavi ยังร่วมการกุศลกับหน่วยงานต่างๆ มากมาย ขณะที่นิตยสาร Decanter ยกย่องให้เขาเป็น “Man of the Year” ในปี 1989 ส่วนชีวประวัติของเขาก็ถูกพิมพ์ภายใต้ชื่อ Harvests of Joy ตีพิมพ์ในปี 1998 ได้รับการบรรจุชื่อใน Junior Achievement U.S. Business Hall of Fame ปี 1991
วันที่ 5 ธันวาคม 2007 Arnold Schwarzenegger นักแสดงชื่อดังในฐานะผู้ว่าการรัฐแคลิฟอร์เนีย และภริยา บรรจุชื่อของ Mondavi ใน California Hall of Fame ซึ่งตั้งอยู่ใน The California Museum for History, Women and the Arts และในปีเดียวกันนั้นก็ได้รับการจารึกชื่อใน The Culinary Institute of America’s Vintner’s Hall of Fame เป็นต้น
Robert Mondavi เสียชีวิตในวันที่ 16 พ.ค. 2008 ด้วยวัย 94 ปี ก่อนหน้า Peter น้องชาย 6 ปี ทิ้งตำนานและมรดกที่สำคัญไว้ในวงการไวน์โลกมากมาย !!!
Writer : Thawatchai Tappitak
RECOMMENDED CONTENT
เป็นครั้งแรกที่บริษัทผู้สร้างตัวอักษรที่เก่าแก่ที่สุดอย่าง Monotype ได้ทำการออกแบบตกแต่งตัวชุดอักษรที่ใช้กันแพร่หลายทั่วโลกอย่าง Helvetica หลังจากที่พยายามปลุกปล้ำกันอยู่นานกว่าสองปีเพื่อที่จะปรับปรุงชุดตัวอักษรที่เป็นเอกลักษณ์ตามแบบ swizz font