ยุคที่ความรวดเร็วเดินทางมาถึง ชีวิตของคนแทบทุกคนเหมือนอยู่บนสัญญาณอินเตอร์เน็ตที่เชื่อมโยงเข้าถึงกันหมด เราเสพข่าวสารกันผ่านหน้าจอสี่เหลี่ยมเล็กๆ ไม่ว่าต้องการอยากรู้อะไรแค่คลิกเดียวก็เจอได้ทันทีแบบทันใจ แม้แต่เรื่องใหญ่ๆ อย่างการตัดสินใจซื้ออสังหาริมทรัพย์สักแห่งก็มีข้อมูลมากมายที่มารีวิวกันแบบปอกเปลือกจนหมด ต่างจากสมัยก่อนที่ข้อมูลเหล่านี้มักจะถูกเก็บไว้เป็นความลับของเหล่าผู้พัฒนาโครงการจนน่าพิศวง กว่าจะรู้ตัวว่าบ้านที่ซื้อมามีปัญหามากมายก็กลับตัวกลับใจไม่ทันเสียแล้ว
‘เพราะบ้านคือสิ่งสำคัญของทุกคน’ จนทำให้เกิดแพลตฟอร์มที่เปลี่ยนแปลงวงการอสังหาริมทรัพย์ของเมืองไทยแบบหลังมือเป็นหน้ามือเลยทีเดียวกับ ‘ThinkOfLiving’ เจ้าพ่อเว็บไซต์รีวิวโครงการที่อยู่อาศัย เริ่มต้นจากชายหนุ่มไฟแรงเพียงแค่ 2 คนอย่าง Mr.บีม (เธียรรุจ ธรณวิกรัย) และ Mr.โอ๋ (สุเชฏฐ์ ฤทธีภมร) ที่ช่วยกันกรุยทางอันขรุขระและเปิดเผยข้อมูลที่ถูกปกปิดของโครงการอสังหาริมทรัพย์จนได้รับการยอมรับในที่สุดว่าพวกเขาคือ King of content ที่ช่วยให้คนที่อยากได้บ้านดีๆ สักหลังหนึ่งตัดสินใจซื้อได้แบบไม่ต้องมานั่งเสียใจในภายหลัง
วันนี้ดู๊ดดอทเลยจะพาทุกคนมาคุยกับหนึ่งในผู้ก่อตั้ง ThinkOfLiving กับ Mr.โอ๋ ถึงเส้นทางความยากกว่าจะมาเป็นนักรีวิวที่คนซื้อบ้านนึกถึงเป็นอันดับแรกและแนวโน้มวิถีความเป็นอยู่ของคนเมืองจะเปลี่ยนแปลงไปทางไหนกันแน่
ThinkOfLiving เกิดขึ้นมาได้อย่างไร?
ThinkOfLiving เกิดจากผมและคุณบีมเมื่อ 5-6 ปีที่แล้ว บีมบ่นให้ฟังเรื่อยๆ ว่าซื้อขายอสังหาริมทรัพย์บ้านเรามันแย่ คนจะเป็นหนี้ประมาน 25-30 ปีและคนจะเป็นเจ้าของบ้านตลอดชีวิตได้แค่หลังถึงสองหลังเท่านั้นเอง แต่เชื่อไหมว่าจะซื้อบ้าน มีข้อมูลให้เลือกน้อยมาก ได้กระดาษมาใบเดียวกับคำพูดของเซลล์ ถ่ายรูปยังไม่ได้เลย บีมเลยคิดว่าน่าจะมีข้อมูลมากกว่านี้ให้คนมีโอกาสได้เลือก ส่วนสมัยนั้นผมซื้อบ้านเก่ามารีโนเวท ปล่อยเช่า พอมีความรู้เรื่องบ้าน คอนโดบ้าง บีมเลยชวนผมมาช่วยทำโปรเจ็คนี้ที่คิดขึ้นมา
Passion ของ ThinkOfLiving คืออะไร?
เราไม่ได้มีโมเดลทางธุรกิจอะไรเลย เราทำเพราะอยากทำจริงๆ เรามีแรง มีเวลาที่จะทำได้ อยากทำอะไรสักอย่างให้คนไทยมีความรู้มากพอในการเลือกซื้อบ้านที่เหมาะกับตัวเอง แค่คิดว่าปีนึงเราช่วยคน 10 – 20 คนให้ซื้อบ้านแบบไม่ต้องนั่งร้องไห้ เจ็บปวดในภายหลังได้ก็พอแล้ว เมื่อก่อนมันมีโครงการบ้านห่วยๆ เยอะ ต้องมีใครสักคนที่เข้ามาช่วยพูดว่าโครงการนี้มันห่วยเพราะอะไร เค้าจะได้ปรับปรุง คุมคุณภาพให้ดีขึ้น ตอนนั้นคนก็เริ่มเล่นมือถือแต่ไม่ได้กว้างมาก คือผมไม่ได้สนใจเทคโนโลยีแต่สนใจว่าทำยังไงให้ผู้บริโภครับรู้ข้อมูลข่าวสารนั้นได้ จังหวะมันเหมาะกับการทำเป็น Blog หรือเว็บไซต์ มันถูก แทบไม่มีต้นทุนสำหรับคนสองคนที่เริ่มต้นและเบียดเบียนทรัพยากรตัวเองน้อยที่สุด ส่งข้อมูลได้เร็ว คนเข้าถึงง่าย ใครจะคิดว่ามันจะกลายเป็นธุรกิจได้ แค่จะเข้าไปถ่ายรูปมาเขียนยังต้องแอบเลย (หัวเราะ)
ช่วงแรกเราต้องเจอกับอะไรบ้าง?
โห (คิด) มีปัญหาเยอะมากนะ ผมทำ 2 คนกับบีม เขียนอย่างเดียวไม่มีวีดีโอ อาทิตย์นึงพวกผมเขียน 5 บทความ เขียนแต่ละรีวิวละเอียดจาก 20 หน้า หลังๆ เขียนไป 200 หน้า ตอนนั้นเราออกไปถ่าย กลับมาเขียนถึง ตี 4 ตี 5 ออกไปถ่ายอีกโครงการ เราใช้ทรัพยากรตัวเองเยอะมากทั้งร่างกาย เวลา จนทะเลาะกับที่บ้านว่าเราทำไปเพื่ออะไร เหนื่อยก็เหนื่อย เงินก็ไม่ได้ แถมยังถูกไล่ออกมาจากโครงการ ต้องแอบทำ ต้องไปเดินในจุดที่น่ากลัว ทำไปอาจจะถูกฟ้องด้วย มีหลายโครงการที่มีปัญหาทางกฎหมายกับเรา เค้าสั่งให้เราเอาลง ถอดบทความทิ้ง อะไรที่เป็น Negative กับโครงการให้ลบทิ้ง เราเจอเรื่องแบบนี้แทบทุกวัน มันคือปัญหาการไม่ยอมรับจาก Developer เลย
นานไหมกว่าที่เราจะเปลี่ยนแปลงความไม่เข้าใจของ Developer?
อืม…ก็จนกระทั่ง มันเริ่มทำให้ Developer รู้สึกว่าการที่เราเขียนตรงไปตรงมา มันช่วยทำให้คนมาดูโครงการเค้าได้เหมือนกัน บางทีคนไม่ได้เชื่อเราทั้งหมด ทุกโครงการมีทั้งแง่ดี แง่ลบ มันจะมีคนที่เหมาะกับโครงการนั้นๆ เสมอ เมื่อเราค่อยๆ ทำไป เค้าก็ค่อยๆ เห็นภาพแบบนี้เหมือนกัน จากการที่เราถูกกีดกันไม่ให้เข้าไปถ่ายรูป เก็บข้อมูล ก็ยอมรับ เปิดข้อมูลกับเรามากขึ้น สิ่งเหล่านี้ทำให้เราทำข้อมูล เขียนบทความได้ดีขึ้น เป็นจุดเริ่มต้นที่เมื่อทุกคนเข้าใจ มันก็ช่วยพัฒนาอุตสาหกรรมอสังหาริมทรัพย์ได้
ThinkOfLiving มีจุดเปลี่ยนเส้นทางการทำธุรกิจไหม?
มีหลายจุดเลย จากที่เรามีกัน 2 คน ทำกันเอง เขียนกันเอง ก็เริ่มมีทีมงานเข้ามา เป็นหัวเลี้ยวหัวต่อ แทนที่เราจะสนุกกับการเขียนคอนเท็นของเราเหมือนเดิม เราต้องเริ่มบริหารคน ทำให้ทีมมี DNA ของ ThinkOfLiving ที่เปลี่ยนอีกอันคือหลังจากที่เราโดน Takeover จาก iProperty ก็มีบางส่วนที่เปลี่ยนไป อย่างที่เคยตัดสินใจกันได้โดยคนสองสามคนก็ไม่สามารถทำได้ มีนโยบายบางนโยบายที่เปลี่ยนแปลง แต่โดยตัวตนของ ThinkOfLiving ไม่ได้ถูกเปลี่ยนอะไร ยังทำงานเหมือนเดิม เขียนงานแบบเดิม โชคดีที่เค้าซื้อเราเพราะเราเป็นเรา
พอมีนายทุนเข้ามาแบบนี้ คนมองว่า ThinkOfLiving ประสบความสำเร็จแล้ว?
โห (หัวเราะ) ผมยังขับ HRV อยู่เลย ยังไปขนของเอง ยังสนุกกับการมานั่งเก็บ Content จริงๆ แล้วผมนอนอยู่บ้านเฉยๆ ก็ได้ แต่ทุกวันนี้ยังต้องออกไปดูโครงการ นั่งตรวจงานน้องๆ คุมคุณภาพ เพราะมันไม่ใช่สาระสำคัญของชีวิต อาจเป็นสิ่งที่ทำให้เราสะดวกสบายมากขึ้นเท่านั้น แต่เรายังรักในสิ่งที่เราทำ คนที่เข้ามาคือคนที่สนับสนุนเราให้เราเดินทางไปเป้าหมายเราได้สะดวกแต่ไม่ได้ทำให้เราเปลี่ยนเป้าหมายที่เราจะไป เพราะ ThinkOfLiving ไม่ได้เกิดมาเพื่อหาเงินตั้งแต่ต้น ทุกวันนี้ทำงานน้อยกว่าเดิมแต่ฝึกคนมากขึ้นเพื่อช่วยเราทำงาน
ThinkOfLiving ถือว่าประสบความสำเร็จหรือยัง?
ผมยังไม่สำเร็จ ความสำเร็จของเราคือการทำให้ อุตสาหกรรมนี้เป็นอุตสาหกรรมที่คลีนจริงๆ คนทุกคนควรจะมีความรู้ว่าบ้านแบบไหนดีหรือไม่ดียังไง แต่อุตสาหกรรมอสังหาริมทรัพย์ยังไปไม่ถึงจุดนั้น ผู้ผลิตบ้านจะได้ไม่ผลิตของแย่ๆ ออกมาเอาเปรียบประชาชน ประชาชนจะมีความรู้สึกว่าการเลือกซื้อบ้านมันมีมาตรฐานเพราะเค้าบอกว่าจะไม่ผลิตของโง่ๆ ออกมา มันเหมือนไก่กับไข่ วนไปมา ถ้าความรู้ของผู้บริโภคมีมากพอ อุตสาหกรรมจะดีขึ้นไปเรื่อยๆ แบบนี้มันซื้อขายง่ายขึ้นอีกเยอะ ถึงจะเรียกว่าใกล้สำเร็จแต่ตอนนี้ยังห่างไกล ผมต้องพัฒนาไปอีกเยอะ
Mr.โอ๋ คิดยังไงกับการที่ตอนนี้มีสื่อ Real Estate เกิดขึ้นใหม่เยอะแยะไปหมด?
ผมดีใจนะ โครงการเกิดใหม่เยอะมากผมไม่มีทางเก็บหมด ผมดีใจเพราะมันทำให้มีความเห็นใหม่ๆ ที่แตกต่าง คนอื่นที่เข้ามา อาจมีแนวคิดแบบนี้ มีวิธีคิดของเค้า ทั้งหลายทั้งปวงผู้บริโภคได้ประโยชน์เต็มๆ ได้คือความรู้ แต่ต้องระวังคือจะมีคนที่มองเห็นว่า อันนี้มันเป็นช่องทางทำเงินนี่หว่า มันเติบโตได้ ก็เข้ามาทำบ้าง มันอาจจะทำให้เกิดข้อมูลที่ไม่ตรงไปตรงมามากขึ้น ผู้บริโภคเวลาอ่านก็ต้องชั่งน้ำหนักดีๆ
ThinkOfLiving เจอปัญหาที่หนักหน่วงบ้างไหม?
ปัญหาหนักหน่วงคือเรื่องกำลังใจตอนแรกที่เราทำ มันไม่เคยมีใครทำ ต้องคิดเอง ทำเองใหม่หมด ลองผิดลองถูก เราต้องลงทรัพยากรทั้งหมดที่เรามี ไม่มีวันหยุด เจอมี Feedback กลับมาทั้งบวกและลบ ทั้งชื่นชม ขอให้ทำต่อไป ทั้งมาด่า มีคนใส่ความ ตอนนั้นผมพูดตรงๆ ThinkOfLiving ไม่ได้มีรายได้อะไร เวลาทำงานผมก็เสียไปแบบเยอะแยะมหาศาล ไม่รู้ทำไปทำไม เพื่อใคร เลิกทำไปยังง่ายกว่า ถ้าตอนนั้นเลิกทำไปเลยเราจะได้เวลาในชีวิตกลับมาเยอะ แต่เราตัดสินใจทำต่อและที่ทำให้เราผ่านมาได้ถึงตอนนี้คือกำลังใจของคนหลายๆ คนที่เค้ามาบอกว่า เค้าเลือกซื้อบ้านได้เพราะผม เพราะอ่านบทความของ ThinkOfLiving คนกลุ่มนั้นเป็นคนที่สำคัญแท้จริงที่ทำให้เราอยู่มาได้ทุกวันนี้ ถ้าคุณเริ่มต้นทำอะไรสักอย่างในชีวิต ถ้าสิ่งที่คุณทำมันมีคุณค่ากับหมู่มวล มีความจริงใจ ก็ช่วยให้กำลังใจกันและกัน เราจะก้าวข้าม ฝ่าฝันเวลาที่ยากลำบากไปได้
ตอนนี้เห็นคอนโดมิเนียมขึ้นเยอะมาก มันบอกอะไรเราได้บ้าง?
ผมว่ามันคือวัฏจักรของชีวิต คือการพัฒนาที่เปลี่ยนไปของเมือง เราไม่มีทางสร้างบ้านในทำเลของเมืองได้แล้ว ที่อยู่อาศัยพัฒนาได้ในราคาที่เราสามารถซื้อได้มันมีแค่คอนโดเพราะที่ดินในเมืองจำกัด ในอนาคตจะมีคอนโดเยอะขึ้นมาก การอยู่อาศัยของคนกรุงเทพฯ จะเป็นแนวตั้งมากขึ้น เกาะตามแนวรถไฟฟ้า ต่างจากการอยู่อาศัยของคนกรุงเมื่อสิบกว่าปีก่อนลิบลับแต่จะเปลี่ยนมือเร็วขึ้น คนรุ่นใหม่จะเข้าใจความเป็นคอนโดมากขึ้นไม่เหมือนคนสมัยก่อนที่จะไม่เอาเลย พอรับได้ก็จะเปลี่ยนมือง่าย พอเรียบจบมาอาจเป็นเจ้าของคอนโดก่อน ต่อมามีแฟน แต่งงานอาจเขยิบขยาย พอมีลูก เลี้ยงหมาแมว เลี้ยงดูพ่อแม่ก็เขยิบขยายไปอีกหน่อย เป็นวิถีของอนาคต ต่อไปคนอาจจะเริ่มมีบ้านสองหลัง มีบ้านเสาร์อาทิตย์อยู่ชานเมือง วันทำงานอยู่คอนโดในเมือง เป็นพัฒนาการของมัน
แนะนำข้อควรระวังให้คนที่กำลังมองหาบ้านสักหลังนึงหน่อย?
อย่าไปเชื่อคนอื่นมาก คนเรามักจะตกม้าตายกับอารมณ์และความรู้สึกของตัวเอง บางทีเราเลือกบ้าน ไม่มีใครมาบอกเราได้หรอกว่าหลังไหนดีกว่า เราต้องตอบตัวเองได้ เพราะเราอยู่เอง บ้านทุกหลังเหมาะกับคนแต่ละคนไม่เหมือนกัน อย่าไปหลงติดกับอารมณ์ความรู้สึก เช่น หน้าตาบ้านสวยหรือคนบอกว่าดี อย่าเชื่อ ต้องดูด้วยตาตัวเอง ต้องรู้เองว่าฟังก์ชั่นนี้เหมาะไหม ผมทำได้แค่แนะนำว่าฟังก์ชั่นนี้มันคืออะไร แต่สุดท้ายคุณต้องตัดสินใจเองว่าคุณจะได้ใช้มันไหม
ThinkOfLiving : http://thinkofliving.com
Writer: Yuwadi.s
RECOMMENDED CONTENT
“โรคร้ายไม่ใช่เรื่องของคนคนเดียว” เพราะโรคร้ายไม่ได้ทำร้ายแค่ผู้ป่วยเพียงคนเดียว แต่ยังมีคนในครอบครัวและคนอีกหลายคนที่ต้องเจ็บปวดและได้รับผลกระทบเช่นกัน การช่วยเหลือผู้ป่วยให้ได้รับการรักษานั้น เท่ากับเราได้ช่วยเหลือคนมากกว่าหนึ่งคน