ร้าน Retailer ชื่อดังจากเมืองลอนดอนประเทศอังกฤษที่ชื่อว่า “Size?” ยังคงเป็นผู้โชคดีที่ได้สิทธิ์เป็นผู้ขายรองเท้ารุ่นพิเศษ กับโปรเจคต์ “Select Collection” ทีคอยคัดเลือกเอา Collection รุ่นเจ็บรุ่นเก๋าในอดีตทั้งหลายของ “Adidas Original” แบรนด์ยักษ์ใหญ่ของวงการรองเท้ากีฬารองเท้าผ้าใบ หยิบมาแปลงเป็นเวอร์ชั่นใหม่ให้เข้ากับแฟชั่นยุคนี้
คราวนี้เป็นทีของรุ่น Torsion Allegra รองเท้าวิ่งที่ตั้งแต่เปิดตัวเมื่อตอนการแข่งกีฬาโอลิมปิกปี 1992 ที่จัดที่ Barcelona (21 ปีมาแล้ว) หลังจากนั้นมาก็กลายเป็นรองเท้ารุ่นขวัญใจนักวิ่งและคนรักรองเท้าผ้าใบของ Adidas มาตลอด แต่ถึงคราวนี้จะอัพเดตกันในเวอร์ชั่นพิเศษที่ชื่อว่า “Alpine Ridge” ยังไง ก็รับประกันได้เลยว่าเสน่ห์ของรองเท้าวิ่ง Allegra จะยังอยู่ครบ ที่เปลี่ยนก็น่าจะเป็นเรื่องของการให้สีและกราฟฟิกบนรองเท้า ที่เห็นว่าได้แรงบันดาลใจมาจากแผนที่ Contour Map แผนที่ที่ใช้แสดงระดับความสูงเป็นชั้นๆตามหลักภูมิศาสตร์ (ถ้าใครนึกภาพตามไม่ออกก็ลองดูแบ็คกราวด์ในรูปที่เขาใช้จัดวางรองเท้ามานั่นล่ะ) ทำออกมาเป็นลวดลายกราฟฟิกนูนๆตรงๆซ้อนกันเป็นขั้นให้ความรู้สึกเหมือนดูพวกงานออกแบบสมัยที่ฮิตเทคโนโลยีสามมิติกัน (นานมากแล้วนะ) ในแง่การให้สีสันก็ทำออกมาให้เหมือนกับการใช้สีของแผนที่ระดับความสูง คือเป็นเฉดๆเข้มไปอ่อนจนไปขาว เหล่าวัสดุที่เป็นพื้นฐานการทำรองเท้าวิ่ง ก็พวกหนัง ผ้าไนล่อน และ Mesh ถูกย้อมให้เป็นสีสันแปลกตาอย่าง Cobalt Blue (สีน้ำเงินสด), Ice Grey (เทาอ่อน), Slime Green (เขียวสดอื๋อแบบเขียวในน้ำหนืดหนังการ์ตูน) ทั้งหมดมีให้เลือกสองสีสองแบบ เป็น Collection ที่ถือเป็นการจับเอาสุดยอดผลงานจากยุคทองรองเท้ากีฬารองเท้าวิ่ง มาพัฒนาให้เข้ากับสุนทรียแห่งยุคปัจจุบันได้อย่างลงตัว
สำหรับ The adidas Originals Torsion Allegra “Alpine Ridge” เริ่มวางขายกันไม่เกินอาทิตย์หน้านี่แน่นอนทั้งใน Shop และ Online (Shop ในที่นี้หมายถึงร้าน Size? ที่ลอนดอนนะ) ราคา £85 ตกเป็นเงินไทยก็ประมาณ 4,300 บาท แฟนๆ Adidas หรือนักสะสมรองเท้าผ้าใบคนไหนที่มีเวอร์ชั่นเก่าไปแล้ว ตัวใหม่ที่ว่านี้ก็น่าซื้อไม่แพ้กัน สนใจสั่งซื้อออนไลน์ได้เลย http://www.size.co.uk
Credit : Hypebeast
RECOMMENDED CONTENT
“Gimme Love” ซิงเกิลใหม่จาก Joji ต่อจากซิงเกิล “Run” ที่ปล่อยออกมาให้ฟังไปเมื่อเดือนกุมภาพันธ์ที่ผ่านมา และ “Sanctuary” ที่โกยยอดขายไปแล้ว RIAA Gold เมื่อกลางปี 2019 โดยทั้งสามซิงเกิลนี้เป็นการเปิดตัวอัลบั้มใหม่ชุดที่สอง