fbpx

CONTACT US

DOODDOT VIDEOS

#VISIT — คุยกับตั๊กและเบ็น 2 ตัวแทนผู้ชนะ “LINE STICKERS AWARDS” ก่อนก้าวมาเป็นครีเอเตอร์มืออาชีพ
date : 5.มกราคม.2018 tag :

เมื่อกลางเดือนพฤศจิกายน 2017 ดู๊ดดอทของเราได้รับเชิญจาก Line Thailand ให้ร่วมทริป LINE Creators Sticker Contest Winner ‘Japan Trip’ “ ซึ่งเป็นกิจกรรมต่อเนื่องมาเป็นปีที่ 3 แล้ว

“Express your love via LINE” คือไอเดียหลักของการประกวดของปีนี้ สุดท้ายเราก็ได้ดาวดวงใหม่สำหรับวงการครีเอเตอร์ของเมืองไทย 10 ท่าน โดย สติกเกอร์ที่ชนะการประกวด ทั้ง 10 ชุด แบ่งเป็น 5 ชุด 2 สาขา

ระหว่างที่เราอยู่ที่ญี่ปุ่น ทาง Line ก็ได้พาพวกเราไปท่องเที่ยว ดูงาน เดินมิวเซียม รวมถึงได้พาพวกเราไปเยือน LINE Office ซึ่งทางทีมกระซิบบอกว่าที่นี่เข้ายากมากๆ การได้นั่งฟังแลกเปลี่ยนไอเดียระหว่างครีเอเตอร์ชาวไทยและญี่ปุ่นถือเป็นอะไรที่ตื่นเต้นมากๆ

หลังจากกลับมาทาง Line Thailand ได้ชวนพวกเราไปนั่งคุยกับ 2 ครีเอเตอร์ จาก 2 สาขา คนแรก สุรเกียรติ สุรธนานันต์ หรือ ตั๊ก ผู้ชนะจากสาขา Static (ภาพนิ่ง) กับ สติกเกอร์ “ไม่บอกหรอกว่ารัก” และอีกคนจากสาขา Animate (ภาพเคลื่อนไหว) นภวัฒน์ วัฒนสุข หรือ เบ็น เจ้าของสติกเกอร์ “If you have luv in your heart, Let it show เผยความรักในใจออกมาด้วยรอยยิ้มโดยพวกเรานั่งคุยกันที่เกษร ทาวเวอร์ ซึ่งเป็นที่ตั้งออฟฟิศใหม่ของ Line Thailand

สนใจอะไรในการประกวดครั้งนี้ ?

ตั๊ก : ส่วนตัวเป็นคนชอบหากิจกรรมประกวดครับ เป็นคนที่ทำสติกเกอร์ไลน์อยู่แล้วด้วย ปีนี้เป็นปีที่ 3 ที่ส่งประกวด แต่ 2 ปีก่อนหน้านี้ไม่ได้รางวัล เลยคิดว่าลองส่งอีกสักปี ไม่ได้คิดว่าจะชนะ แต่ว่าอยากมีส่วนร่วม อีกอย่างการประกวดครั้งนี้มันน่าสนใจสามารถต่อยอดอะไรบางอย่างของเราได้ คือส่วนตัวผมเวลาทำงานประกวดเหมือนได้ทดลองอะไรใหม่ๆ ไปด้วย

เบ็น : ส่วนผมตรงข้ามกับตั๊กหมดเลย ปกติผมไม่เคยวาดสติกเกอร์ไลน์เลย แล้วก่อนหน้านี้สติกเกอร์ที่ประกวดกันมันเป็นภาพนิ่ง ส่วนตัวไม่ค่อยสนใจเท่าไหร่เพราะถนัดอนิเมชั่นมากกว่า อีกอย่างงานผมยุ่งด้วยเลยไม่ได้ใส่ใจอะไรมาก แต่ก็พอรู้แหละว่าอนิเมชั่นกำลังมา เพราะสติกเกอร์ของ official ก็มาแล้ว รู้สึกว่าเดี๋ยวเขาคงมีให้เราประกวดแหละ

หลังจากนั้นก็ไปที่งาน LINE STICKERS AWARDS 2017 ที่เซ็นทรัลลาดพร้าว จริงๆ ตอนนั้นแค่จะไปแลกเปลี่ยนไอเดียจากพวกตัวเป้งๆ ที่เขาขายดีๆ เพราะงานมันมีหลากหลายมาก บางงานสวยมากแต่ขายไม่ดี บางงานไม่สวยแต่กลับขายดี อยากถามพวกพี่ๆ เค้าตรงนั้นแหละ แต่พอดีวันนั้นได้รู้ว่ามีงานประกวด เลยตัดสินใจประกวดในวันนั้นเลย

โจทย์ปีนี้คือบอกรักผ่านไลน์พวกคุณตีความยังไง ?

เบ็น : ผมตีความง่ายๆ เลยว่า อยากให้รู้ว่ารัก ก็แค่บอกไป ไม่มีอะไรซับซ้อน บอกรักก็คือบอกรักเลย ในการประกวดครั้งนี้เงื่อนไขการประกวดเขาให้ส่งไฟล์ที่ค่อนข้างจะใหญ่กว่าเวอร์ชั่นที่ทำขาย ก็จัดเต็มทุกเฟรมเลย ส่วนไอเดียคืออยากทำเป็นเหมือนช็อตโฆษณา อยากเล่นมุมกล้อง ยิงจากมุมนี้ไปมุมนี้ ให้มันมีความรู้สึกหวือหวา อย่างลูกบอลที่ยิงออกไปก็เหมือนการบอกรักที่เราอยากบอกไปตรงๆ ไม่ต้องอ้อมค้อม ตอนที่มันระเบิดก็เหมือนอยากบอกให้รู้ว่าเราจริงใจแค่ไหน เป็นที่มาของสติกเกอร์ “If you have luv in your heart, Let it show เผยความรักในใจออกมาด้วยรอยยิ้มนั่นเอง

ตั๊ก : ผมเห็นโจทย์แล้วคิดว่ามันค่อนข้างเรียบง่าย ด้วยความที่อยากส่งประกวดแล้ว อย่างน้อยๆ คนที่ส่งประกวดก็อยากชนะใช่ไหม ผมก็มาคิดว่าการจะตีโจทย์นี้ให้มันแปลกใหม่ ผมเดาว่า 90% ของคนที่ส่งมาคงเป็นการบอกรัก บอกคิดถึง โน่นนั่นนี่ ผมเลยคิดว่าจะลองหาทางไหนที่จะตีโจทย์อีกแบบนึง เพื่อให้มีความแปลก และยังคงคอนเซปต์ของเราเอง

ด้วยความที่เราเป็นพนักงานออฟฟิศเลยเอาไอเดียตรงนี้มาทำเป็นคาแรกเตอร์ของตัวเอง เอาเรื่องราวที่เราเจอในชีวิตประจำวันมากทำ อย่างบางวันเราเลิกงานแล้วไปกินข้าวกับเพื่อนที่ทำงาน แล้วที่บ้านโทรมาถามว่าวันนี้จะกลับมากินข้าวที่บ้านไหม? เหมือนกับเค้าก็เป็นห่วงเราว่าวันนี้มีข้าวกินหรือยัง จะกลับมากินข้าวไหม คือจุดประสงค์เค้ารักและเป็นห่วงเรา เหมือนกับเอาสถานการณ์มนุษย์เงินเดือนกับสถานการณ์บอกรักมาบวกกัน ก็เลยตีโจทย์ออกมาให้เป็นคำพูดที่ไม่ต้องมีคำว่ารักออกมา แต่ความหมายที่สื่อคือเขารักและเป็นห่วงเรา เลยเป็นที่มาของสติกเกอร์ ไม่บอกหรอกว่ารัก’ ”

ตอนทำคิดไหมว่ามันฮิตแน่ๆ หรือเป็นเราดีที่สุด ?

ตั๊ก : การทำสติกเกอร์เหมือนเป็นการโยนหินถามทาง เราไม่มีทางรู้หรอกว่ามันจะดังหรือไม่ดัง จะฮิตหรือไม่ฮิต เพราะฉะนั้นตอบได้เลยว่าไม่ได้คิดครับ แต่ว่าจริงๆ แล้วเราอยากทำให้มันสนุกก่อน ด้วยการวางคอนเซปต์ให้สื่อถึงเรื่องราว แล้วทำให้มันใช้งานง่าย ถ้ามันใช้งานง่าย คนเขาก็จะส่งต่อ บอกต่อ เดี๋ยวความฮิตมันก็น่าจะตามมาเอง เลยไม่ได้ตั้งความหวังหรอกว่ามันจะดัง ลงปุ๊บได้เงินเท่าไหร่ ไม่ได้คิดเลย

เบ็น : จริงๆ ตัวผมก็ทำงานมาเยอะ พอหลังๆ ก็เริ่มจับทางได้ว่างานศิลปะที่ดีมันต้องเริ่มจากตัวเองก่อน เพราะฉะนั้นตัวละครพวกนี้มันคือตัวละครที่ออกมาจากความรู้สึกเลย ผมวาดแก้เซ็งระหว่างทำงาน วาดก็วาดเลย ผมมีความสุขกับคาแรกเตอร์เหล่านี้ เลยสร้างเรื่องราวให้มันเต็มที่เหมือนเป็นลูกเรา แล้วคิดว่าคนอื่นก็น่าจะชอบด้วย มันเป็นเคมีเหมือนดนตรีที่ศิลปินทำงานดีๆ เราก็จะสัมผัสได้เลย

ตั๊ก : เห็นด้วยนะครับ เรื่องที่เหมือนเรามองคาแรกเตอร์เป็นลูกของเราอีกคน

เบ็น : ก็มันมาจากตัวเราจริงๆ

จำเป็นไหมที่ต้องมีคาแรกเตอร์ประจำเพียงตัวเดียว หรือเป็นอะไรก็ได้ตามความรู้สึก ?

ตั๊ก : ผมก็คิดมาหลายคาแรกเตอร์ หลายคอนเซปต์ คาแรกเตอร์มันก็ใช้เหมือนกันหมดไม่ได้ทุกเซ็ตหรอก แต่เราพยายามทำมันไปก่อน ซึ่งการทำเซ็ทต่อไปก็อาจจะดูจากการตอบรับจากคนใช้ ถ้านิยมมาก ก็อาจจะมีเซ็ต 2 , 3 ออกมา ที่คิดเอาไว้ก็คือจะลองใช้วิธีเปลี่ยนคาแรกเตอร์ ลองตลาดไปเรื่อยๆ ทดลองงานไปเรื่อยๆ เหมือนได้ทำอะไรใหม่ๆ ตลอด แล้วถ้าเราไปดูยอดขายจากอันอื่นๆ ถ้ามันขายดี เราค่อยทำเซ็ตต่อไป

เบ็น : อย่างผมเป็นคนขี้เบื่อ ก็จัดเต็ม 5 คาแรกเตอร์เลย ผมตั้งใจไว้แล้วว่าถ้าไม่ชนะประกวดครั้งนี้ ก็จะทำขายแน่นอน จริงๆ มีอีกเป็นสิบคาแรกเตอร์

มีเทรนด์ไหม ?

ตั๊ก : มีนะครับ เท่าที่สังเกตดู มันจะมีช่วงแรกที่เปิดวางขาย ช่วงนั้นก็จะเป็นรูปธรรมดาก่อนยังไม่ค่อยมีคำพูด แล้วหลังจากนั้นคำพูดง่ายๆ ก็เริ่มเข้ามา เช่นสวัสดี’ ‘คิดถึงนะ’ ‘ฝันดีนะ’ ‘กลับบ้านดีๆ นะคือเป็นคำพูดทั่วไป จนกระทั่งมีสติกเกอร์บางเซ็ตที่เริ่มใส่ไอเดียเข้ามา ทำให้ผู้ใช้เกิดการผสมคำเอง ทำให้สนุกมากขึ้นในการส่งต่อ ก็กลายเป็นการสร้างเทรนด์ใหม่ขึ้นมา แล้วหลังจากนั้นก็จะมีงานแปลกๆ โผล่มา อย่างภาพลายกระเบื้อง หรือบางอันมีตัวหนังสืออย่างเดียวแล้วมีขีดฆ่าทิ้ง คิดว่าตอนนี้ทุกคนน่าจะรู้จักกัน ซึ่งสติกเกอร์แบบนี้มีข้อดีอยู่ บางทีคือมันทำง่ายและใช้ง่าย เหมือนกับเอาคำพูดในช่วงนั้นๆ จับมาใช้ แล้วมันก็ส่งต่อได้ง่าย

เบ็น : ส่วนตัวไม่ได้สังเกตขนาดนั้น แต่คิดว่าเทรนด์มันหมายความว่า มีใครสักคนคิดอะไรขึ้นมาด้วยมุมมองที่แปลกใหม่ อย่างสติกเกอร์ที่เป็นคำแล้วมีขีดฆ่าทิ้ง แล้วพอมันดังขึ้นมา ก็จะมีคนที่ทำอะไรคล้ายๆ แต่เล่ากันคนละแบบ แต่มันไปทางเดียวกัน อย่างรุ่นน้องที่รู้จัก เค้าทำตัวหัวกลมก็จะมีคนทำตัวแบบนี้กันเยอะเลย จริงๆ “เทรนด์” มันน่าจะเกิดจากคนที่ทำแล้วดัง แล้วมันไม่เคยมีมุมมองนี้มาก่อน คิดว่านะ

ถ้าจะบอกว่าการทำสติกเกอร์ไลน์ เป็นอาชีพไปแล้วตอนนี้ คิดว่ายังไง?

เบ็น : คือผมดูรายได้ของน้องที่ออฟฟิศ แล้วมาคำนวณรายได้ของตัวเองแล้วที่หัวหน้าบอกผมว่าเงินมันชนเพดานแล้ว คือถ้าเหนื่อยอย่างนี้อีก 5 ปี (หมายถึงการทำสติกเกอร์) ก็อาจจะได้มากกว่าที่ผมทำงานประจำไปถึงอายุ 40-50 ปีก็ได้ ไม่รู้จะเรียกมันว่าอาชีพได้ไหม แต่ในแง่นึงมันเลี้ยงแม่ผมได้

ตั๊ก : ถ้าถามว่ามันเป็นอาชีพได้ไหม ผมว่าได้ จากการที่ไปทริปญี่ปุ่นร่วมกัน ไปเจอเพื่อนร่วมทริปหลายๆ คนก็รู้สึกว่ายอดขายแต่ละเดือนค่อนข้างสูง แค่ยอดขายเดือนเดียวสามารถใช้ได้ทั้งปีก็ยังได้ แต่ว่ามันไม่มีกฎอะไรตายตัวเลยว่ามันจะขายได้แค่ไหน สุดท้ายเหมือนกลับมาถามตัวเราเองว่า “เราทำงานสม่ำเสมอหรือเปล่า?” กะจะให้มันดังเปรี้ยงเลย แล้วอยู่กินกับมันเลยก็คงเป็นไปได้ยาก เพราะฉะนั้นอาจจะต้องดูเรื่องความต่อเนื่องในการส่ง ดูการเปลี่ยนแปลงในตลาด ซึ่งคิดว่ามันสามารถต่อยอดเป็นอาชีพได้ ถ้าเราสม่ำเสมอมากพอครับ เพราะรายได้มันคงไม่สูงตลอด

หมายความว่าเราต้องมีความเป็นมืออาชีพในส่วนของเราด้วย ?

เบ็น : ใช่ จริงๆ ตอนนี้วิธีคิดของผมก็ไม่ต่างจากงานประจำ แต่อิสระกว่า มันยากคนละแบบนะ แต่สนุกกว่า

ตั๊ก : ส่วนผมพยายามทำให้มันเป็นประจำครับ อย่างเวลากลับบ้านอาจจะใช้เวลาคิดสัก 10 ตัว คิดเป็นตัวหนังสือ คิดคร่าวๆ ไว้ก่อนว่าอยากได้ภาพประมาณไหน เหมือนเราพยายามให้การคิดงานสติกเกอร์เป็นส่วนหนึ่งของชีวิตประจำวันไปด้วย

ตอนที่รู้ว่าได้ไปญี่ปุ่น รู้สึกยังไงบ้าง?

เบ็น : ดีใจครับ แต่ว่าตอนนั้นทำงานอยู่เลยดีใจมากไม่ได้ แหกปากแห้งๆ วันนั้น 30 ตุลาคม เค้าบอกว่าจะประกาศผลสี่โมงเย็น แต่ว่าทางไลน์โทรมาบ่ายสองโมงครึ่งผมจำได้แม่น คือตอนแรกไม่รู้ คิดว่าต้องรอลุ้นในเว็บไซต์อย่างเดียว

ตั๊ก : ของผมนี่ก็ไม่ได้เตรียมตัวเหมือนกัน เพราะตอนนั้นก็ทำงานอยู่เลยไม่สนใจโทรศัพท์ ลืมไปเหมือนกันว่าจะประกาศวันนี้ สุดท้ายพอโทรมา ผมบอกเลยว่าดีใจมากๆ ดีใจที่ได้ไปร่วมทริปนี้

ได้เข้าออฟฟิศไลน์ที่ญี่ปุ่น รู้สึกยังไงบ้าง เพราะปกติเค้าให้เข้ายากมาก ?

ตั๊ก : รู้สึกเหมือนอยู่ TCDC เลย เพราะมันเหมือนไม่ใช่ที่ทำงาน มันเหมือน Co-Working Space สักที่นึง ที่สามารถมานั่งแชร์ไอเดียตรงไหนก็ได้ บรรยากาศมีเสียงเพลงเปิดคลอเบาๆ มีโต๊ะพลูให้เล่น มีเคาน์เตอร์บาร์ มีความผ่อนคลาย จะหยิบงานไปนั่งตรงไหนก็ได้ รู้สึกว่าเป็นออฟฟิศที่น่าอยู่ อีกอย่างชอบกิมมิคที่เค้าใส่ อย่างในห้องประชุมที่มีตัวคาแรกเตอร์ไลน์ อย่างบอสมานั่งอยู่หัวโต๊ะ คือคนญี่ปุ่นเวลาเค้าทำงานเขาจริงจังใช่ไหมครับ แต่ที่นี่กลับมีมุมน่ารักๆ อย่างการเอาคาแรกเตอร์บอสในไลน์มาจัดวางอยู่หัวโต๊ะด้านหนึ่งของโต๊ะทำงานพนังงานทุกคน จึงเป็นอีกหนึ่งดิสเพลย์ที่ดูแล้วเป็นอะไรที่สนุกดีครับ ส่วนมุมอื่นๆ ก็จะมีไอเดียต่างกันออกไป ผมอยากไปทำงานที่นั่นเลย 😀

เบ็น : ของผมถ้าในส่วนนี้ก็คล้ายๆ กับตั๊ก แต่ถ้าเอาจากข้างใน ชั่วโมงแรกๆ ผมก็ฟังเอาบรรยากาศ เหมือนใจมันเต้นตลอดเวลา มันตื่นเต้น ตื้นตัน มีบางจังหวะที่น้ำตาคลอ คือเรื่องที่ว่ามันจะขายได้หรือไม่ได้ อันนี้ไม่ได้ซีเรียสเลย แต่บรรยากาศตรงนั้นมันหาไม่ได้จริงๆ รู้สึกว่า…แมร่งโคตรดี!

เป็นยังไงบ้างหลังจากได้นั่งฟัง พูดคุยกับครีเอเตอร์ชาวญี่ปุ่น ?

เบ็น : เหมือนได้เข้าห้องกาลเวลา เหมือนดราก้อนบอลที่เข้าไปฝึกวิทยายุทธ คือมันได้พลังแบบนั้นมา ทั้งมุมมองและได้เห็นการทำงานอย่างต่อเนื่องของครีเอเตอร์ญี่ปุ่น

ตั๊ก : ได้แลกเปลี่ยนข้อมูล วิธีการทำ ขั้นตอน ระยะเวลา หรือไอเดีย อย่างคำถามที่ผมถามไปว่า ทางฝั่งญี่ปุ่นอันที่ขายดีส่วนใหญ่จะมีคำพูดหรือเปล่า เค้าก็บอกว่าอันที่ขายได้ส่วนใหญ่จะมีตัวหนังสือประกอบ แล้วก็เน้นใช้งานง่ายๆ แล้วระยะเวลาที่ทำงานก็คล้ายๆ ของเราคือหนึ่งเดือนสองเดือนประมาณนี้ครับ ก็เหมือนได้แลกเปลี่ยนขั้นตอนการทำงานและไอเดียครับ

เบ็น : ผมคุยกับครีเอเตอร์สาว 2 คน แต่เค้าเป็นทีมเดียวกัน ตอนนั้นเค้าดูงานของผมมากกว่า เค้าถามผมว่าทำคนเดียวหรือเปล่า เพราะมันดูเหมือนใช้พลังเยอะมากต่อหนึ่งชิ้น ผมก็บอกว่าใช่ เค้าก็ชม 😀 แล้วก็ให้ดูพวกคาแรกเตอร์ เหมือนเขาชอบการออกแบบคาแรกเตอร์ของเรา ส่วนตัวผมที่ทำอันนี้ก็ตั้งใจอยู่แล้วว่าอยากให้คนชาติไหนดูก็ได้ อยากให้มันสากลที่สุด โดยที่คนไทยก็ยังชอบได้ด้วยนะ คือไม่อยากทำอันที่มันมีแต่ตัวหนังสือแล้วตัวละครมันไม่เด่น คืออยากให้มันไปได้หมดเลย

ในทริปครั้งนี้ ทาง Line Thailand ได้พาพวกเราไปชม Chibi Maruko-chan Land ,Tokyo One Piece Tower และนิทรรศการ The Doraemon Exhibition Tokyo 2017 เป็นอย่างไรบ้าง ชอบกันไหม?

เบ็น : ได้เห็นความยิ่งใหญ่ของโดเรม่อน คือส่วนตัวผมไม่รู้หรอกว่าศิลปินที่มาทริบิวท์มีใครบ้าง คืองานหลากหลายมาก มีทั้งเซอร์เรียล ทั้งวิดีโอ ทั้งอินสตอลเลชั่น ส่วนตัวคิดว่าโดเรม่อนมันเป็นมรดกโลกไปแล้ว ทุกคนรู้จัก ทำให้รู้เลยว่าการสร้างสรรค์ของคนคนนึง มันสามารถเปลี่ยนโลกได้

ตั๊ก : วันนั้นผมอยู่นานหน่อย เพราะค่อยๆ ดูงานแต่ละชิ้น ดูป้ายแต่ละป้ายว่าเค้าตีความยังไง สื่อยังไง อ่านเสร็จก็กลับไปดูอีกรอบ คือพอเราอยู่ตรงนั้นก็รู้สึกว่าลืมเวลาไปเลย ซึ่งงานมันมีหลากหลายมาก งานแต่ละชิ้นเหมือนศิลปินเลือกซีนที่ชอบออกมาทำ มีชิ้นนึงที่เล่นกับแสงในห้อง เป็นเหมือนห้องกาลเวลาเลย ผมพยายามซึมซับตรงนั้นให้มากที่สุด เผื่อเอามาปรับใช้กับงานเราได้ ส่วนมารูโกะคิดว่าได้เรียนรู้เกี่ยวกับคาแรกเตอร์ เพราะคาแรกเตอร์ก็ดูธรรมดาแบบมากๆ ไม่ว่าจะเป็น พ่อ แม่ พี่ น้อง คือเขาตัดทอนรายละเอียดจนมันเรียบง่ายมากๆ แต่ว่าคาแรกเตอร์ของเขาติดตา

เบ็น : ผมขอเสริมเรื่องมารูโกะนิดนึง ตอนเรียนวิชาคาแรกเตอร์ดีไซน์ อาจารย์บอกว่าจริงๆ คนวาดมารูโกะเป็นคนวาดอนิเมะตาหวานมาก่อน แล้วมาถึงจุดนึงเขาเปลี่ยนมาเป็นแบบนี้เลย คือผมรู้สึกว่าการที่คนคนนึงวาดอะไรจนมันเป็นสไตล์ไปแล้ว แต่เขากล้าทิ้งมันจนเหลือแค่ความเรียบง่ายแบบที่ตั๊กบอก มันน่าศึกษานะ เพราะจากงานตาหวานๆ จนเหลือแค่ตาเม็ดก๋วยจี๊ จริงๆ มันก็มีพลังของมัน

ตั๊ก : ส่วนวันพีชก็ชัดมากๆ ครับ เป็นการ์ตูนที่มีคาแรกเตอร์ชัดมากๆ อยู่แล้ว เหมือนได้เข้าไปดู ไปเห็นบรรยากาศของเค้ามากกว่า ทั้งแสง สี เสียง มีเกมให้เล่น รู้สึกว่ารายละเอียดเยอะมากๆ ส่วนลายเส้นของอาจารย์โอดะผมอึ้งมากๆ ส่วนตัวผมเป็นคนชอบดูภาพร่าง ภาพต้นฉบับของการ์ตูนไม่ว่าจะเรื่องไหนก็ตาม พอดูเหมือนเราได้เห็นการทำงานของเค้าผ่านแค่กระดาษแผ่นเดียว เหมือนเขาใส่พลังกาย พลังใจลงไปในงานของเขา ที่เรารู้สึกว่าสุดยอดมากๆ ดูแล้วเห็นถึงความทุ่มเท

เบ็น : ผมอ่านวันพีชไปแค่สิบเล่มเองแล้วก็ไม่ได้อ่านต่อ ส่วนตัวเป็นแฟนดราก้อนบอล แต่เรารู้สึกได้ว่าการ์ตูนแต่ละยุคของญี่ปุ่นมันส่งต่อกันได้ เพราะวันพีชก็ได้แรงบัลดาลใจจากดราก้อนบอล มันทำให้เด็กยุคใหม่ได้แรงบันดาลใจได้อีกเยอะ

ตั๊ก : ผมอยากกลับไปอีกรอบ

จะได้เห็นสติ๊กเกอร์ของคุณเมื่อไหร่?

ตั๊ก : ของผมคิดว่าเดือนนี้น่าจะได้เห็นครับ (มกราคม 2018)

เบ็น : ของผมคิดว่ากุมภาพันธ์

____________________

หลังจากจบการสัมภาษณ์เราก็เดินทัวร์ออฟฟิศใหม่ของ Line Thailand กัน ถึงแม้ว่ายังไม่เสร็จสมบูรณ์ แต่เราก็เห็นความสุข ความสนุก อบอวลอยู่ในบรรยากาศ

ก่อนจาก Line Thailand ก็บอกกับเราว่าออฟฟิศเสร็จเมื่อไหร่ อย่าลืมแวะมาหานะเราตกปากรับคําทันที

แล้วเจอกันครับ 😀

RECOMMENDED CONTENT

26.พฤษภาคม.2020

เมื่อสองศิลปินคุณภาพชื่อดังของสิงคโปร์ Gentle Bones และ Charlie Lim ได้มีโอกาสมาร่วมงานเพลงด้วยกันครั้งแรก