หากลองสังเกตดีๆ จะพบว่าฉาก Urban Life ของชาวกรุงเทพฯ เกิดการเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา ดูอย่างเมื่อช่วงหลายปีที่ผ่านมา จากเทรนด์ห้างสรรพสินค้า เปลี่ยนมาเป็นยุคของคอมมิวนิตี้มอลล์ และจากคอมมิวนิตี้มอลล์มาสู่ยุค Co-living Space ที่เปิดโอกาสให้ผู้คนมีส่วนร่วมกับ ‘พื้นที่’ ทั้งนั่งเล่นแบบไม่เร่งรีบ ดื่มด่ำอาหาร ขนม และเครื่องดื่มจากร้านดังทั่วทุกสารทิศได้สนุกกว่าครั้งไหนๆ ในที่เดียว ไม่รู้จะนิยามยังไงดี นอกจากยืนยันว่ามันจะเล่นเอาคุณเซอร์ไพรส์ตั้งแต่ก้าวเท้าเข้ามาสัมผัสเลยละ

อย่างเช่นวันนี้ที่เรามีโอกาสได้มาเยี่ยมเยือน ‘Open House’ สเปซสุดครีเอทีฟใหม่เอี่ยมบนชั้น 6 ของ Central Embassy แห่งนี้ซึ่งอาจเรียกได้ว่าจำลองยูโทเปียขนาดย่อมที่บรรจุ ‘วิถี’ ของคนเมืองไว้ครบครันที่สุดแห่งหนึ่ง ยังไงน่ะเหรอ? ป่ะ ไปดูกัน!

To Create

หากใครเคยได้ไปเยือนโครงการ Daikanyama T-Site ในโตเกียว ประเทศญี่ปุ่น ร้านหนังสือที่รวมเอา Lifestyle space เข้ามาไว้ในที่เดียว อาจไม่รู้ว่าสถาปัตยกรรมสุดว้าวนั้นเป็นผลงานการออกแบบของ Klein Dytham architecture สถาปนิกเบอร์ต้นๆ ของญี่ปุ่น ซึ่ง Open House แห่งนี้ก็เป็นฝีมือการออกแบบของพวกเขาเช่นกัน! ลองสังเกตดีๆ จะเห็นได้ว่างานออกแบบของ KDa จะเน้นที่ความโปร่งของอาคาร อย่างพื้นที่ Open House นี้ที่มีเพดานสูงถึง 6 ฟุต โดยรอบเน้นการใช้ผนังกระจกเพื่อที่ผู้มาเยือนจะได้สัมผัสวิวของเมืองกรุงเทพฯ และมีแสงธรรมชาติเข้ามาอย่างเต็มที่ อีกทั้งยังเน้นหยิบสีเขียวของต้นไม้เข้ามาเป็นเพิ่มความสดชื่นได้ดีไม่แพ้ที่โตเกียวเลย และที่สำคัญคือพื้นที่ที่ออกแบบโดย KDa มักจะเน้นการใช้สอยให้เกิดประโยชน์สูงสุด แต่ไม่ทิ้งลายเซ็นอย่างลายฉลุ อาคารทรง Cubic และไอเดียบรรเจิดที่เราจะสัมผัสได้ในทุกอณู

To Read

มองด้วยตาคร่าวๆ บนกำแพงสูงขนาด 2 ชั้น ใน Open House Bookshop by Hardcover นั้นละลานตาไปด้วยหนังสือหายาก ซึ่งส่วนใหญ่จะเน้นในหมวดดีไซน์ และศิลปะแขนงต่างๆ ไม่ว่าจะเป็น แฟชั่น ภาพยนตร์ จิตรกรรม สถาปัตยกรรม โฟโต้บุ๊ก ประวัติศาสตร์ ไปจนถึงหนังสือไลฟ์สไตล์อื่นๆ อย่าง หนังสือท่องเที่ยว หนังสือทำอาหาร หนังสือธรรมะ เรื่องสั้น นวนิยาย เป็นต้น โดยได้คนรักหนังสืออย่างคุณเชน สุวิกะปกรณ์กุล แห่ง Hardcover มาเป็นผู้คัดสรรหนังสือกว่า 20,000 เล่มจากหลากหลายสำนักพิมพ์ชื่อดังทั่วโลกมาไว้ที่นี่ ซึ่งมันดีตรงที่เขามีเก้าอี้ มีโซฟานุ่มๆ ให้เราสามารถลองหยิบมาพลิกอ่านชิลล์ๆ ก่อนซื้อกลับบ้านไปได้นี่แหละ

To Think

ใจกลางสเปซ คือที่ตั้งของ Art Tower ขนาด 3 ชั้น ซึ่งตอนแรกเราเดาไม่ถูกจริงๆ ว่าจะเจอกับอะไรจนกระทั่งเข้าไปด้านในก็พบกับพื้นที่จัดแสดงวานศิลปะขนาดย่อม ที่คัดสรรผลงานศิลปะหลากหลายแขนงจากศิลปิน Contemporary ระดับโลกมาไว้ที่นี่ รวมทั้งกำแพงด้านนอกยังมีสินค้าแนว Archival Supplies เอาใจคนทำงานศิลปะด้วย และเมื่อไต่บันไดขึ้นไปยังชั้นบนสุด ก็ต้องเซอร์ไพรส์กับดาดฟ้าที่ตกแต่งกึ่งเอาต์ดอร์ไว้เป็นพื้นที่นั่งเล่นพักผ่อนรับแสงธรรมชาติจากเพดานกระจกด้านบน พร้อมมีบริการ Wi-fi ตลอดทุกพื้นที่ จุดนี้ บอกเลยว่ามีความชิลล์สูงมาก!

เอาล่ะ เราฝืนใจไต่กลับลงมาด้านล่างก็ได้ ซึ่งบริเวณด้านล่างนี้ก็ไม่ปล่อยพื้นที่ให้เปล่าประโยชน์ แต่ยังจัดไว้เป็นโซน Workshop Desk รองรับกิจกรรมเวิร์กช็อปสนุกๆ ที่จะหมุนเวียนเปลี่ยนกันมาทุกสัปดาห์ด้วย

ไฮไลต์อีกอย่างของที่นี่ที่ไม่พูดถึงไม่ได้ก็คือ Co-thinking Space อีกมุมที่จัดไว้ให้คนที่ประสบปัญหาความเบื่อกับการนั่งทำงานในออฟฟิศเต็มแก่ได้มาเปลี่ยนบรรยากาศการทำงานกัน หรือจะนัดประชุมนอกสถานที่ดูบ้างก็ไม่เลว แถม Facility ต่างๆ ก็ครบทั้ง Open Bar เสิร์ฟอาหาร เครื่องดื่มพร้อมที่ไม่ใช่แค่ชา-กาแฟนะจ๊ะ แม้แต่เบียร์ ค็อกเทล และไวน์ก็ยังมีให้นั่งจิบกันเพลินๆ ระหว่างทำงานด้วย! ไหนจะแพ็คเกจ Wi-fi ที่มีให้เลือกหลากหลายแบบตามสะดวก ทั้งวิวต้นไม้เขียวๆ สลับกับทิวตึกสูงในเมือง นั่งทำงานไป จิบไวน์ไป มองวิวสวยๆ ไป จะเอาอะไรอี๊กกก…

To do

มาถึงตรงนี้ คงพอเดาได้ว่าเทรนด์ของสโตร์ยุคนี้จะไม่ใช่แค่การซื้อมา-ขายไปอีกต่อไป แต่จะต้อง ‘ทำงาน’ กับเราได้ด้วย Design Shop ก็เป็นอีกหนึ่งโซนที่สื่อสารระหว่างสโตร์และผู้มาเยือนได้น่าสนใจด้วยสินค้า Design & Craft จากฝีมือดีไซเนอร์เลือดใหม่ที่ได้ต่อยอดเอกลักษณ์ในแต่ละท้องถิ่นของประเทศไทยมาเป็นโปรดักซ์สุดยูนีก ไม่ว่าจะเป็น งานไม้ เซเรมิก เครื่องเขียน เครื่องประดับ ของที่ระลึก ไปจนถึงเฟอร์นิเจอร์เลยทีเดียว เท่านั้นไม่พอ ยังมีสินค้าดีไซน์จากประเทศเพื่อนบ้านด้วยเช่น พม่า ญี่ปุ่น และดีงามกว่าด้วยสินค้าซึ่งเกิดจากการระดมทุนสาธารณะ (Crowd Funding) ให้เราสนับสนุนนักออกแบบหน้าใหม่กันอีกทางด้วยนะ

To Eat

ถ้าเดินนานๆ จนชักจะเมื่อยแล้ว ลองแวะมาหาอะไรกินจุบจิบไปพลางๆ ที่ Open House จะแบ่งออกเป็น 2 โซน คือ Eating Deck โซนกึ่งบริการตนเอง (Semi-service) ซึ่งเราชอบตรงที่เขาจัดคล้ายๆ Canteen สามารถซื้ออาหารจากร้านโน้นร้านนี้มานั่งกินด้วยกันได้แบบไม่ต้องเถียงกับเพื่อนให้เสียเวลา มีร้านดังๆ จากทุกสารทิศมาให้เลือกเยอะไปหมด ไม่ว่าจะเป็นร้าน Broccoli Revolution, Egg My God, Paris Mikki, Mövenpick, Bao and Buns, Muteki by Mugendai หรือจะกินจริงจังขึ้นมาหน่อยก็นี่เลย The Meat Bar และ The Raw Bar หรือจะเขยิบมานั่งชิลล์จิบไวน์ สนทนากับเพื่อน ที่ The Casks ก็เริ่ด!

ส่วนอีกโซนคือ Eat by the Park ที่จะเป็นร้านอาหารจริงจังแบบ Full Service ด้วยคอนเซ็ปต์ Open Balcony ซึ่งสามารถมองเห็นวิวเมืองได้ Surround ที่สุด มีร้านอาหารหลากหลายแนวให้เลือก ใครชอบอาหารอิตาเลียนแท้ๆ ก็ไป Peppina อาหารไทยฟิวชั่นมาที่ Lady Nara หรืออยากสัมผัสวัฒนธรรมอาหารสเปนก็มี Rico เอาเป็นว่ามาที่นี่ที่เดียวได้ชิมเพียบ

To See

ส่วนใครที่รักการชมภาพยนตร์คงต้องห้ามพลาดกับ Embassy Diplomat Screens by AIS บอกเลยว่าคุณจะได้สัมผัสประสบการณ์การชมภาพยนตร์แตกต่างจากที่อื่น แน่นอนว่าบริการและความหรูหราของที่นี่กินขาดอยู่แล้ว แต่ที่มากกว่านั้นคือเขามี Movie Curator คอยคัดสรรคหนังสไตล์ที่คุณชอบมาจัดฉายให้ดูถึงที่ โอ้โห VIP สุดๆ ไปเลย

To Play

ขึ้นชื่อว่าเป็น Co-living space ย่อมต้องรองรับทุกไลฟ์สไตล์จริงๆ รวมไปถึงบรรดาคุณพ่อคุณแม่ที่อยากใช้เวลาว่างกับครอบครัวก็สามารถพาเด็กๆ มาวิ่งเล่นกันได้เต็มที่ในโซน Open Playground ที่ใส่ใจครบทั้ง Learn & Play กับเครื่องเล่นต่างๆ ซึ่งได้ยินมาว่ากิจกรรมและเวิร์กช้อปดีๆ จะจัดขึ้นภายในโซนนี้เรื่อยๆ อีกด้วย คุณพ่อคุณแม่ติดตามกันได้เลยจ้า

นี่แหละ นิยามของ Co-living space ที่ไม่ใช่แค่สูบฉีดแรงบันดาลใจและไอเดียของหนุ่มสาวให้พุ่งพล่าน แต่ทุกคนยังสามารถมีส่วนร่วมกับมันได้จริงๆ

ถ้าวันหยุดยาวนี้ ยังไม่มีโปรแกรมไปไหน ลองมาเติมเต็มชีวิตตลอดวันของคุณที่ Open House เหมือนเราดูบ้างไหมล่ะ!

ติดตามรายลเอียดเพิ่มเติ่มได้ที่:
Website : www.centralembassy.com
Facebook: OPEN HOUSE at Central Embassy
Instragram: Openhouse.CE