fbpx

CONTACT US

DOODDOT VIDEOS

#MOVIEGUIDE — 5 หนัง Queer Film ที่บอกว่าใครๆ ก็มีความรักแบบ happy ending ได้
date : 4.กรกฎาคม.2018 tag :

happy ending ดูจะไม่ใช่เรื่องปกติซักเท่าไหร่ใน Queer Film ลองมองย้อนกลับไปถึงหนังเกย์ดังๆ ที่ทุกคนน่าจะจำได้อย่าง Call Me By Your Name, Brokeback Mountain หรือ รักแห่งสยาม เราต่างก็คุ้นเคยเนื้อเรื่องที่เด็กหนุ่มสองคนตกหลุมรักกัน แต่สุดท้ายพวกเขาก็ต้องมีอุปสรรคทางความรักและต้องแยกทางกันในที่สุด จนบางทีภาพยนตร์เหล่านี้ก็สร้างความเชื่อให้เราอย่างไม่รู้ตัวว่าความรักระหว่างเพศเดียวกันมันลำบาก มีอุปสรรคมากมายหรือแทบจะเป็นไปไม่ได้

เราจึงไม่แปลกใจว่าทำไมภาพยนตร์รักโรแมนติดสดใสวันรุ่นอย่าง Love Simon ได้แอบสร้างปรากฏการณ์ที่น่าสนใจต่อ LGBTQ+ Community ด้วยการเป็นหนังที่จบดี (เอ๊ะ นี่คือสปอยล์ไปหรือยัง) สำหรับ #MOVIEGUIDE ครั้งนี้ ดู๊ดดอทจึงจะมาแนะนำ Queer Film ที่จบแบบแฮปปี้ เพื่อยืนยันว่าไม่ว่าคุณจะเป็นใคร ก็สามารถมีตอนจบแบบหนังดิสนีย์ได้เช่นกัน

Beautiful Thing (1996)
เป็นเรื่องยากที่เราจะหา gay film จากยุค 90s ที่ไม่มีเรื่องเอดส์ เรื่องการกีดกันต่างๆ นานา จนต้องจบแบบโศกนาฏกรรม นั่นเลยเป็นเหตุผลที่ทำให้เราจำภาพยนตร์เรื่องนี้ได้ขึ้นใจ Beautiful Thing เล่าเรื่องราวของ Jamie เด็กหนุ่มที่เป็นเหยื่อของการรังแกจากโรงเรียนกับ Ste เพื่อนร่วมชั้นและเพื่อนข้างบ้าน ที่มาอาศัยอยู่ห้องเขาเพื่อหนีการถูกทำร้ายร่างกายโดยพี่ชายกับพ่อที่ติดเหล้า ซึ่งความรู้สึกเข้าใจในฐานะเหยื่อความรุนแรงของทั้งสองคนก็นำพาพวกเขาไปสู่ความรู้สึกใหม่ๆ Beautiful Thing นั้นเป็นทั้งหนัง coming of age และ coming out ที่เล่าความดราม่าของเด็กทั้งสองได้อย่างซื่อตรง สวยงาม แต่ยังแฝงด้วยความสดใส เป็นภาพยนตร์ที่แม้จะผ่านมา 20 ปีแล้วก็ดูไม่เอาท์เลย

Shelter (2007)
ในลิสต์หนังครั้งนี้ Shelter น่าจะเป็นภาพยนตร์ที่หลายคนเคยผ่านตามากที่สุด Shelter เล่าเรื่องราวความรักของ Zach เด็กหนุ่มเสาหลักของบ้านที่ถูกบังคับให้ละทิ้งความฝันเพื่อดูแลคนในครอบครัว กับ Shaun พี่ชายของเพื่อนสนิทที่มีชีวิตแตกต่างจากเขาราวกับหนังคนละม้วน ซึ่งความรักอิสระและได้ใช้ชีวิตแบบที่ตนเองต้องการของเขานั้น ก็ทำให้ Zach ห้ามความรู้สึกดีๆ ที่เกิดขึ้นในใจของเขาไม่ได้ พล็อตและปมต่างๆ ของ Shelter ไม่มีอะไรใหม่จนเราคาดไม่ถึงหรือมีดราม่าที่สั่นสะเทือนความรู้สึกจนตกค้างอยู่ในจิตใจ แต่ความ cliché ที่เเสนจะเรียบง่ายเหล่านี้ กลับกลมกล่อมจนเราสัมผัสได้ที่ความอบอุ่นเหมือนกับแสงแดดในช่วงซัมเมอร์อันเป็นฉากหลังของภาพยนตร์

Two Weddings And A Funeral (2012)
แม้เกาหลีใต้จะเป็นประเทศที่ปิดกั้นเรื่องความหลากหลายทางเพศ แต่เราก็ได้เห็นภาพยนตร์เกี่ยวกับ LGBTQ+ มากมายที่ผลิตมาจากประเทศนี้รวมไปถึง Two Weddings And A Funeral ภาพยนตร์แนว romantic-comedy เพียงเรื่องเดียวในลิสต์นี้ ภาพยนตร์เรื่องนี้ถ่ายทอดความกดทับและการไม่ยอมรับของสังคมเกาหลีใต้ที่มีต่อคู่รักเพศเดียวกัน ผ่านเรื่องราวของเกย์หนุ่มและเลสเบี้ยนสาวที่ตัดสินใจแต่งงานและใช้ชีวิตคู่กันแบบปลอมๆ เพื่อตบตาและหลีกเลี่ยงความกดดันจากคนรอบข้าง แต่แน่นอนว่าคงไม่มีใครที่จะสามารถใช้ชีวิตอยู่บนคำโกหกได้ ในความ rom-com เบาสบาย Two Weddings And A Funeral ก็สามารถขยี้ประเด็นอย่างการยอมรับตัวเองและความกล้าตัดสินใจที่จะใช้ชีวิตแบบที่เราเป็นได้อย่างกินใจเหมือนกัน

The Way He Looks (2014)
ในขณะที่หนังวัยรุ่น gay themed ส่วนใหญ่มักพูดถึงเรื่องราวดราม่า เพราะความแปลกแยกและแตกต่างจากเพศสภาพของตัวละคร The Way He Looks กลับเล่าเรื่องราวด้วยภาษาที่เรียบง่าย แม้ภาพยนตร์จะแบกประเด็นที่หนักหนาเอาการทั้งเรื่องความรัก การ coming out และความพิการของตัวละครหลัก แต่หนังกลับเล่าเรื่องด้วยท่าทีที่สบายๆ ไม่ได้มีการขยี้ประเด็นต่างๆ จนเรารู้สึกว่าเด็กคนนี้เป็นลูซเซอร์หรือรู้สึกว่าเขาแตกต่างจากคนอื่นทั่วไป เขายังคงมีเพื่อน ยังคงไปโรงเรียน ยังคงมีความรักได้ แต่ภายใต้ภาษาที่เรียบง่ายมันก็เต็มไปด้วยบทสนทนา สถานการณ์และการกระทำของตัวละครที่เฉียบคม เราจึงไม่แปลกใจว่าทำไมภาพยนตร์เรื่องนี้ถึงเป็นที่รักมากมายจากคนทั่วโลก

Being 17 (2016)
ภาพยนตร์น้อยเรื่องที่จะนำพาการกลั่นแกล้งไปสู่การตกหลุมรักเเล้วจะทำให้เราเชื่อได้อย่างไม่ตะขิดตะขวงใจ ซึ่งภาพยนตร์ฝรั่งเศสเรื่องนี้เป็นหนึ่งจำนวนอันน้อยนิดเหล่านั้น Being 17 นำเสนอสถานการณ์ยอดฮิตแบบผู้ชายมักแกล้งคนที่ตัวเองชอบ (?) ได้อย่างฉูดฉาดเเละไม่เหมือนใคร เมื่อเหยื่ออย่าง Damien ต้องมาอาศัยอยู่กับ Thomas เพื่อนร่วมห้องที่มักจะแกล้งเขาเป็นประจำ ความใกล้ชิดไม่ใช่เหตุผลหลักที่เปลี่ยนจากความรู้สึกเกลียดเป็นความรู้สึกรัก เเต่มันคือสถานการณ์ที่ทำให้พวกเขาได้เข้าใจกันมากขึ้น ซึ่งแน่นอนระหว่างทางมันเต็มไปด้วยความรุนแรงและความดราม่ามากกมาย แต่อุปสรรคเหล่านั้นก็ทำให้ตอนจบของเรื่องก็สวยงามได้อย่างไม่น่าเชื่อเช่นกัน

RECOMMENDED CONTENT

เรื่องราวของ Christopher Robin พาเรามาถึงช่วงเวลาที่คริสโตเฟอร์ โรบิ้น โตขึ้นและต้องเข้ามาทำงานในกรุงลอนดอน พร้อมภรรยาและลูกสาว เขาตรากตรำทำงานอย่างหนักจนแทบไม่มีเวลาให้ครอบครัว แม้แต่วันที่เขาตั้งใจจะไปเที่ยวกับครอบครัวนอกเมือง แต่งานด่วนก็ดันเข้ามาทำให้เขาคิดหนักว่าจะเลือกงานหรือครอบครัวดี