ภายนอก / หน้าป้อมยาม / กลางวัน / ร้อนมาก
น้า รปภ : มาบ้านใคร
เรา : มาบ้านคุณเจค่ะ น้ารู้จักมั้ยหลังไหน บ้านเลขที่…
น้า รปภ : เจไหน…ใช่เจที่มีหนวดรึเปล่า
เรา : เอ่อ คือหนูก็ไม่แน่ใจเหมือนกันว่าตอนนี้พี่เขามีหนวดมั้ยอ่ะ
น้า รปภ : อ๋าาาา ใช่เจที่เป็นนักร้องป่ะล่ะ ?
_________________________________________
ไม่แน่ใจว่าน้า รปภ เข้าใจว่าเจที่เป็นนักร้องนี่เป็นเจเดียวกับเรามั้ย น้าอาจจะคิดว่าเป็น เจ- เจตริน หรือ เจ-มณฑล ก็ได้ทั้งนั้น จนกระทั่งเขาชี้ๆ ให้เราเดินเลี้ยวไปถึงหน้าบ้านรั้วสีเหลืองหลังหนึ่ง
สุดท้ายน้าเขาพามาถูก เจที่เราตามหาจริงๆ แล้วคือ เจ – เจตมนต์ มละโยธา หรือ เจ Penguin Villa ซึ่งเรามีนัดกับเขาในหมู่บ้านเพนกวิน (ภาณุ) วิลล่าแห่งนี้นี่แหละ
ถ้าใครไม่ได้โตมาในยุค 2000s โดยมีคลื่นวิทยุ 104.5 Fat Radio (ใช่แล้วจ้ะเด็กๆ อันเดียวกันกับ Cat Radio นั่นแหละ!) เป็นพระเจ้าแห่งเพลงอินดี้ที่รอคอยจะหมุนไปฟังหลังเลิกเรียนนั้น คงไม่อินว่ามันดีงามยังไง
ท่ามกลางการ Discover เพลงนอกกระแสทั่วโลก ค่ายเพลงนอกกระแสไทยชื่อ Smallroom ก็แนะนำให้เรารู้จักศิลปินหนุ่ม Penguin Villa ที่ร้องเพลงชื่อยากๆ Acrophobia อะไรก็ไม่รู้ แต่รู้ว่าในตอนนั้นมันคือการเปิดโลกมาก เป็นความสดที่เราตื่นเต้น จนต้องขอแม่ตามไปดูเขาเล่นคอนเสิร์ตเลยทีเดียว นั่นอาจเรียกได้ว่าเป็นการเปิดประตูสู่โลกเพลงอินดี้ไทยของเด็กหัดฟังจากชานเมืองอย่างแท้จริง
ตัดภาพมาที่ 10 กว่าปีจากตรงนั้น Die Hard Fan อย่างเราได้เจอ เจ – เจตมนต์ อีกครั้ง ในวาระที่เขาออกอัลบั้มชุดที่ 2 (สักที) และกำลังจะมีคอนเสิร์ตใหญ่ครั้งแรกของตัวเองกับ Smallroom ด้วย เราเลยถือโอกาสบุกเข้าบ้านของเพนกวินที่กำลังทำงานอยู่ในห้องอัดที่บ้าน พร้อมกับลูกเพนกวินในวันปิดเทอม ถามถึงช่วงเวลาที่เขาหายไปและกำลังจะกลับมา ด้วย ‘มือไม้มันก็เริ่มสั่น ในท้องมันก็เริ่มปั่น’ อย่างช่วยไม่ได้!
ช่วง 14 ปีที่หายไป ระหว่างนั้นคุณทำอะไร
มันมีความพยายามที่จะทำอัลบั้มชุดที่ 2 เมื่อ 8 ปีที่แล้ว เกิดจากตอนนั้นทำเพลง Good Morning ขึ้นมาสำหรับโปรเจ็กต์ชื่อ 8 สยาม ของทางค่าย Smallroom ที่รวมกัน 8 วง ซึ่งมีผม เพนกวิน วิลล่า เป็นหนึ่งในนั้น ระหว่างนั้นผมก็ทำเพลงโฆษณาไปด้วย เป็นสิ่งที่ทำมาตลอดตั้งแต่เริ่มแรกอยู่แล้ว
ทำไมถึงเว้นช่วงนานมากกว่าจะมาถึงอัลบั้มชุด 2
พอ Good Morning มันเวิร์คเลยมีความคิดว่าจะทำอัลบั้ม 2 เลย ผมก็พยายามทำเดโมต่ออีก 5-6 เพลงได้ ปรากฏว่าเพลงออกมาใช้ได้แหละ แต่ทางทีม บวกกับตัวผมเองเองรู้สึกว่ามันยังไม่เท่า Good Morning มันยังไม่เจ๋งขนาดนั้น ไม่รู้ทำไม ซิงเกิ้ลที่คิดว่าจะตามมาตอนแรกเลยกลายเป็นว่าเว้นช่วงนานมาก 2 ปีแล้วก็ยังไม่ออกสักที อาจเป็นเพราะว่าช่วงนั้นเพลงโฆษณาที่เข้ามาค่อนข้างจะหนักหน่วงมาก แล้วผมทำคนเดียว ไม่มีผู้ช่วย ก็เลยต้องหยุดพักงานตัวเองไปก่อน
ประมาณ 4-5 ปี ก่อนมีอัลบั้มนี้ เริ่มมีคนถามถึงเรื่อยๆ ว่าหายไปไหน ไม่มีเพลงอีกเหรอ จนกระทั่งฟังใจ (Fungjai) ชวนมาเล่นอีเว้นต์หนึ่ง ผมเลยส่งเพลงเธอคือความจริง 1 ในเพลงที่บอกว่าไม่เจ๋งตอนแรกนี่แหละ เอามาเล่นในงาน จะได้ไม่เล่นแต่เพลงเก่า ตอนนั้นไม่ได้คิดว่าจะทำเป็นซิงเกิ้ล เพราะไม่อยากเต็มตัวมาก ทุ่มเทมาก กดดันมาก เหมือนตอนทำ Good Morning อีกแล้ว อันนี้เลยเหมือนกองโจรหน่อยๆ ไม่ได้ปรึกษาค่ายด้วย ทำขำๆ แต่ปรากฏว่าคนฟังชอบ ทางพี่รุ่ง (รุ่งโรจน์ อุปถัมภ์โพธิวัฒน์ – ผู้บริหารค่าย Smallroom) ก็ชอบ เลยให้เป็นอีกหนึ่งซิงเกิ้ลละกัน
หลังจากนั้นเริ่มมีการกลับมา เริ่มไปเล่นงาน Cat ผมเล่นอยู่โซนอะคูสติกเล็กๆ ซึ่งมันดีมาก บรรยากาศก็ดี เริ่มมีกลุ่มคนเล็กๆ มาฟังเราเล่น
ก่อนหน้านั้นคุณไม่ได้เล่นสดที่ไหนเลย
ไม่ค่อยมีที่ๆ เหมาะจะเล่น แล้วเขาก็ไม่ได้จ้างให้เล่นด้วย (หัวเราะ) จะมีก็แต่ Smallroom Holiday Party ครั้งที่ 1 ที่ผมทำเพลง ร้อยล้านวิว เพื่อเล่นงานนี้ พี่รุ่งเลยบอกว่า เออ งั้นทำอัลบั้มได้แล้วเหอะ
เป็นการเรียกร้องจากค่าย แฟนเพลง หรือว่าตัวคุณเอง
สำหรับผมไม่ค่อย ยังคิดด้วยว่าไม่ต้องมีอัลบั้มแล้วก็ได้มั้ง ยิ่งพอมีลูก 3 คนด้วยเนี่ย ผมจะใช้เวลากับครอบครัวมากหน่อย ก็เริ่มคิดว่าถ้าทำอัลบั้มมันจะใช้เวลาเยอะหรือเปล่านะ แต่พอกลับมาดูบรรยากาศการทำงานของสมอลล์รูม พบว่ามันไม่เหมือนตอนทำ Good Morning ที่กว่าจะได้แต่ละเพลง แต่ละวงทำงานกันหนักหน่วงมาก ตอนนี้ทุกวงสามารถทำงานของตัวเองได้เต็มที่แล้ว เราแค่ทำงานของเรา แล้วรักษากลุ่มคนฟังของเราก็พอ
ตอนทำเพลง ร้อยล้านวิว ผมค่อนข้างรีแล็กซ์กับการทำงาน เหมือนทำลายกำแพงไปแล้ว ไม่ได้คาดหวังว่าคนฟังเพนกวิน วิลล่าทุกคนต้องชูมือขวาขึ้น! หรือมากังวลว่าคนจะร้องตามได้มั้ย ภาพ Position ของเรามันชัดขึ้น ผมก็เริ่มผ่อนคลาย
เพลงในอัลบั้ม 2 เหมือนเป็นการเอาหลายๆ เพลงในช่วงที่ผ่านมาของคุณมารวมกัน
ส่วนหนึ่ง ใช่ คือเก็บไอ้ 4-5 เพลงที่เขียนๆ ไปแล้วไม่ได้ใช้ หรือเพลงที่คนชอบถามถึงว่าจะทำเป็น ซิงเกิ้ลมั้ย เอามาใส่ไว้หมด เช่นเพลง แปรผันตาม เพลง End Credit ของสารคดี Bennetty ก็มารวมไว้ด้วย เหมือนรวมเพลงเก็บตกของเพนกวิน จนออกมาเป็น 14 เพลง ทำเสร็จแล้วถึงรู้ว่า อ่าว บังเอิญ กลายเป็นคอนเซ็ปต์ 14 เพลง 14 ปีไป
จากเพนกวิน วิลล่าในยุคเริ่มต้นกับตอนนี้ มีอะไรที่เปลี่ยนไปบ้าง ทั้งวิธีการทำงาน และ สไตล์ดนตรี
อย่างการแต่งเพลงน่าจะชัดขึ้น ยุคแรกผมอาจจะไม่ได้โฟกัสที่เนื้อเพลงมากนัก มันมีสูตรการแต่งเพลงของมันอยู่ แต่จะไม่ค่อยผ่านการกลั่นกรองเท่าไร เพราะช่วงนั้นทำเพลงโฆษณาเป็นหลัก มีเวลาน้อย ผมเลยให้เวลาตัวเองแค่เดือนเดียว ถ้าย้อนกลับไปฟังตอนนี้ มันจะมีเนื้อเพลงที่ฟังดูจั๊กจี้หน่อย พอเวลาผ่านไป เริ่มรู้สึกเขินที่จะร้องอะไรบางอย่าง เหมือนเราโตขึ้น ให้มาร้องเพลงจีบสาวมันคงไม่ค่อยใช่แล้ว อย่างตอน Good Morning นี่เริ่มเปลี่ยนอย่างเห็นได้ชัดเลย รู้สึกว่าเนื้อเพลงโตสมวัย ยังเป็นเพลงรักอยู่นั่นแหละ แต่มันเริ่มนามธรรมขึ้น
ส่วนการทำงาน ชุดแรกเหมือนเป็น One Man Show จริงๆ ทุกสิ่งของเพนกวิน วิลล่าต้องออกมาจากตัวผม ตั้งแต่เริ่มกระบวนการ จนถึงมิกซ์เอง มาสเตอร์เอง แต่ชุดนี้มันผ่อนคลายกว่านั้น คือส่งให้พี่รุ่งมาสเตอร์เองเลย อย่างมิวสิควีดีโอชุดแรก เพลง Acrophobia ก็ได้น้องที่รู้จักกันอยากทำแอนิเมชั่นให้ ก็ทำขำๆ สบายๆ แต่เอ็มเพลง เว… (Way) เนี่ย พี่รุ่งอยากได้ภาพสวยๆ ซึ่งเขาก็จัดการกันเอง เราก็ทำงานแค่พาร์ตของเพลงของเราไป
แล้วพาร์ตไหนของการทำงานที่คุณชอบที่สุด
ผมชอบพาร์ตการเรียบเรียงดนตรีมากกว่า เนื้อร้องไม่ได้คิดเยอะ เริ่มจากคำๆ หนึ่งเหมือนเพลงเธอคือความฝัน แล้วไหลไป เมื่อก่อนจะคิดพล็อต แต่เดี๋ยวนี้ชอบให้ทำนองมันสร้างคำขึ้นมา แล้วค่อยให้คำนั้นมันพาไปเรื่อยๆ เอง ผมจะฮัมเมโลดี้จนมันเริ่มสวยงาม แล้วค่อยเอามาใส่เนื้อ อย่างอัลบั้มนี้ เพลง เว… (Way) อยากได้เมโลดี้อะไรที่มันซึ้งๆ แต่คิดประโยคแรกไม่ออก ไม่เป็นไร งั้นคิดประโยค 2 ‘ความต่างที่ฟ้าและพื้นดินก็ไม่อาจเข้าใจ’ เห้ย บางทีผมเองยังไม่เข้าใจเลยนะว่ามันหมายความว่าอะไรวะ คือเมื่อก่อนเพนกวิน วิลล่าก็ไม่ได้ Abstract ขนาดนี้ มันเป็นโปรเซสที่มึนงงของผมเอง (หัวเราะ) คือผมรู้สึกว่าเพลงดีๆ มันควรมีสิ่งนี้ มันควรมีคำที่จำได้ คล่องปาก แต่ไม่ใช่จำได้แบบง่ายไป ต้องมีชั้นเชิง มีลูกเล่น
ต่างกับเพลงโฆษณาซึ่งง่ายกว่า เพราะมันมีโจทย์ ไม่ต้องใช้คำประดิษฐ์ประดอยมาก ขอให้ประโยคท้ายมีลูกขาย เช่น ‘ฉันสบายใจ’ โอเค ชัด จบ แต่พอเป็นเพลงเรา เห้ย ไม่ได้ว่ะ ต้องโชว์ของหน่อย รู้สึกว่าประโยคที่มันคล่องปาก มันรู้สึกดี เวลาคนร้องต่อๆ กันไปอีกกี่ปีมันก็ยังเป็นประโยคนั้นอยู่
อะไรที่ทำให้คิดว่าถึงเวลาแล้วที่ต้องมีคอนเสิร์ตใหญ่ของตัวเองสักที
เกิดจากพี่รุ่ง เขาบอกว่ากระแสมันก็พอมี ในสเกลของเพนกวินเองมันดีเลย ไม่ได้เทียบกับวงอื่นนะ ถ้าพ้นปีนี้ไปอาจไม่ทันแล้ว เราเคาะกันว่างั้นมีคอนเสิร์ตเลยละกัน มันไม่ได้แมสขึ้นหรืออะไรหรอก ผมว่าเราแค่รักษากลุ่มที่ชอบเราไว้ มันอาจนำพาไปสู่กลุ่มคนฟังที่กว้างขึ้นได้
เท่าที่ผ่านมา ผมรู้สึกเหมือนยังมีแฟนเพลงที่แอบซ่อนอยู่มาก เห็นชัดเลยตอนมีอัลบั้ม 2 เขาก็คงเหมือนเราที่ไม่ได้โชว์ออฟมาก การประกาศตัวเป็นแฟนเพนกวินอาจจะดูเขินๆ หน่อย หรืออาจจะดูแก่ได้ (หัวเราะ) แต่มันก็มีคนอินกับเราจำนวนหนึ่งเหมือนกันแฮะ
กดดันมั้ย
สุดๆ ครับ ถึงแม้ว่าจะรู้ว่าคนที่มาส่วนใหญ่เป็นพี่น้องในวงการกันเกือบครึ่ง มันก็กดดันอยู่ดี ช่วงนี้เลยจับกีตาร์ซ้อมเยอะหน่อย เป็นช่วงนิ้วด้าน (ยิ้ม)
คุณแบ่งพาร์ตการเป็น Music Producer ให้กับค่าย กับการทำงานของตัวเองยังไง
ผมจะดูแค่ส่วนของเพลงโฆษณาอย่างเดียว เพราะเป็นสิ่งที่ทำมาตั้งแต่ต้น ทำมาตลอด ทุกวันนี้แทบจะไม่ต้องเจอกับโจทย์ใหม่อะไรมากมาย คุ้นกับมันอยู่แล้ว ส่วนเรื่องค่ายน้อยลงไปเยอะ ไม่เหมือนเมื่อก่อน ต้องเข้าประชุม ต้องทำเพลงที่ออฟฟิศตลอด ตอนนั้นมีความ CEO กว่านี้ ตอนนี้เป็นเรื่องของเพนกวินอย่างเดียว มีเป็นที่ปรึกษาให้วงน้องๆ ในค่ายบ้าง หรืออย่างไปโปรดิวซ์ให้วง Solitude is Bliss ที่เป็นศิลปินนอกค่ายบ้าง แต่เป็นวงที่พี่รุ่งชอบ ก็เลยน่าจะเป็นเครดิตที่ดีสำหรับผมแล้วก็สมอลล์รูม
ถ้าให้เพนกวินรุ่นพี่อย่างคุณมองวงการดนตรีตลอด 14 ปีที่ผ่านมา
ผมขอพูดตามมุมมองของคุณบิว วง Lemon Soup ละกัน ผมค่อนข้างเห็นด้วยที่เขาบอกว่า เมื่อตอนยุค 2000s มันเหมือนเป็นยุคการทำเพลงของนักเรียนศิลปะ เด็กสถาปัตย์ หรือเด็กนิเทศซะส่วนใหญ่ ส่วนยุคนี้จะเป็นเด็กนักเรียนดนตรี แต่จะไม่ใช่เด็กดนตรีที่ดูเป็นดุริยางค์จ๋าขนาดนั้นแล้ว เกิดการผสมผสานกันจนกลายเป็นเด็กเรียนดนตรีที่มีอาจารย์เป็นเด็กสถาปัตย์ งงมั้ย (หัวเราะ) คืออาจารย์เองก็เป็นผลผลิตจากยุค 2000s นั่นเอง มันเลยมีความสร้างสรรค์ของคนทำงานศิลปะ ผสมกับคนที่มีทักษะทางด้านดนตรี ซึ่งผมว่าดีมาก
แล้วการเป็นนักดนตรีนอกกระแสในปี 2000s นี่มันเป็นยังไงกันนะ
ช่วงปี 2000s ผมไม่ฟังเพลงไทยเลย รู้สึกไม่ค่อยอินกับมัน ชอบเพลงต่างประเทศมากกว่า แต่เป็นเพลงอินดี้นี่แหละ ตอนนั้น Fat Radio เฟื่องฟูและยิ่งใหญ่มาก เป็นยุคที่เรายังมีความหวังกับการฟังวิทยุกันอยู่ ถึงยังไงผมก็ยังไม่อินกับเพลงอินดี้ไทยอยู่ดี ก็เลยไม่ค่อยมีความกระตือรือร้นที่จะไปอยู่ในซีนของเพลงอินดี้มากเท่าไร แต่พอมาตอนนี้รู้สึกว่า เห้ย ทำไมเพลงของวงดนตรีรุ่นใหม่มันดีจังวะ (หัวเราะ) ทั้งเนื้อเพลง ทั้งดนตรี ทั้งสไตล์เลย
หรือมันเหมือนมองย้อนกลับไปเจอตัวเองในตอนเริ่มเล่นดนตรี
ก็อาจจะเป็นไปได้นะ คือผมพบว่าวงสมัยนี้ความคิดสร้างสรรค์เขามีจริงๆ มันทำให้ผมรู้สึกว่า ไม่ใช่แค่ผมที่เติบโต แต่เรามีนักดนตรีรุ่นใหม่กับคนฟังเพลงไทยที่โตไปด้วยกัน เราจะเห็นภาพความยิ่งใหญ่ของวงเล็กๆ นี่มั้งคงเป็นนความต่างของยุค 2000s กับยุคนี้ที่เรามีทรัพยากรบุคคลทางดนตรีที่ดีมากขึ้น
อะไรที่ทำให้คุณไม่ได้ลาออกไปเลี้ยงลูก หรือหันไปทำธุรกิจอื่นอย่างคนอื่นๆ เขา แต่ยังจับกีตาร์ แต่งเพลง และเล่นดนตรีอยู่
เออ จริงๆ ไปทำเพลงโฆษณาอย่างเดียวก็อยู่รอดแล้วเนอะ คงเป็นเพราะคุณค่าอะไรบางอย่างมั้ง เวลาทำเพลงโฆษณามันไม่ได้มีอารมณ์ซาบซึ้งในคุณค่าของมันขนาดนั้น เป็นงานที่รับโจทย์มาแล้วแก้ปัญหาไป ซึ่งการที่ผมอยู่กับมันมาหลายปีก็ทำให้ผมมีอาวุธมากมายที่จะต่อสู้กับปัญหาได้อยู่แล้ว แต่พอเป็นเพลงของเพนกวิน สิ่งที่ได้รับกลับมาคือคุณค่าเวลาคนบอกเราว่าเขารู้สึกกับมันยังไง เพลงของเราทำให้เขารู้สึกอะไร สิ่งนี้เลยทำให้ผมยังเล่นได้เรื่อยๆ ถ้ามันยังมีวงจรของคนฟังกับผม ถ้าคนฟังยังดีงามอยู่แบบนี้ ผมก็คงจะเล่นไปจนแก่เฒ่าแหละ อีกอย่างหนึ่งน่าจะเป็นเพราะวงดนตรีในยุคนี้ด้วย คือถ้ามันไม่ทำให้ผมอิน ผมคงไม่ได้รู้สึกอยากร่วมซีนด้วยขนาดนี้
หมายถึงว่าคุณรู้สึกดีกับวงน้องๆ เด็กๆ รุ่นใหม่จนอยากทำงานดนตรีต่อ
ใช่ มันเป็นอารมณ์แบบ โห อยากจะโดดลงไปเล่นด้วยเลยน่ะ (หัวเราะ)
เพนกวินในยุค 4.0 ได้ตามฟีดแบ็กของตัวเองบ้างมั้ย
คือผมสนุกกับโซเชียลฯ บ้างเหมือนกัน แต่จะไม่ได้ทุกช่องทางมากนัก มีเฟซบุ๊กบ้าง ยูทูปบ้าง ก็จะมีภรรยาผมนี่แหละที่ทำหน้าที่เป็นแอดมินส่วนตัว ดูแลใน Instagram เหมือนเป็น Notification เตือนเวลามีข้อความจากแฟนเพลงเข้ามา เขาชอบบอกว่า เนี่ย ทำไมไม่มาเล่นไอจีล่ะ คนมันเข้าถึงง่ายกว่านะ ประมาณนั้น (ยิ้ม)
นอกจากไอจีและโซเชียลต่างๆ สิ่งใหม่ที่คุณพ่อเพนกวินวัย 40 กว่ากำลังเรียนรู้อยู่ตอนนี้มีอะไรอีก
นอกจากแต่งเพลงกับเล่นดนตรีแล้วเนี่ย ผมเรียนรู้ที่จะไม่รีแอ็กชั่นในความคิด เหมือนผมเอามือไปปิดสมองในทุกเรื่อง ไม่ว่าจะเป็นเรื่องดีหรือไม่ดี ทุกอย่างจะรีบตัดที่ความคิดก่อน จะคอยระวังเวลามีอะไรเข้ามากระทบแล้วใจเราสวิงไปกับมัน กลายเป็นอารมณ์ต่างๆ มันอาจจะคล้ายๆ กับเรื่องการปรุงแต่งจิตแบบพุทธก็ได้นะ
สิ่งที่ทำแล้วเห็นผลเลยคือ ถ้าเป็นเมื่อก่อนเวลาโดนรถคันหลังบีบแตรใส่คงด่า ‘ไอ้สัสเอ๊ยยย!’ คือจะหัวร้อนนิดหนึ่ง เตรียมไฝว้ แต่พอเริ่มลองฝึกใจแบบนี้มันก็ค่อยเย็นลง ไม่รู้ว่าเรียกว่าค้นพบได้มั้ย แต่เป็นสิ่งที่กำลังทำอยู่ครับ
ตัดมาถึงช่วงขายของ เราจะได้เจออะไรในคอนเสิร์ตนี้บ้าง
ก็คงเล่นเพลงในอัลบั้มแรกด้วยครับ เช่นเพลงที่ไม่ค่อยได้เล่นที่ไหน รวมๆ แล้วน่าจะได้ประมาณ 24 เพลง
เอาจริงๆ สิ่งแรกที่คิดตอนรู้ว่าจะมีคอนเสิร์ตคือ ‘คนเขาคาดหวังอะไรกับเราวะ’ เพราะผมว่าคนฟังคงไม่ได้มอง เจ – เพนกวิน วิลล่าในแง่ของความเทพ ไม่ว่าเทพกีตาร์ หรือเทพร้อง แล้วก็คงไม่ถึงกับดูแล้ว ว้าวจังเลย เคลิบเคลิ้มมากก อะไรแบบนั้น มันคงเป็นภาพรวมที่อบอุ่นแบบพี่น้อง เหมือนงานคณะที่มาฟังรุ่นพี่เล่นกีตาร์ร้องเพลงให้ฟัง พอประกาศอย่างเป็นทางการว่าจะมีคอนเสิร์ต รุ่นน้อง รุ่นพี่ ลูกศิษย์ในวงการก็มาเลย ‘เดี๋ยวเจอกันพี่ เดี๋ยวไปแน่’
แล้วมันก็คงเป็นที่มาของชื่อคอนเสิร์ตว่า WHY FLY ซึ่งพี่รุ่งเป็นคนคิดขึ้นมาด้วย ผมเคยทำเสื้อขึ้นมาตัวหนึ่งเขียนว่า ‘I believe I can’t fly ฉันเชื่อว่าฉันบินไม่ได้’ ความไม่โชว์ออฟของเรามันอาจเป็นคาร์เเร็กเตอร์ไปแล้ว เหมือนนกเพนกวินที่บินไม่ได้น่ะ
ในเมื่อบินไม่เก่งก็ไม่ต้องบิน จะบินทำไมในเมื่อชาวเพนกวินเขาไม่บินกัน 🙂
LEO Presents Penguin Villa WHY FLY? Concert
Date : วันเสาร์ที่ 29 มิถุนายน 2562
Venue : Moonstar Studio
Tickets : Early Bird 799 บาท (ตั้งแต่วันนี้ – 1 พฤษภาคม) บัตรราคาปกติ 1,000 บาท
ซื้อบัตรได้ที่ : www.ticketmelon.com
RECOMMENDED CONTENT
Midea Group จับมือกับ “บาส-นัฐวุฒิ พูนพิริยะ” ผู้กำกับมากฝีมือจากภาพยนตร์เรื่องฉลาดเกมส์โกง และ เจ. วอลเตอร์ ธอมสัน กรุงเทพฯ สร้างสรรค์ผลงานโฆษณา จากเรื่องจริงสร้างแรงบันดาลใจให้ลุกขึ้นสู้เพื่อความฝันของนางแบบสาวชาวบราซิล Paola Antonini ที่ประสบอุบัติเหตุต้องใส่ขาเทียม