“คุณมองอะไรๆ ไม่ชัด คุณก็ยังมีความสุข”
“เธอมองอะไรๆ ก็มืด เธอเองก็ยังมีความสุข”
“นี่คือรถตู้ที่ผมขับไปทั่วโลก คนจะเข้าไปด้านหลัง เหมือนบูธถ่ายรูป แล้ว 5 วินาที ภาพก็จะไหลออกมาข้างๆ ขนาดใหญ่เบ้ง”
“เธอเติมเต็มความปรารถนาสูงสุดของฉัน คือการได้พบเจอใบหน้าใหม่ๆ แล้วถ่ายเก็บไว้ เพื่อไม่ให้มันหล่นหายไปในช่องว่างแห่งความทรงจำ”
“แต่ละใบหน้าล้วนมีเรื่องราว”
“ใบหน้าคนเรางดงามนะ”
Documentary Club ภูมิใจเสนอ Faces Places ถ่ายภาพเธอไว้ ให้โลกจดจำ เจ้าของรางวัลภาพยนตร์สารคดียอดเยี่ยมประจำปี 2017 จากหลากหลายสถาบันนักวิจารณ์ ผลงานกำกับสุดเอิบอิ่มหัวใจของสองศิลปินต่างวัยที่มีผู้รักใคร่ติดตามผลงานทั่วโลก หนึ่งคือ Agnés Varda คนทำหนังวัย 89 อีกหนึ่งคือ JR ช่างภาพ–ศิลปินวัย 33 ปี
เขาและเธอไม่เพียงลุ่มหลงเสน่ห์ของ ‘ภาพ’ มาทั้งชีวิตเหมือนกัน แต่ยังมีวิธีคิด วิธีสร้าง วิธีแสดง และวิธีแบ่งปันมันแก่ผู้คนอื่นๆ คล้ายกันด้วย อานเญสสำรวจความหลงใหลผ่านการถ่ายภาพนิ่งและหนัง ส่วนเจอาร์คลุกคลีกับมันผ่านงานศิลปะภาพถ่ายจัดวางกลางแจ้งขนาดใหญ่ยักษ์
แล้วอะไรจะเกิดขึ้น? เมื่อทั้งคู่ตัดสินใจออกเดินทางสร้างงานศิลปะด้วยกัน ซึ่งอาจเป็นทั้งครั้งแรกและครั้งสุดท้ายบนความรักที่มีต่อเพื่อนมนุษย์ และต่อโลกที่คละเคล้าด้วยความสุขและความเศร้าใบนี้
แต่ก่อนจะไปดูหนัง เราไปพูดคุยถึงเรื่องราวของภาพยนตร์สารคดีเรื่องนี้ กับอานเญส วาร์ดา และเจอาร์ กัน (จากบทสัมภาษณ์โดย โอลีเวียร์ เปร์ ผู้อำนวยการแผนกภาพยนตร์ของ ARTE FRANCE)
—————
หนังเรื่องนี้เกิดขึ้นได้อย่างไร ทำไมคุณสองคนถึงอยากมาทำหนังด้วยกัน
เจอาร์ : เล่าตั้งแต่เริ่มเลยนะ
อานเญส วาร์ดา : โรซาลีลูกสาวฉันเป็นคนคิดว่าน่าจะดีถ้าเราได้มาเจอกัน ซึ่งเราก็คิดว่าดีเหมือนกัน
เจอาร์ : ผมเป็นฝ่ายรุกก่อน ผมไปหาอานเญสที่บ้านของเธอตรงถนนดาแกร์ ถ่ายภาพหน้าบ้านอันเป็นตำนานของเธอ เธออยู่บ้านนี้มาร้อยปีแล้ว แล้วก็ถ่ายภาพเธอกับแมวด้วย
วาร์ดา : นั่นมันยายเธอแล้ว ร้อยปีน่ะ ไม่ใช่ฉัน ฉันยังไม่ร้อย! พอวันถัดมาฉันก็ไปเยี่ยมเขาที่สตูดิโอบ้าง ฉันถ่ายภาพเขาและรู้เลยว่าหมอนี่เป็นประเภทไม่ยอมถอดแว่นดำง่ายๆ แน่
เจอาร์ : แล้วเราก็นัดเจอกันวันต่อมา และดื่มน้ำชากันวันต่อมาอีก
วาร์ดา : เรารู้สึกทันทีเลยว่าสมควรหาอะไรทำด้วยกัน
เจอาร์ : ตอนแรกคุยกันว่าอาจจะเป็นหนังสั้น…
วาร์ดา : …แล้วก็สารคดี เพราะเราเริ่มเห็นชัดขึ้นว่าสิ่งที่เธอชอบคือแปะภาพถ่ายคนขนาดใหญ่ๆ ขึ้นกำแพง เป็นการสร้างพลังอำนาจให้แก่พวกเขาด้วยขนาดของมัน ส่วนฉันก็ชอบรับฟังพวกเขาและจับจ้องสิ่งที่พวกเขาพูด ความชอบของเราแบบนี้น่าจะนำไปสู่งานอะไรสักอย่างได้
เจอาร์ : และเราก็อยากออกเดินทางด้วยกันด้วย ทั้งอานเญสและผมไม่เคยกำกับหนังร่วมกับใครมาก่อนเลย
—————
ทำไมถึงเลือกเล่าเรื่องของผู้คนในชนบทฝรั่งเศสเป็นหลัก
เจอาร์ : อานเญสอยากให้ผมออกนอกเมืองบ้างครับ
วาร์ดา : ใช่ เพราะเธอนี่เป็นศิลปินในเมืองขนานแท้เลย และอีกเหตุผลคือฉันเองก็ชอบชนบท เราชอบไอเดียเรื่องการไปเยือนผู้คนตามหมู่บ้านชนบท เราได้พบคนมากมายในที่เหล่านั้นด้วยการเดินทางไปในรถตู้ถ่ายรูปสุดเจ๋งของเธอ รถตู้คันนี้เป็นนักแสดงเอกของหนังเพราะปรากฏตัวตลอดเวลา
เจอาร์ : ผมใช้รถคันนั้นมาหลายปีแล้ว ในหลายโครงการเลย
วาร์ดา : จริงจ้ะ แต่คราวนี้เป็นโครงการของเรา เราไปด้วยกัน เราขับมันไปตามชนบทฝรั่งเศสที่นั่นที่นี่ สนุกมากๆ
มีการวางแผนการเดินทางไหม ถ้าไม่มีแล้วคิดโครงสร้างของหนังที่อิงอยู่บนความบังเอิญแทบทั้งเรื่องได้อย่างไร แล้วแต่ว่าจะเจออะไรก็ด้นไปเรื่อยๆ อย่างงั้นหรือ
วาร์ดา : บางครั้งเราคนใดคนหนึ่งก็เป็นฝ่ายรู้จักชาวบ้านบางคนในบางหมู่บ้าน หรือบางครั้งก็มีเป้าหมายจำเพาะเจาะจงอยู่ในใจ แล้วเราก็ลองเดินทางไปดูว่าจะทำอะไรได้ไหม มันก็เหมือนหนังสารคดีทั้งหลาย-ซึ่งฉันเองก็เคยทำมาหลายเรื่อง –ที่เริ่มต้นจากการมีไอเดียอยู่ แต่แล้วโอกาสและเหตุบังเอิญก็จะเข้ามามีบทบาทกำหนดว่าเราจะได้เจอใคร เราอาจเจอคนมากมาย จนสักพักสิ่งต่างๆ ก็จะเริ่มขมวดเข้าด้วยกันและในที่สุดหนังก็จะโฟกัสไปที่คนใดคนหนึ่งหรือสถานที่แห่งใดแห่งหนึ่งจนได้ แต่แน่ล่ะว่า หลักๆ คือเราต้องเปิดรับโอกาสใหม่ๆ ตลอดเวลา เราถือว่ามันคือผู้ช่วยคนสำคัญเลยล่ะ
เจอาร์ : แล้วเราก็มองหาเรื่องราวของชีวิตที่น่าสนใจด้วยครับ เพราะเรายังต้องการเล่าเรื่องของคนที่บังเอิญไปเจอนั่นด้วย นอกจากนั้น เราสองคนก็ยังได้ทำความรู้จักกันมากขึ้นผ่านการเดินทางของหนังเรื่องนี้ ผมได้เรียนรู้และเข้าใจอานเญสขึ้นอีกนิด ได้รู้ว่าเธอมองสิ่งต่างๆ อย่างไร เธอเห็นอะไร ขณะที่เธอเองก็พยายามทำความเข้าใจกระบวนการทำงานศิลปะของผมเช่นกัน เราคุยกันและช่วยกันคิดนั่นนี่หลายอย่าง จนกระทั่งเริ่มมองเห็นหนังเรื่องนี้เป็นรูปเป็นร่างขึ้นมา
อานเญส : ตอนนั้นแหละที่โรซาลีก้าวเข้ามาโปรดิวซ์ให้
เจอาร์ : คุณเป็นคนพูดว่า “เราทำมันให้เป็นหนังกันเหอะ”
—————
หนังเรื่องนี้เป็นการเดินทางทั่วฝรั่งเศส แต่ขณะเดียวกันก็เป็นการเดินทางผ่านความทรงจำ ทั้งความทรงจำส่วนตัวและความทรงจำร่วมของคนใช้แรงงาน ชาวนา และชาวบ้าน
เจอาร์ : ไม่ว่าเราจะไปเยือนที่ไหน เราจะรู้ได้แทบทันทีว่าเราจะสามารถเชื่อมสายสัมพันธ์กับที่นั่นได้หรือเปล่า
อานเญส : อย่างหนึ่งของเธอที่ฉันชอบมาก คือเธอทำงานเร็วจริงๆ เจอใครปุ๊บ เธอจะจินตนาการได้ทันทีเลยว่าจะทำอะไรกับเขาได้บ้าง เช่น บุรุษไปรษณีย์ที่บอนนีเยอซึ่งฉันเคยรู้จักและก็อยากให้เธอได้เจอเพราะฉันชอบบุรุษไปรษณีย์ ฉันชอบจดหมายกับแสตมป์ เธอเอาภาพเขาไปเผยแพร่บนเว็บไซต์และมีคนไลค์ถึง 20,000 คน ซึ่งทำให้เธอตัดสินใจได้ว่าจะขยายรูปเขาให้เป็นรูปใหญ่ยักษ์ในฐานะฮีโร่ประจำหมู่บ้าน
เจอาร์ : สูงเท่าตึกสามชั้นเลยล่ะ
อานเญส : เขาภูมิใจสุดๆ ไปเลย แล้วจากหมู่บ้านนั้นเราก็ขับไปอัลป์–เดอ–โอต์–โพรวองซ์
เจอาร์ : ซึ่งมีคนที่นั่นเล่าให้ฟังเรื่องโรงงานใกล้ๆ ชาโต อาร์นู
อานเญส : ฉันรู้จักผู้จัดการโรงหนังท้องถิ่นชื่อจิมมี่ ฉันเคยเอาหนังเรื่อง Vagabond ไปฉาย เขาเป็นคนพาเราไปดูโรงงานที่ว่านั่น
เจอาร์ : เหมือนมันจะอันตรายนิดๆ น่ะ พอเราได้ยินแล้วอยากเห็นเลยไปดูกัน และพอเจอคนงานก็เกิดไอเดียทำภาพขึ้นมา
อานเญส : โรงงานอุตสาหกรรมมันสวยจริงๆ และคนที่ทำงานที่นั่นก็จิตใจดีงาม
เจอาร์ : พวกเขาร่วมมือกับเราอย่างดีเลยตอนถ่ายรูปหมู่ ที่อื่นๆ บางแห่งที่ผมเป็นคนพาคุณไปก็กลายเป็นว่าคุณเคยไปมาก่อนแล้ว อันที่จริงที่ผมนึกถึงมันก็อาจเพราะผมได้แรงบันดาลใจมาจากภาพที่คุณถ่ายตามสถานที่เหล่านั้นสมัยก่อนนั่นแหละ
อานเญส : หลายๆ ภาพที่เธอเอาไปแปะก็เป็นภาพของฉันนี่
เจอาร์ : จริง
อานเญส : อย่างเช่นภาพแพะมีเขา ฉันถ่ายไว้ตอนออกไปหาโลเคชั่นทำหนัง
เจอาร์ : เราไปขลุกอยู่กับแพทริเซียหลายวัน เธอเป็นผู้หญิงที่เลี้ยงแพะโดยไม่บั่นเขามันทิ้งตั้งแต่แรกเกิดเหมือนคนอื่นๆ น่ะครับ
อานเญส : หลายๆ คนแสดงความรู้สึกแรงกล้ามากเวลาพูดถึงงานที่ทำ ผู้หญิงคนนี้มีอุดมการณ์ชัดเจนเรื่องแพะกับเขาของมัน ความเชื่ออันแรงกล้าของเธอเป็นอะไรที่น่าประทับใจ
เจอาร์ : ทางเหนือนี่เช่นกันครับที่เราได้ยินเรื่องทรงพลังหลายเรื่อง
อานเญส : เช่นเรื่องเหมืองซึ่งทุกวันนี้ไม่เหลือแล้ว แต่เราเจอผู้หญิงคนหนึ่งชื่อเจนีน ซึ่งเป็นคนสุดท้ายที่ยังอาศัยอยู่ในเรือนแถวของคนงานเหมือง เธอเล่าเรื่องพ่อที่ทำงานเหมือง และ เรื่องอดีตคนงานอื่นๆ ซึ่งมีความทรงจำดีๆ มากมายร่วมกันเกี่ยวกับโลกใบที่เราแทบไม่เคยรู้จัก มันน่าสนใจมากเลยนะที่ได้ฟังพวกเขาเล่าเรื่องเหล่านี้ด้วยความรู้สึกท่วมท้นจริงๆ เราซึ้งใจกับเรื่องของเจนีนมาก
เจอาร์ : เวลาคุณสัมภาษณ์คน คุณจะลงลึกและดื่มด่ำมาก ผมมีความสุขจริงๆ เวลาฟังคุณสนทนากับคนนั้นคนนี้
อานเญส : เธอเองก็คุยกับผู้คนเยอะนี่จ๊ะ
เจอาร์ : ใช่ครับ ตอนทำงานศิลปะของตัวเอง ผมก็ชอบทำแบบนี้ เหมือนที่ผมเห็นคุณทำในหนังของคุณบ่อยๆ นั่นแหละ คุณมีวิธีเข้าหาผู้คนที่พิเศษมาก ทั้งอ่อนโยนและลึกซึ้ง แล้วก็มีความเป็นเฟมินิสต์ด้วยนะ
อานเญส : แน่สิ ก็ฉันเป็นเฟมินิสต์นี่!
ผู้หญิงมีตัวตนแจ่มชัดมากในหนัง คุณเห็นความสำคัญของพวกเธอทั้งในโลกการเกษตรและในหมู่ผู้ใช้แรงงาน
อานเญส : ใช่ค่ะ เจอาร์กับฉันเห็นพ้องกันว่าเรื่องนี้สำคัญ และเราควรเปิดโอกาสให้พวกเธอได้พูด
เจอาร์ : นั่นเป็นไอเดียของอานเญสครับ ตอนที่ผมเอาภาพคนทำงานท่าเรือในอ่าวเลออาฟวร์ไปให้ดู เธอบอกว่า “แล้วพวกผู้หญิงอยู่ไหนหมด” ผมเลยโทรไปถามคนงานว่า “ชวนภรรยาของพวกคุณมาที่ท่าเรือนี้ได้มั้ย” พวกเขาตอบว่า “พวกเธอไม่เคยมาเลยนะ แต่นี่อาจเป็นโอกาสเหมาะแล้วก็ได้” บ้าจริงๆ เลยที่พวกเธอเพิ่งมีโอกาสมาเหยียบท่าเรือก็เพราะหนังเรื่องนี้
อานเญส : แล้วเราก็ได้ผู้หญิงน่าสนใจสามคนที่มีเรื่องสำคัญจะพูดมาอยู่ในหนัง ดีมากๆ ฉันดีใจที่ได้เห็นพวกเธอได้รับความสนใจ หนึ่งในนั้นพูดว่า “อย่างน้อยก็สักครั้งนึง (ที่เราได้มีโอกาสเป็นที่สนใจ)” คนงานที่ท่าเรือช่วยเราด้วยการเอาตู้คอนเทนเนอร์มาเรียงให้ตามที่เราขอ เราใช้มันเป็นเหมือนเลโก้ที่ประกอบกันเข้าเป็นตึกสูงใหญ่ คุณต้องไปดูเองในหนังน่ะนะ เล่าไปก็ไม่เห็นภาพ ตื่นเต้นสุดๆ !
เจอาร์ : เราควรบอกด้วยว่า คนงานท่าเรือเหล่านี้กำลังอยู่ในช่วงการประท้วงหยุดงานครั้งใหญ่ที่สุดของเขาอยู่พอดี ผมจึงทึ่งมากเลยที่พวกเขายังให้เกียรติงานศิลปะถึงขนาดนี้ แม้ว่าสภาพแวดล้อมจะไม่เอื้อเลยก็ตาม
อานเญส : เพราะแนวคิดของเราคือ งานศิลปะมีไว้เพื่อทุกคน เหล่าคนงานยินดีช่วยเราเพราะพวกเขาอยากมีส่วนร่วมในโครงการศิลปะนี้
เจอาร์ : คนงานคนหนึ่งพูดว่า “ศิลปะมีไว้เพื่อทำให้เราประหลาดใจนี่นะ! ” เราไปขัดจังหวะชีวิตเขา แต่พวกเขากลับอ้าแขนรับเรา มีเหตุการณ์ซับซ้อนเคร่งเครียดมากมายกำลังเกิดขึ้นทั้งในฝรั่งเศสและทั่วโลก ส่วนเราก็มุ่งมั่นอยู่กับงานของเรา และผู้คนที่เราได้พบก็ยังเข้าใจเราเป็นอย่างดี
อานเญส : เราเป็นโครงการเล็กๆ น่ารักในท่ามกลางความสับสนวุ่นวายที่กำลังขยายตัวไปทั่ว
—————
ว่าตามจริง หนังของคุณก็ช่วยบรรเทาความว้าวุ่นนั่นนะ
อานเญส : พวกเขาชอบที่เราไปด้วยอารมณ์ด้านบวก และก็ชอบพวกมุขที่เธอแซวฉันด้วย เราตั้งใจว่าจะทำงานนี้แบบเป็นตัวของตัวเองและก็เชื้อเชิญพวกเขาเข้ามาร่วม
พวกคุณสร้างความสัมพันธ์ที่ทรงพลังมากกับผู้คนที่ไปเจอ และก็ยังให้เกียรติรำลึกถึงคนที่ตายไปแล้วหลายๆ คนในระหว่างที่คุณเดินทางไปด้วย เช่น นาตาลี ซาร์โรต, กีย์ โบแด็ง, การ์ตีเยร์–แบรซง
อานเญส : ใช่ค่ะ ฉันเคยรู้จักพวกเขา การรำลึกถึงพวกเขาจึงหมายถึงการนำพาพวกเขากลับมาสู่ปัจจุบัน ฉันผ่านบ้านของนาตาลี ซาร์โรตโดยบังเอิญซึ่งทำให้ฉันมีความสุข แต่จริงๆ แล้วคนที่เราสนใจมากกว่าคือชาวนาท้องถิ่นที่บ้านอยู่เลยไปอีก เขาทำนาขนาด 2,000 เอเคอร์คนเดียวเลยล่ะ
เจอาร์ : อีกที่หนึ่งที่เราไปถ่ายกันก็คือหมู่บ้านร้าง ที่นั่นมีอดีตของมัน ส่วนเรามีรถตู้ถ่ายรูปของเรา เราไปจัดปาร์ตี้กับชาวบ้านละแวกนั้น ชื่อที่นั่นตลกดีครับ คือ ‘พีรูพลาจ’ (ชายหาดเมืองพีรู)
อานเญส : แล้วคืนนั้นเราก็แปะภาพใบหน้าเป็นร้อยๆ หน้าขึ้นกำแพงบ้านร้าง และวันรุ่งขึ้นเราก็จากมา เราได้ยินข่าวหลังจากนั้นว่าหมู่บ้านนี้ถูกรื้อทิ้งไปหมดแล้ว ทุกสิ่งทุกอย่างกำลังเปลี่ยนแปลง
เจอาร์ : เราไม่ได้ทำงานที่จะอยู่ต่อเนื่องถาวร งานของเรามีช่วงเวลาเฉพาะของมัน
อานเญส : นั่นคือสิ่งที่ทำให้ฉันรักการทำหนังสารคดีด้วยเหมือนกัน เราไปใช้เวลาช่วงสั้นๆ กับผู้คน เป็นเพื่อนกับเขา แล้วก็ห่างหายกันไป แบบเดียวกับที่เธอเปิดเผยการมีอยู่ของพวกเขาด้วยภาพถ่ายขนาดใหญ่ยักษ์ซึ่งก็จะหล่นหายจากผนังไปในไม่ช้า เรารู้ว่าช่วงเวลาแบบนี้ช่างมหัศจรรย์ เป็นช่วงเวลาของการพบเจอผู้คน บันทึกมันไว้ แปะมันขึ้น ประกาศให้โลกเห็นมัน! ฉันชอบอะไรแบบนี้มากๆ เลย
เจอาร์ : ช่วงเวลาเหล่านั้นไม่ได้คงอยู่ชั่วนิรันดร์ แต่มันจะยังคงประทับใจตรึงอยู่ในใจเรา
คุณถ่ายทำหนังเรื่องนี้กันอย่างไรบ้าง
อานเญส : เราเดินทางกันครั้งละหนึ่งหรือสองทริปแล้วก็หยุดพัก เพราะฉันไม่ได้แข็งแรงขนาดจะไปยืนกลางแจ้งถ่ายหนังติดกันแปดสัปดาห์รวดไหวแล้ว เราถ่ายกันเดือนละสองถึงสี่วันเท่านั้นเอง
เจอาร์ : ผมว่าวิธีนี้ดีนะ เราได้มีเวลาในการคิด สะท้อน และมองให้ชัดว่าหนังจะมุ่งไปทางไหน เราเริ่มตัดต่อกัน เราคุยกันเป็นชั่วโมงๆ เพื่อคิดว่าจะทำยังไง ตัวผมค่อนข้างจะชอบวิธีอิมไพรไวส์ครับ แบบ “ลองเลยเหอะ ดูซิว่าจะเป็นยังไง” ส่วนอานเญสจะเป็นอีกแนว เธอจะชอบคิดถึงทั้งซีเควนซ์ (ลำดับภาพ) และช็อตนั่นนี่ ความต่างนี้ทำให้การกำกับร่วมของเรามีพลวัตน่าสนใจ
อานเญส : เรายังมีช่องว่างระหว่างวัยหลายรุ่นด้วย แต่เราก็ไม่ได้นึกถึงมันเลยระหว่างทำงาน ถึงเธอจะปีนบันไดเร็วกว่าฉันเยอะก็เถอะ! เราต่างก็เป็นนายแบบนางแบบให้กัน ฉันรู้สึกอย่างนั้นนะเพราะการที่เราถ่ายตอนเธอทำงาน ตอนเธอปีนนั่งร้าน ก็ทำให้เราได้ภาพตัวเธอและงานของเธอด้วย ส่วนเธอเองก็สนใจเกี่ยวกับตัวฉันเหมือนกัน โดยเฉพาะเรื่องสายตาที่กำลังเสื่อมของฉัน
เจอาร์ : จริงครับ เราพยายามแสดงให้เห็นว่าเกิดอะไรขึ้นกับสายตาของคุณ ผมอยากมองสิ่งต่างๆ แทนคุณเพราะคุณมองเห็นอะไรๆ ไม่ชัดแล้วโดยเฉพาะจากระยะไกล ผมถ่ายภาพตาคุณแบบใกล้มากๆ ไว้และโชว์ให้คนอื่นได้เห็นจากระยะไกลมากๆ …อ้อ แล้วยังมีภาพหัวแม่เท้าคุณด้วยนะ!
อานเญส : เออ ใช่ หัวแม่เท้าฉันด้วย ฉันละขำไอเดียเธอ เธอแซวฉันอยู่ได้ แต่เธอก็คิดค้นภาพที่แสดงถึงความสัมพันธ์ของเราอยู่ตลอดเวลาด้วยเหมือนกัน เราสองคนสนใจการสำรวจสถานที่และรูปทรงต่างๆ เหมือนกันเลย
เจอาร์ : ผมว่าทุกคนที่เราได้พบเจอจะสอนอะไรบางอย่าง แก่เราได้เสมอ และในทางกลับกันด้วย
อานเญส : เหมือนตอนที่เราเล่าให้ช่างยนต์ที่อู่ฟังเรื่องแพะโดนบั่นเขา แล้วเขาตอบว่า “โอ้โฮ แปลกจัง ความรู้ใหม่สำหรับผมเลยนะเนี่ย ผมขอเอาไปเล่าให้เพื่อนๆ ฟังนะ”
เจอาร์ : จากคนหนึ่งไปสู่อีกคนหนึ่ง จากไอเดียหนึ่งไปสู่อีกไอเดียหนึ่ง แบบนี้ล่ะที่หนัง ปะติดปะต่อตัวเองขึ้นมา
หนังเรื่องนี้เป็นการปะติดปะต่อจริงๆ โดยมีเจอาร์เป็นคนแปะภาพยักษ์ขึ้นกำแพงและอานเญสเป็นคนคอยประกอบความเป็นภาพยนตร์ ด้วยการเชื่อมร้อยที่มีความสอดคล้องพ้องจองกันและด้วยความน่าพิศวงทางภาพ
อานเญส : ฉันชอบแนวคิดที่ว่า กระบวนการตัดต่อก็คือการปะติดปะต่อและการเล่นกับคำ เล่นกับภาพ ต่อเนื่องกันไปโดยไม่จำเป็นต้องแบ่งเป็น ‘ตอน 1, ตอน 2’ บางครั้งฉันจะเห็นภาพการปะติดปะต่อนั้นเป็นเหมือนชุดคำที่คล้องจองกัน เช่น คำว่า visages, villages, collages, …
—————
คำว่า rivage (ชายหาด) ด้วย… ช่วยเล่าเรื่องบังเกอร์ที่หล่นอยู่บนบนชายหาดนั่นให้ฟังหน่อยสิครับ
เจอาร์ : ผมไปนอร์มังดีบ่อยเพื่อขี่มอเตอร์ไซค์เล่นบนชายหาด ก็เลยไปเจอป้อมของเยอรมันจากช่วงสงครามพังหล่นลงมาจากหน้าผา ปักโด่เด่อยู่กลางหาดเลย ผมเล่าเรื่องนี้ให้อานเญสฟังแต่เธอไม่ค่อยสนใจเท่าไหร่ จนวันหนึ่งผมก็พูดชื่อหมู่บ้านนั้นขึ้นมา คราวนี้เธอปิ๊งเลย เธอบอกว่า “เอ๊ะเดี๋ยว ฉันรู้จักแซ็งโตแบ็งเซอเมนี่นา ฉันเคยไปที่นั่นกับกีย์ โบแด็งตั้งแต่ยุค 50’s โน่น” ผมก็เลยพาเธอไปที่นั่น แล้วเธอก็พาผมไปบ้านกีย์ที่อยู่ใกล้ๆ เธอเอาภาพที่ถ่ายเขาตอนนั้นมาให้ดู จากนั้นเราก็ไปเดินเล่นบนหาดนี้ด้วยกันและพูดกันว่า “เราน่าจะพาเขากลับมาที่นี่อีกนะ” การแปะภาพคราวนี้โหดมากเพราะเราต้องเร่งทำให้เสร็จโดยเร็ว ป้อมที่ว่านี้ใหญ่ยักษ์ แถมน้ำทะเลก็กำลังขึ้นอีกต่างหาก
อานเญส : ฉันถ่ายภาพกีย์ โบแด็งนั่งเหยียดขาอยู่บนพื้น แต่เธอเป็นคนเสนอไอเดียให้ติดภาพเขาแบบเอียงขึ้นและเปลี่ยนบังเกอร์สมัยสงครามนั่นให้ดูคล้ายเปลกำลังกล่อมไกวกีย์หนุ่มน้อย ฉันซาบซึ้งตื่นเต้นสุดขีดเลยที่ได้เห็นว่าความหมายของภาพมันเปลี่ยนแปลงไปยังไง มันเกิดความหมายใหม่ในระยะสั้นๆ ก่อนที่กระแสน้ำจะพัดขึ้นมา …ซู่ววว! แล้วก็กวาดล้างทุกสิ่งทุกอย่างหายวับ
ประสบการณ์ของการที่ภาพพิเศษในตอนจบของหนังซึ่งอยู่ในลำดับภาพที่ก็พิเศษเหลือเกินนั้นประทับใจผมมากเลย ในฐานะที่มันเป็นภาพแทนของหนังเรื่องนี้ได้อย่างงดงาม มันแสดงถึงการก่อเกิดขึ้น การพัฒนาเติบโต และการสูญสลาย
เจอาร์ : หนังแสดงถึงความคิดนั้นแหละครับ พร้อมๆ ไปกับเรื่องราวความสัมพันธ์ของเราสองคนที่เติบโตขึ้นไปกับประสบการณ์นี้ สิ่งที่เกิดกับดวงตาของอานเญสเป็นสิ่งที่กระทบใจผมมาก มันกวนใจผมและมันก็กลายมาเป็นตัวละครหลักของหนังไปด้วย
อานเญส : พูดแบบนั้นก็อาจจะเว่อร์ไปนิดนึง แต่จริงนะที่ ‘ดวงตาและการมองเห็น’ เป็นสิ่งสำคัญในงานของเธอ เธอเห็นสิ่งต่างๆ กระจ่างชัด มันช่วยดวงตาที่หม่นมัวของฉันได้ ขณะเดียวกันก็ย้อนแย้งซะจริงที่เธอชอบปิดบังมันไว้หลังแว่นตาดำ เรามีอะไรๆ ให้อีกฝ่ายประหลาดใจอยู่เรื่อย และฉันหวังว่าผู้ชมของเราก็จะประหลาดใจกับเรื่องความสัมพันธ์ของเราและเรื่องราวส่วนตัวอันน่าทึ่งของผู้คนที่เรารวบรวมมาด้วย ฉันจะไม่มีวันลืมสิ่งที่พวกเขาเหล่านั้นพูดกับเราเลย
—————
ฉากจบของหนังก็เป็นอีกสิ่งที่ผมประหลาดใจ
อานเญส : เป็นเรื่องเซอร์ไพรส์ที่เราได้พานพบมา และเป็นเรื่องที่ฉันไม่ขอออกความเห็นดีกว่าค่ะ
เจอาร์ : ตอนขึ้นรถไฟ ผมไม่รู้เลยว่าอานเญสจะพาไปไหน มันเป็นเกมน่ะครับ แต่พอถึงจุดหนึ่งเมื่อเราหยุดเล่น ทุกสิ่งทุกอย่างก็กลายเป็นความจริงขึ้นมา กลายเป็นการผจญภัยจริงๆ แล้วพริบตาต่อมา เราก็ไปนั่งจ้องมองทะเลสาบเลอมองกัน
อานเญส : …น้ำใส บรรยากาศแสนสบายมาก และตรงนั้นล่ะที่เราตัดสินใจว่าหนังมาถึงตอนจบแล้ว
Faces Places ถ่ายภาพเธอไว้ให้โลกจดจำ
เริ่มฉายจริง 11 มกราคม 2561
ที่โรงภาพยนตร์ SF World Cinema
RECOMMENDED CONTENT
เรื่องราวต่อจาก ภาค3 Parabellum ด้วยราคาที่สูงขึ้นเรื่อยๆ ตำนานอย่าง John Wick จึงต้องต่อสู้กับ High Table กับเรื่องราวการต่อสู้ของวงการใต้ดิน ตั้งแต่นิวยอร์ก ปารีส ญี่ปุ่น ไปจนถึงเบอร์ลิน