พลิกโผสุดๆเมื่อภาพยนต์อินดี้มาแรงอย่าง Moonlight คว้ารางวัล Best Picture ปาดหน้าหนังแห่งปีอย่าง La La Land ยิ่งเกิดเหตุการณ์ประกาศผลผิดยิ่งสร้างความเซอร์ไพส์ผู้ชมทั่วทั้งโลก แต่ถึงจะพลิกล็อคเราก็ไม่ได้มีข้อกังขาว่าทำไมภาพยนต์เรื่องนี้ถึงสามารถคว้ารางวัลออสการ์มาได้ มาดูกันว่า 5 เหตุผล (หลักๆ) ที่บอกเราว่าทำไม Moonlight ถึงได้รางวัลภาพยนต์แห่งปี
99 % From Metacritic
จากกว่า 51 บทวิจารณ์ด้วยคะเนน 99 เต็ม 100 นี่คงไม่ต้องมีคำอธิบายเพิ่มเติมบอกว่า Moonlight เป็นลูกรักของเหล่านักวิจารณ์ขนาดไหน Moonlight ได้ขึ้นเป็นภาพยนต์อินดี้อันดับ 1 ในปี 2016 ทันทีที่เขาได้ฉายและยิ่งได้รับกระแสตอบรับที่ดีมากขึ้นเรื่อยๆเมื่อมีผู้ชมในวงกว้าง มันยิ่งเป็นข้อพิสูจน์ว่าไม่เพียงแค่นักวิจารณ์แค่คนดูทั่วไปก็ประทับใจภาพยนต์เรื่องนี้เหมือนกัน
Outstanding Performance
ไม่เพียงแค่ Mahershala Ali ที่กวาดรางวัลนักแสดงสมทบชายยอดเยี่ยมมาแทบจะทุกสำนัก แต่ต้องบอกว่าการแสดงของทุกคนใน Moonlight เล่นได้ดีมากจริงๆ ด้วยความที่ภาพยนต์เรื่องนี้เน้นที่การแสดงออกทางกายมากกว่าคำพูดของตัวละคร มันยิ่งทำให้เราได้เห็นถึงความสามารถของนักแสดงทุกคนเพราะมันสามารถทำให้เราเข้าใจภาพยนต์ได้แม้นักแสดงจะไม่มีบทพูดน้อยมาก มันทำให้เราเห็นการเปลี่ยนแปลงของตัวละครทุกตัวแต่เราก็ยังรู้สึกว่าเขาเป็นคนๆเดิมได้ ดูเป็นคำอธิบายที่นามอธรรมสุดๆ แต่ถ้าคุณได้ดูแล้วจะเข้าใจสิ่งที่เราพูดแน่นอน
Script Script Script
ผู้กำกับที่ยิ่งใหญ่ที่สุดคนหนึ่งคนโลกอย่าง Alfred Hitchcock เขาพูดว่า “ถ้าจะทำภาพยนต์ที่ดีคุณต้องการอยู่ 3 สิ่งคือ บทภาพยนต์ บทภาพยนต์และบทภาพยนต์” ซึ่งเรามันใจว่า Moonlight มีทั้ง 3 สิ่ง การถ่ายทอดเรื่องราวของคนชายขอบในสังคมที่เราไม่รู้จัก ไม่คุ้นเคยให้เราสามารถเข้าใจและเข้าถึงปัญหาของทุกตัวละคร ผ่านภาพยนต์ที่นักแสดงมาฝาดฟันกันด้วยคำพูด ไม่มีการมาเล่าเรื่องปูเหตุการณ์หรือแม้กระทั่งเสียงในใจของตัวละคร มันยิ่งเป็นการตอกย้ำถึงความแข็งแรงของบทภาพยนต์ที่และนอกจากนี้เขาสามารถคว้ารางวัลใหญ่จาก สมาคมนักเขียนหรือ WGA มาได้อีกด้วย
#OscarsSoDiversity
หลังจากที่โดนโจมตีว่า Oscars So White มาหลายปีเราก็เห็นเริ่มเห็นความหลากหลายบนเวทีออสการ์มากขึ้นตั้งแต่การในรางวัลภาพยนต์ยอดเยี่ยมแก่ 12 years slave และยิ่งในปีนี้ที่เราได้เห็นการแสดงออกเกี่ยวกับ Anti-Trump ในทุกเวทีรางวัล การที่ Moonlight ได้ภาพยนต์ยอดเยี่ยมจึงเป็นหนึ่งในการแสดงจุดยืนของวงการฮอลลีวู้ดถึงการยอมรับความหลากหลายมากขึ้น เหมือนที่ Will Leitch เขียนเขียนไว้ในเว็บไซต์ Bloomberg ว่า “คุณสามารถศึกษาเรื่องราวเกี่ยวกับ Hollywood และโลกได้มากมายผ่านผู้ชนะออสการ์”
Impact and Longevity
อย่างที่เราบอกไปเมื่อข้อที่แล้วว่าการเลือกผู้ชนะของออสการ์นั้นมีผลอย่างมากต่อสังคม เพราะกรรมการกว่า 6000 คนนั้นมาจากทุกประเทศและทุกสายอาชีพทั่วโลก ฉะนั้นการเลือกภาพยนต์ในสาขา Best Picture จึงเป็นวาระสากลที่คนทั้งโลกเห็นตรงกัน ซึ่ง Moonlight ไม่เพียงแค่ควรชนะเพื่อตอบสนอง #OscarsSoWhite เท่านั้นแต่ควรชนะเพราะนี่คือภาพยนต์ที่ทำให้เราเห็นพลังของการเอาใจใส่และความสำคัญของการถูกรัก นี่ไม่ใช่ภาพยนต์ที่สร้างมาเพื่อให้เกิดความประทับใจหรือกระทั่งทำให้ผู้มีสิทธิโหวตออสการ์ชม แต่เขาสร้างมาสิ่งที่ใหญ่กว่านั้นซึ่งไม่ว่าเขาจะได้หรือไม่ได้รับรางวัล แต่มั่นใจได้เลยว่า Moonlight จะกลายเป็นหนึ่งในตำนานที่จะแสดงให้เด็กผิวสีเห็นว่าเขาจะสามารถมีพื้นที่ในการแสดงออกและมีชีวิตที่ดีขึ้นได้
แม้จะน่าเสียดายที่ชัยชนะของ Moonlight จะถูกกลบด้วยกระแสเหตุการณ์ประกาศผลผิดไปบ้าง แต่เราก็ปฏิเสธไม่ได้ว่าภาพยนต์เรื่องนี้สมควรที่จะได้รับชัยชนะขนาดไหน (หนังสือพิมพ์ The Gradian ถึงขั้นพูดว่าถ้า La La Land ชนะมันจะกลายเป็นหายนะของ Hollywood กันเลยทีเดียว) เพราะไม่เพียงแค่ในเชิง Cinematography แต่รวมถึงในแง่ของผลกระทบต่อสังคมที่หลายคนเห็นตรงกันว่า Moonlight นับเป็นภาพยนต์ที่ผู้คนในสังคมปัจจุบันควรได้ชมมากที่สุด
Writer : Chalisa Methaupap
RECOMMENDED CONTENT
เพลงนี้เล่าถึงแรงเสียดทานในชีวิตที่ทุกคนไม่ว่าจะเป็นใคร ไม่ว่าจะยุคสมัยไหน ไม่ว่าคุณจะอยู่ที่ใดบนโลกก็ล้วนแล้วแต่ต้องพบเจอแรงเสียดทานนี้ ที่เกิดขึ้นจากการกดทับโดยบริบททางสังคม วัฒนธรรม รวมถึงการใช้ชีวิตประจำวันในแบบต่าง ๆ ที่คนคนหนึ่งต้องเจอ เพราะถึงแม้จะนับ 1 ถึง 100 เพื่อที่จะทำให้ตัวเองสงบใจ แต่สุดท้ายวันหนึ่งสิ่งนี้มันก็อาจจะเกินกว่าที่จะทนไหว และปลดปล่อยความรู้สึกที่ถูกเก็บไว้ออกมาก็เป็นได้