fbpx

CONTACT US

DOODDOT VIDEOS

ชวนคุยกับไบค์เกอร์สาว – คุณกี้ร์ กับไอเดียการแต่ง Honda CB150R ในสไตล์ที่ไม่เหมือนใคร
date : 2.มีนาคม.2018 tag :

Cheeze Carbootsale Festival เป็นเหมือนงานสตรีทแฟชั่นประจำปีที่เหล่าแฟชั่นนิสต้าที่ชื่นชอบของเก่า วินเทจ และมอเตอร์ไซค์ต้องมารวมตัวกัน เราเองก็เป็นหนึ่งในแฟนคลับของงานนี้ที่ต้องไปทุกปี

แต่ปีนี้พิเศษกว่าเดิม เมื่อเราได้รับโจทย์ให้ไปสัมภาษณ์ไบค์เกอร์สาวที่ได้ทำโปรเจ็กต์ร่วมกันระหว่าง Cheeze และ Honda ในงาน Cheeze Carbootsale Festival ครั้งนี้ ซึ่งโปรเจ็กต์นี้คืออะไร และไบค์เกอร์สาวที่ว่าคือใครติดตามกันได้ในบรรทัดต่อไปเลย

—————

“เป็นคนที่เดินทางและออกทริปด้วยมอเตอร์ไซค์อย่างเดียวมา 7 ปีแล้วค่ะ” แค่ประโยคแรกของบทสนทนาเราก็เชื่อแล้วว่าผู้หญิงที่อยู่ตรงหน้าเราคนนี้หลงใหลในการขับขี่มอเตอร์ไซค์มากแค่ไหน

คุณกี้ร์ – กัญญ์กุลณัช กัญกุลพิพัฒน์ ไบค์เกอร์สาวที่มีผู้ติดตามในโลกโซเชี่ยลหลายหมื่นคนแนะนำตัวพร้อมรอยยิ้มสดใสและแววตาที่บ่งบอกถึงความหลงใหลในสิ่งที่กำลังจะเล่าให้เราฟัง

“ย้อนกลับไปประมาณ 7 ปีที่แล้ว กี้ร์ไปเที่ยวที่อำเภอปาย จังหวัดแม่ฮ่องสอน ตอนนั้นเห็นฝรั่งคนหนึ่งขี่มอเตอร์ไซค์วิบากออกมาจากป่า แบบชุดเต็มเลย ทั้งชุด หมวก รองเท้า เราเห็นแล้วรู้สึกว่าโคตรเท่!” นั่นคือจุดเริ่มต้นของความหลงใหลที่ทำให้ชีวิตของเธอเปลี่ยนไปตลอดกาล

“หลังจากนั้นเราลงมาเชียงใหม่เลย หาเช่ามอเตอร์ไซค์ขี่กลับขึ้นไปที่ปาย” ตอนนั้นขี่เป็นแล้วเหรอ? เราถามด้วยความตกใจ

“ฝึกเอาตอนนั้นเลย ขี่ไม่ค่อยเป็นหรอก มอเตอร์ไซค์แบบมีคลัทช์นี่คือไม่ถนัดเลย แต่ก็พยายามฝึกวันนั้นให้ได้เลย แล้วก็ลองเช่าหลายคันหลายรูปแบบมาก จนตอบตัวเองได้ว่าเราชอบรถวิบาก”

หลังได้ขี่มอเตอร์ไซค์วิบากขึ้นปายสมใจ เมื่อถึงกรุงเทพฯ กี้ร์ไม่รอช้าที่จะหาข้อมูลรถวิบากที่อยากจะซื้อมาใช้เองสักคัน

“พอรู้ตัวว่าชอบแนววิบาก เราก็หาข้อมูลเลย แล้วมาจบที่ Honda CRF250 เป็นรถวิบากที่เรารู้สึกว่าลงตัวกับเรามาก ก็จัดแจงซื้อหมวก ซื้ออุปกรณ์ป้องกันแล้วก็พาลุยป่าลุยเขาทั่วไทย จนตอนนั้นถ้าใครตามตัวกี้ร์ไม่เจอ จะรู้กันเลยว่ากี้ร์มันหนีเข้าป่าอยู่”

Honda CRF250 นอกจากจะเป็นรถคันแรกแล้วยังเป็นรถที่ทำให้คนจำนวนมากได้รู้จักเธอในฐานะไบค์เก้อร์สาวร่างเล็กที่ขี่รถวิบากคันใหญ่กว่าตัวด้วยการเขียนรีวิวรถแบบละเอียดยิบลงในพันทิป จนเป็นกระทู้ยอดฮิตติดลมบน และทำให้ทุกคนจำภาพของคุณกี้ร์ว่าเป็นหญิงสาวตัวเล็กที่หลงใหลในการขี่รถวิบาก

ถ้าพูดถึงคุณกี้ร์ ทุกคนจะนึกถึงรถแนววิบากลุยๆ เราเลยแปลกใจไม่น้อยเมื่อเห็นชื่อของคุณกี้ร์ในโปรเจ็กต์ Honda x Looker CB150R ที่ให้นำรถมอเตอร์ไซค์ Honda CB150R มาคัสต้อมให้เป็นสไตล์ของตัวเองเพื่อนำไปโชว์ที่งาน Cheeze Carbootsale Festival พร้อมไบค์เกอร์หนุ่มรุ่นใหญ่สไตล์จัดอีก 8 คน

“เรื่องมันเริ่มจากพี่ปู (Cheeze Looker) มาชวนค่ะ คือเห็นเราลุยๆ แต่เราก็เป็นคนชอบแต่งตัวนะ ถึงจะไม่ใช่สายแฟชั่นจ๋า แต่ชอบแต่งตัวให้เข้ากับรถของเราเองด้วย ซึ่งโปรเจ็กต์นี้มันไม่ใช่แค่การแต่งรถ แต่มันเป็นการแสดงตัวตนของเราออกมาผ่านการแต่งตัวและการแต่งรถ แล้วพี่ปูเป็นพี่ชายที่เรานับถืออยู่แล้ว ก็เลยรับปากว่าจะเข้าร่วมด้วย” คุณกี้ร์ตอบพร้อมโชว์เสื้อแจ็คเก็ตที่ใส่มาให้เข้ากับลายกราฟิตี้บนรถ Honda CB150R คัสต้อมของเธอ


↑ — คุณกี้ร์กับ Honda CB150R แบบเดิมๆ


คนที่ขี่รถใหญ่มาตลอดอย่างคุณกี้ร์เมื่อทำโปรเจ็กต์ที่ต้องใช้งานรถเล็กจะรู้สึกอย่างไรบ้าง เราเริ่มสงสัย

“ถามว่าขี่รถใหญ่มาพอลด cc แล้วรู้สึกอย่างไร ต้องบอกว่าชีวิตง่ายขึ้นเยอะเลย จากเมื่อก่อนขี่รถใหญ่เวลาต้องซอกแซกไประหว่างรถยนต์ บางทีเราไปไม่ได้ แล้วมีรถเล็กมาติดอยู่ข้างหลังคือกดดันมาก แบบเกรงใจเขา อีกอย่างคือที่จอดรถหายาก ถึงจะเป็นมอเตอร์ไซค์แต่พอมันใหญ่มันก็หาที่จอดยากกว่ารถเล็กอยู่ดี พอมาใช้ Honda CB150R คันนี้ก็รู้สึกชีวิตง่ายขึ้นจริงๆ ทั้งการซอกแซกตามถนนกรุงเทพฯ เวลาจอดรถก็ง่ายกว่า เรื่องความแรงบอกเลยว่าเพียงพอขับขี่สนุกเหมาะกับการขับขี่ในเมือง หรือจะออกนอกเมืองอย่างที่ขี่มาเขาใหญ่วันนี้ก็บิดสนุกเลยไม่เหนื่อยด้วย”

รถของคุณกี้ร์ดูหลุดกรอบจากคำว่า Neo Sports Café ที่เป็นคอนเซ็ปต์ดั้งเดิมของ Honda CB150R ไปไกลมาก เราถามถึงที่มาที่ไปด้วยความอยากรู้

“ต้องบอกก่อนว่าเราเป็นคนไม่ชอบรถสไตล์คาเฟ่ คือเราตัวเล็ก แขนก็สั้น (หัวเราะ) แล้วรถแนวคาเฟ่มันต้องก้มขี่เรารู้สึกมันเมื่อย ถึง Honda CB150R ท่าการขับขี่มันจะไม่ได้คาเฟ่จ๋า หรือขี่แล้วเมื่อยก็จริง แต่พอได้โจทย์ว่าให้ทำรถออกมาให้เป็นตัวเองที่สุดเราเลยเลือกทำให้ Honda CB150R ออกมาเป็นแนววิบากอย่างที่เราชอบจริงๆ

แล้วตอนเริ่มทำคือไม่รู้อะไรเลย ก่อนหน้านี้เราเป็นคนไม่ชอบแต่งรถ คือมีอะไรมาก็ใช้แบบนั้นเลยชอบเดิมๆ กระจกมองข้างยังไม่เปลี่ยนเลยคิดดูสิ แต่พอได้ Honda CB150R มาก็คิดแค่ว่าจะทำยังไงให้รถคันนี้จะออกมาในรูปแบบที่เราชอบมันจริงๆ และใช้งานจริงได้

พอลงมือทำจริงๆ ต้องบอกเลยว่าเหนื่อยมาก ปัญหาเยอะ แต่มันก็สนุกมากเพราะได้เห็นความเปลี่ยนไปของรถเราเรื่อยๆ แล้วเวลาในการทำมันน้อยมากคือมีเวลาให้ทำ 20 วัน รถเราเพิ่งเสร็จก่อนมาโชว์วันเดียวเองนะ” เธอเล่าที่มาที่ไปของการแปลงโฉมรถ Honda CB150R ให้เป็นรถแนววิบากสมใจ แต่ความสนุกเพิ่งจะเริ่มเมื่อเราอยากรู้ว่าจริงๆ แล้ว 20 วันกับการทำรถคัสต้อมต้องมีขั้นตอนอะไรบ้าง

“อย่างที่บอกว่าเราไม่รู้อะไรเลย พอไม่รู้แล้วไปบอกช่าง ช่างไม่ทำตามอย่างที่เราต้องการ เราก็เครียด พอเป็นแบบนี้ก็เลยรู้สึกว่าอยากทำเอง เลยไปหาคนสอน หายากมากแต่สุดท้ายก็ได้พี่ๆ จาก Bangkok Hotrod ซึ่งเป็นทีมทำรถคัสต้อมที่เก่งมากๆ ได้รับรางวัลทั้งจากในประเทศ ต่างประเทศมาหมดแล้ว ซึ่งเรารู้สึกดีมากที่เขามาสอนเราทั้งๆ ที่เราไม่มีความรู้อะไรเลย เขาช่วยเราทุกอย่าง มันเป็นช่วงเวลาที่ทำให้เรามีความสุขมาก

แล้วกว่ารถจะเสร็จมันต้องผ่านขั้นตอนเยอะมาก ต้องไปทำหลายร้านหลายที่แล้วเราบอกทุกคนเลยว่า หนูชอบมันว่ะ คือมันเหนื่อยก็จริง แต่พอเห็นรถมันออกมาอย่างที่เราต้องการมันโคตรรู้สึกดี เมื่อก่อนไม่เข้าใจ เห็นหลานแต่งรถก็แบบ จะคิดอะไรกันเยอะแยะ พอวันนี้มาทำเองเข้าใจเลย มันไม่ใช่แค่แต่งแบบเอาชิ้นนี้มาใส่ พอไม่ใช่เปลี่ยนใหม่ แบบนั้นมันเปลืองเงิน ครั้งนี้เราทำเราคิดก่อนว่าทำยังไงให้ออกมาเป็นตัวเราที่สุด ไม่ใช่จับมาใส่ พอไม่ใช่โยนทิ้ง เราคิดก่อนทำ การทำรถครั้งนี้มันเลยแก้น้อยมาก”

เราเชื่อว่ารถคัสต้อมทุกคันต้องมีคอนเซ็ปต์ของคนทำ เมื่อเราขอให้คุณกี้ร์เล่าถึงคอนเซ็ปต์ของรถคันนี้ ก็ได้รับคำตอบพร้อมสายตาสดใสที่ชวนให้เรานึกถึงอดีตไปกับเธอด้วย 

Hits From 90’s คือคอนเซ็ปต์ของรถคันนี้เพราะเราโตมากับยุคนั้น โตมากับวง The Prodigy, Nirvana, Radiohead อะไรแบบนี้ยุคที่แฟชั่น เพลง และเทคโนโลยีจากต่างประเทศเข้ามาในไทยมากมาย จนกลายเป็นยุคที่ทุกคนเรียกกันว่ายุคอัลเทอร์เนทีฟ ยุคที่วัยรุ่นเล่นสเก็ตบอร์ด ถึงเล่นไม่เป็นซื้อมาถือก็เท่แล้ว

รถเราก็จะเอากลิ่นอายมาเหล่านั้นมาใส่ อย่างด้านข้างก็จะมีที่เก็บสเก็ตบอร์ดเล็กๆ ลายกราฟิตี้ที่อยู่บนตัวรถก็เป็นงานเพ้นท์มือจากศิลปินไทยที่ดังระดับโลก คือรถคันนี้สำหรับเรามันเป็นศิลปะ เราขอให้เขามาช่วยเพ้นท์รถให้ออกมาเป็นเรามากที่สุด มาถึงเขาก็ดูคาแร็กเตอร์เราว่าจะเป็นแบบไหน แล้วเขาดูแล้วรู้เลยว่าเราเป็นแบบไหน แล้วทำออกมาได้ตรงใจมาก พอทุกอย่างเสร็จเรารู้สึกว่ามีความสุขมาก”

“แล้วพอเสร็จ นอกจากความสุขมันยังกลายเป็นความภูมิใจด้วย พอโพสต์รูปลงแฟนเพจมีหลายคนบอกว่าทำเสร็จแล้วจะขอซื้อต่อได้ไหม แต่เราบอกเลยว่าไม่ขาย ทำมาขนาดนี้มันไม่ใช่แค่เรื่องธุรกิจ แบบเราทำมาแล้วขาย หลายคนมองว่าการมีรถเก็บไว้หลายๆ คันมันคือภาระ แต่เรามองว่ามันเป็นคอลเล็กชั่นไปแล้ว เป็นความสุขของเรา

หลังๆ เวลาใครมาถามว่าเราใช้รถอะไร เราบอก Honda ทุกคนมองหน้าเราจะเป็นโลโก้ปีกแดงของ Honda อยู่แล้ว แต่เราอยากให้มันเป็นคอลเล็กชั่นของเรา วันนี้มันอาจจะยังไม่มีค่ามาก แต่ผ่านไปอีกสัก 30-40 ปีมันจะมีเรื่องราวให้เล่าต่อ ราคามันอาจจะขึ้นก็ได้ ไม่ใช่แค่ราคาอย่างเดียวแต่มันยังเป็นคุณค่าทางจิตใจ ลูกเราหลานเรา ทุกคนที่ได้เห็นเราเชื่อว่ามันจะเป็นแรงบันดาลใจให้พวกเขาได้”

สุดท้ายเราอยากรู้ว่าอะไรในรถ Honda CB150R ที่ทำให้คุณกี้ร์ประทับใจจนแสดงออกด้วยแววตามาขนาดนี้ ยังไม่ทันสิ้นคำถาม คุณกี้ร์ก็ตอบกลับมาแบบไม่ต้องใช้เวลาคิด

“เอาจริงรถคันนี้มันตอบโจทย์ตั้งแต่เป็นรถเดิมๆ แล้วนะ อย่างที่บอกว่ามันขี่ในเมืองสะดวก อันนั้นเรื่องนึงแต่อีกเรื่องคือสเป็คที่ให้มากับรถคันนี้มันเทียบเท่าบิ๊กไบค์เลย ทั้งหน้าจอ Full Digital เบรกแบบ ABS พร้อม Radian Mouse ซึ่งพอแต่งคุณกี้ร์ก็เปลี่ยนในส่วนของสไตล์เต็มที่ เปลี่ยนให้มันดูเป็นเราที่สุด คือเป็นแนววิบาก พอแต่งแล้วมันก็ตอบโจทย์ตรงที่ในด้านรูปลักษณ์มันก็บอกความเป็นตัวเราได้ ในส่วนของการขับขี่มันก็สะดวกสบายและปลอดภัยด้วยสเปคที่รถคันนี้ให้มาอยู่แล้ว และที่ดีใจมากๆ คือขี่คันนี้ไปไหนก็จะมีคนมาทักตลอดเลยว่า สวยจังรถรุ่นอะไร”

ได้ไอเดียจากไบค์เกอร์สาวไปแล้ว ใครที่อยากแชร์รถในสไตล์ของคุณก็แวะเข้าไปที่ facebook.com/hondamotorcyclethailand  หรือสนใจอยากมีรถเท่ๆ คู่ใจแบบนี้คลิกเลย www.aphonda.co.th

RECOMMENDED CONTENT

14.ธันวาคม.2020

‘School Town King’ แร็ปทะลุฝ้า ราชาไม่หยุดฝัน เป็นหนังสารคดีที่สร้างจากเรื่องจริงของ ‘บุ๊ค’ เด็กหนุ่มวัย 18 และ ‘นนท์’ วัย 13 ผู้เติบโตมาในชุมชนคลองเตย หรือที่ใครๆ ต่างรู้จักในอีกชื่อหนึ่งว่า ‘สลัมคลองเตย’ นอกจากความยากจนที่มาพร้อมกับสถานะทางสังคมที่เลือกไม่ได้แล้ว ทั้งบุ๊คและนนท์ยังไม่สามารถปรับตัวให้เข้ากับระบบการศึกษา รวมทั้ง หลักสูตรการเรียนการสอนที่เน้นแต่ความสำเร็จเชิงวิชาการก็ยิ่งทำให้เด็กเรียนไม่เก่งอย่างพวกเขาขาดความสนใจในชั้นเรียนลงไปเรื่อยๆ  ระบบการศึกษาที่น่าจะเป็นความหวังและเท่าเทียมกันของเด็กทุกคน กลับยิ่งบีบบังคับและผลักไสให้พวกเขาเป็นแค่ ‘คนนอก’ ของสังคมไปโดยปริยาย