.
‘โห…จริงดิ!’
.
คือคำที่เราอุทานออกมา หลังจากหย่อน 2 เท้าลงแตะพื้นดินในซอยนาคนิวาส 30
.
มันคือพื้นที่ 1 ไร่ครึ่งที่อุทิศให้กับการทำแปลงเกษตรขนาดย่อม หากคะเนด้วย 2 ตาเปล่า มันน่าจะประกอบไปด้วย แปลงผัก บ่อปลา เล้าไก่ และบรรดาพืชผักสวนครัวอีกหลายสปีชี่ส์ ซึ่งทั้งหมดที่ว่ามานี้ตั้งอยู่ในย่านลาดพร้าว ที่ๆ ริ้วตึกสูงตัดสลับกับวิวของหมู่บ้านจัดสรรหนาแน่นนั่นแหละ
.
“เอ้า เข้ามาข้างในก่อนครับ วันนี้ร้อนเนอะ เดี๋ยวผมเปิดแอร์ให้”
.
ผู้ชายในชุดเสื้อยืด กางเกงทรงฮาเร็ม ถือกรรไกรตัดกิ่งในมือบอก เมื่อเห็นเรายืนเหงื่อตกท่ามกลางแดดแจ๋ของเดือนกุมภาพันธ์ เขาไม่ใช่ใครที่ไหน เขาคือ โอ๋-ธรรมศักดิ์ ลือภูวพิทักษ์กุล หรือ ‘โอ๋ P2Warship’ อดีตสมาชิกวงดนตรีนอกกระแสเมื่อสัก 10 ปีก่อน ที่เปลี่ยนมือจากการจับไมค์มาถือจอบ จับเสียม ในฐานะ ‘เกษตรกร’ ยึดวิถีเกษตรอินทรีย์เต็มตัวมาได้เป็นปีที่ 7 แล้ว ซึ่งหลายคน (รวมทั้งเรา) อาจไม่รู้ว่าอาชีพจริงๆ ของธรรมศักดิ์คือสถาปนิกตกแต่งภายใน รวมถึงอีกอาชีพหนึ่งคือการเป็นช่างภาพไปด้วย หลายต่อหลายปี เขาทำงานหนักเหมือนคนทั่วไป เพื่อให้ได้เงินมากๆ แล้วใช้มันนำทางไปสู่ชีวิตในอุดมคติ แต่เมื่อเวลาผ่านไป สิ่งที่เรียกว่าเงินกลับไม่ได้ตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์ของผู้ชายคนนี้สักเท่าไร การลงมือ ‘ปลูก’ ชีวิตในแบบที่อยากได้จึงเริ่มต้นขึ้น…
.
.
เข้าสู่โหมดค้นหา…
.
สมมติว่าได้เงินมา อยากถ่ายรูป ก็ไปซื้อกล้องราคาแสนกว่าบาท ตั้งไว้ปีหนึ่งยังไม่ได้จับเลย เพราะไม่มีเวลา หรือซื้อรถใหม่มา มันก็ไม่ได้ขับดีกว่าคันเก่าเท่าไร ตอนได้มามันไม่เห็นสุดเหมือนที่คิดเลยนี่หว่า อีกอย่างผมรู้สึกตัวเองอ่อนเกินไปกับสังคมของการดีลกับคนเยอะๆ แบบนี้ ไหนจะลูกค้า ไหนจะช่าง พอดีมีที่ดินอยู่ตรงนี้ งั้นทำสนามฟุตบอลดีกว่า เพราะมันเป็นธุรกิจที่ได้เงินทุกวัน แล้วจะได้มีเวลาออกไปถ่ายรูปอย่างที่อยากทำสักที
.
ทำไปได้สักพัก พอดีเป็นปีที่น้ำท่วมกรุงเทพฯ ผมต้องพาคุณแม่ย้ายมาอยู่ที่นี่ เริ่มสังเกตว่าทำไมแม่ชีวิตดีจัง ซึ่งโชคดีว่าบ้านผมไม่ท่วม ทั้งที่แถวนี้ท่วมหมด ไม่มีใครขายของเลยด้วยซ้ำ แต่แม่ก็ยังเก็บผัก เก็บอะไรริมรั้วมาทำอาหารกินได้ เหมือนชีวิตคนอื่นหยุด แต่เรายังใช้ชีวิตได้ปกติ เป็นการกลับไปสู่เรื่องง่ายๆ อย่างความมั่นคงเรื่องอาหารเลยแหละ อีกอย่าง เราก็ไม่ได้ใช้เงินเป็นที่ตั้งมาตั้งนานแล้ว ไม่อย่างนั้นคงไม่เลิกทำอินทีเรียเพราะได้เงินแน่นอนกว่า จึงคิดว่า โอเค ทำสวนจริงจังไปเลยแล้วกัน
.
ได้เวลากลับสู่ราก!
.
ด้วยความที่ผมเป็นคนเมื๊องคนเมือง ไม่มีพื้นฐานการทำเกษตรเลย ตอนเริ่มต้นจึงยากมาก แต่ก็เป็นตอนที่สนุกที่สุด ผมเริ่มจากวางเลย์เอ้าต์เองว่าเรามีต้นทุนอะไร มีที่อยู่ 1 ไร่ทำอะไรได้บ้าง โดยน้อมนำโครงการเกษตรยั่งยืนของในหลวงรัชกาลที่ 9 มาเป็นตัวอย่าง แล้วนำมาปรับใช้ในแบบของตัวเองอีกที แรกๆ ผมศึกษาเอาเอง หรือไปอบรมบ้าง ซึ่งก็ใช้เวลาเป็นปีกว่าจะเป็นรูปเป็นร่าง อธิบายง่ายๆ คือ เริ่มจากวางแปลน 3 อย่างแรกก่อน หนึ่งคือเอาคอกวัวหรือคอกไก่ไว้ใกล้คอกปุ๋ย หมายความว่าเราจะได้ปุ๋ยมาจากมูลสัตว์นี่แหละ ต่อมาคือปลูกพืชผักสวนครัวไว้รอบๆ บ้าน เพราะเก็บง่าย ดูแลง่าย สุดท้ายพวกไม้ยืนต้นก็ปลูกห่างตัวบ้านหน่อยได้ เพราะไม่ต้องดูแลอะไรมาก
.
.
ที่ๆ ทฤษฎีไม่ใช่แค่ทฤษฎี
.
ผมทำเกษตรแบบผสมสาน หมายความว่าการทำหมดทุกอย่างภายในพื้นที่ 1 ไร่ครึ่ง อยากกินไข่ก็เลี้ยงไก่ อยากกินผักอะไรก็ปลูก เริ่มปลูกไปทีละโซนโดยดูจากพืชที่ต้องใช้เวลามากหน่อยกว่าจะโต เช่น กล้วย ชะอม แล้วก็เริ่มเลี้ยงไก่ เริ่มปลูกต้นไม้ใหญ่ อะไรแบบนั้น ต่างจากการทำเกษตรเชิงเดี่ยวที่ปลูกพืชอย่างเดียว เช่น คะน้า 10 ไร่ แล้วพอตายก็ตายหมดทั้งไร่
.
.
ธรรม-มะ-ชาติ เป็น เรื่อง ธรรม-มะ-ดา
.
อุปสรรคเยอะครับ แต่มันอยู่ที่มองยังไงมากกว่า ฟังดูหล่อมากกก (หัวเราะ) 3 ปีแรกผมทำเองคนเดียวทุกอย่าง ที่ตรงนี้มีข้อจำกัดเยอะ ผมพบว่าดินเราแย่มาก เพราะเคยเป็นดินสนามบอลมาก่อน โชคดีว่าตอนนั้นไม่ได้ทำหญ้าเทียมหรือราดซีเมนต์ ถ้าอย่างนั้นคือจบ กว่าจะขุดหลุมมะนาวได้ ทำไมมันยากจังวะ กว่าจะโต กว่าจะออกสักลูก เจอโรคอะไรไม่รู้มากิน ลูกบิดๆ เบี้ยวๆ ดูไม่ได้ ผมทดลองทำนาตรงนี้อยู่ 2 ปี สู้กับมันจนไม่ไหวแล้ว
.
พอดีมีที่แถวหนองจอกอีกไร่หนึ่ง เลยลองไปทำตรงนั้นดูบ้าง ซึ่งปัญหามันก็เยอะมากอยู่ดี เพราะแถวนั้นเขาทำนากันอยู่แล้ว แต่เป็นนาเคมีหมด ซึ่งล้อมรอบนาอินทรีย์ของผมเลย มีปัญหาดินเปรี้ยวบ้าง รถไถพังบ้าง นกกินข้าวที่กำลังจะเกี่ยวหมดบ้าง น้ำท่วมอีก คือทำนา 5 ไร่ แต่ได้ผลไม่ถึงไร่ด้วยซ้ำ สุดท้ายได้ข้าวมา 14 กระสอบในปีที่แล้ว ผมนี่น้ำตาไหลเลย ซึ่งพอย้อนกลับมาดู มันก็เป็นบทเรียนของปีต่อๆ ไปว่าเราควรทำอะไร ไม่ควรทำอะไร
.
อีกอย่างการทำเกษตรแบบนี้มันไม่สามารถควบคุมผลผลิตได้ 100% ตอนแรกผมกะว่าจะปลูกผักขาย แต่ปรากฏว่าไม่สามารถปลูกได้เยอะขนาดนั้น สุดท้ายมาค้นพบว่าข้อดีของการปลูกเชิงผสมคือ โรคหรือแมลงที่มารุมกินพืชจะน้อยกว่าการปลูกเชิงเดี่ยว ซึ่งพอทำมาเรื่อยๆ ผมก็ได้เรียนรู้ว่าแมลงมีทั้งดีและไม่ดี แต่มันอยู่ร่วมกันได้ เดี๋ยวธรรมชาติเขาจะหาสมดุลของเขาเอง
.
.
อินทรีย์แค่ไหน แค่ไหนเรียกอินทรีย์
.
เราเองก็เป็นกลุ่มคนตัวเล็กๆ ที่รวมตัวกันในเฟซบุ๊ก ชื่อ Heart Core Organic เราเจอฟาร์มหมูเลี้ยงปล่อย กินสมุนไพรผสมอาหาร ไม่มีสารเร่ง ไม่ใช้ยาปฏิชีวนะ เจอฟาร์มปลาไม่มีฟอร์มาลีน แถมดูแลเรื่องสิ่งแวดล้อมชายฝั่งอีก เราไปหาฟาร์มไก่ เสนอให้เขาเลี้ยงแบบออร์แกนิกแทน แล้วกลุ่มเราจะพรีออร์เดอร์กันเอง ซึ่งจริงๆ ผมอยากบอกว่าคุณก็สามารถเอาเราเป็นโมเดล แล้วสร้างกลุ่มแบบนี้เองได้เหมือนกัน
.
หรือเพราะเป็นออร์แกนิกจึงฮิป และแพง?
.
มักจะมีคำถามว่าทำไมของออร์แกนิกถึงแพง วางเก๋ๆ ในฟาร์เมอร์มาร์เก็ต ผมว่าปัจจัยแรก คือการไม่เป็นคอมมิวนิตี้ของชุมชน ไม่ต้องถึงกับจังหวัดหรอก แค่อำเภอไม่ติดกันก็รวมตัวกันยากแล้ว พอเกษตรกรต่างคนต่างทำ ต่างคนต่างขาย ต่างคนต่างโลจิสติกส์ แยกกันทำการตลาด สมมติว่าแทนที่จะมีเครื่องสีข้าวชุมชนอันใหญ่สักอัน แต่นี่ต่างคนต่างซื้อเครื่องละ 5-6 หมื่นบาท ต้นทุนก็เลยมหาศาล อย่างชุมชนคลองโยงที่จังหวัดนครปฐม เขารวมกลุ่มกันทำนาอินทรีย์ มีโรงสีชุมชน อันนี้อยู่รอด ทั้งในแง่ขายได้ราคาด้วย และคนในชุมชนมีอาชีพ กลุ่มแม่บ้านมีงานทำ
.
ปัจจัยต่อมา เนื่องจากเป็นการเลี้ยงแบบอินทรีย์ สัตว์จึงไม่ได้กินยาปฏิชีวนะ โอกาสที่จะศูนย์เสียมันก็ต้องสูงเป็นธรรมดา และอาจไม่ได้ขนาดเท่าทั่วไป เพราะไม่ได้ฉีดฮอร์โมน ฉะนั้นคนที่มาซื้อจึงต้องยอมรับว่าไก่ที่ได้อาจตัวเล็กกว่าปกติ มีปริมาณจำกัด จะซื้อแยกชิ้นส่วนก็ไม่ได้อีก ต้องซื้อทั้งตัว เพราะต้องเผื่อคนอื่นมาซื้อด้วย มันคือการที่ผู้บริโภคจะได้เรียนรู้และเข้าใจธรรมชาติไปในตัว
.
ตอนนี้ที่ไร่ผมจัดตลาดนัดอินทรีย์กันเป็นประจำทุกเดือน เดือนละครั้ง ปรากฏว่ามีคนมาเยอะขึ้นเรื่อยๆ ผมมองว่าคนก็เปลี่ยนพฤติกรรมการบริโภคเหมือนกัน จากเดิมที่ออกไปตลาดทุกวัน ซื้อวัตถุดิบทุกวัน ตอนนี้เขาเปลี่ยนมาซื้อทีเดียวสามารถทำอาหารได้ทั้งเดือน อะไรแบบนั้น แล้วราคาที่เราขายก็ไม่ได้แพงเวอร์ แต่ที่ต้องแพงกว่าปกตินิดหนึ่ง เพราะอย่างที่บอกว่าการเลี้ยงไก่ร้อยตัว มันก็ไม่เท่าเลี้ยงไก่หมื่นตัวในโรงงานอยู่แล้ว เราพยายามทำให้ดีที่สุด ข้อดีคือผมได้รู้เยอะมากเรื่องความปลอดภัยในอาหาร ซึ่งเป็นเรื่องดี ตอนนี้เหมือนเป็นจังหวะเปลี่ยนผ่านที่คนเริ่มหันมาตระหนักกันมากขึ้น
.
.
เกษตรยั่งยืน = ชีวิตยั่งยืน ต้องปูพื้นให้แน่น!
.
ผมกำลังจะทำศูนย์เรียนรู้เด็กที่ไร่นี้ เป็นการปูพื้นให้แข็งแรงก่อน หรือบางครั้งก็จัดอบรมเรื่องอาหาร พูดให้บรรดาพ่อแม่ฟัง เรื่องแบบนี้มันต้องปลูกฝังกันทั้งครอบครัว เด็กจะเรียนรู้ว่าอาหารไม่ได้มาจากซูเปอร์มาร์เก็ตเสมอไป บางครั้งมีเงินก็ซื้อไม่ได้ แต่กว่าจะได้มามันต้องปลูก ต้องรอ ยาสีฟันที่เอ็งใช้ไม่ได้มาจากซูเปอร์ฯ แต่มาจากใบมิ้นต์ที่เอ็งปลูกนี่แหละเว้ย (หัวเราะ) อีกทางคือผมมักจะพูดเรื่องความพอเพียงให้นักศึกษาฟังเวลาไปบรรยายที่ไหน พยายามบอกเขาว่าวิถีพอเพียงมันสามารถเอาไปใช้ได้ในทุกอาชีพ ใช้ได้กับทุกคนเลยนะ ไม่ใช่แค่การเป็นเกษตรกร
ว่าแต่…จะเริ่มยังไงล่ะ?
.
มันมี 2 ประเด็น คือ ถ้าอยากทำกินเอง ก็สามารถเริ่มทำได้เลย อาจจะปลูกริมรั้วบ้านหรืออะไรก็ตามที่ใช้ที่ไม่มากก็ทำได้แล้ว แต่มักจะมีคนถามผมว่าถ้าอยากทำเป็นอาชีพ อยากลาออกจากงานประจำ ทำเป็นธุรกิจ รายได้มันอยู่ได้จริงเหรอ มันขายได้ไหม ซึ่งก็ต้องถามกลับว่า ใช้เงินเดือนละเท่าไรล่ะ บางคนตั้งเป้าไว้ว่าทำเกษตรต้องได้คืนทุนเดือนละ 25,000 ผมบอกแค่ตั้งเป็นตัวเลขแบบนี้ก็เครียดแล้ว มันเหมือนมีหนี้อยู่ 25,000 ถ้าไม่ได้ตามเป้าจะถือว่าเฟลไหม แล้วของจากธรรมชาติน่ะคุณ มันต้องเตรียมใจไว้แล้ว ข้าวเสียหาย ไก่ไข่ไม่ออก ฝนจะตก น้ำจะแล้ง แมลงอีก มันเหมือนเล่นหุ้น มีขึ้นมีลงทุกวัน
.
ลองเริ่มจากหาเวลาสัก 2 วันใน 1 สัปดาห์ ในที่สัก 100 ตารางวาก็ยังได้เลย ลงมือทำเป็นงานอดิเรกก่อน ดูว่าพอไหวไหม แล้วค่อยให้เวลากับมันมากขึ้น แต่ถ้าคุณคิดว่าการคืนทุนคือ การไม่ต้องขับรถออกจากบ้านไปทำงานทุกวัน ประหยัดค่ากาแฟเก๋ๆ แก้วละร้อย ค่าแต่งตัว ค่าบุฟเฟ่ต์ชาบู แต่อยู่บ้านมีผัก มีไข่ให้กินทุกวัน แค่ปรับวิถีชีวิต ลดรายจ่าย ไม่เป็นหนี้ สำหรับผม สุขภาพกายดี สุขภาพใจดี ได้เดินตามรอยพ่อหลวง แค่นี้ก็คืนทุนแล้วนะ
.
Life as you know it…
.
ส่วนเขาจะได้เจอกับอะไรที่ตามหาหรือไม่ ถึงตอนนี้ เราคงไม่ต้องถาม เพราะรอยยิ้มบนใบหน้าเปื้อนเหงื่อของเกษตรกรหนุ่มคงบอกเราได้ดีที่สุดแล้ว
.
↑ — ซอสเพรสโต้โหระพาและผักชีที่ใช้ผักจากไร่ที่นี่บ้าง ไร่ของเพื่อนบ้างสลับกัน และน้ำสลัดงาญี่ปุ่น
.
ผลผลิตจากใจในไร่ฮิปๆ
.
ผมยึดตามที่พ่อหลวงท่านบอกว่า ทำกิน แบ่งปัน เหลือค่อยแบ่งขาย วันหนึ่งมีคนให้ใบโหระพาอิตาลีมา ผมเลยเอามาแปรรูปเป็นซอสเพรสโต้กินเองบ้าง แจกเพื่อนบ้าง แล้วเพื่อนชอบ จนต้องทำเยอะขึ้นเรื่อยๆ เลยตัดสินใจทำขายด้วย แล้วในเพรสโต้มันก็มีเม็ดมะม่วงหิมพานต์พอดี วันหนึ่งปั่นซอสเพรสโต้แล้วเหลวเกินไป จึงได้เนยถั่วเม็ดมะม่วงฯ มาอีก ผมชอบทำกับข้าวเป็นทุนเดิมอยู่แล้วก็เลยสนุกมาก
.
• นอกจากนี้ ยังมีคาเฟ่เล็กๆ เสิร์ฟเมนูจากวัตถุดิบภายในไร่ และมีผลิตภัณฑ์จากพันธมิตรอินทรีย์จากที่ต่างๆ มารวมตัวกันอยู่ที่นี่ด้วย
RECOMMENDED CONTENT
“Smile” ซิงเกิ้ลล่าสุดจากวงดนตรีวงดนตรีที่ดีที่สุดของสห […]