\
ทำไมถึงเลือกทำงานสายกราฟิตี้?
จริงๆก็ไม่ได้ตั้งใจจะเลือกจริงจังนะ พอดีช่วงนั้นตอนเรียนมีเพื่อน 2-3คนที่มีความสนใจพร้อมๆกัน เราก็เลยหาซื้อหนังสือมาเปิดดู ส่วนใหญ่คนอื่นที่เรียนในรุ่นเค้าจะเป็นสาย Fine Art กันหมด ด้วยความที่เราชอบเล่นสเก็ตบอร์ทไง เราชอบอะไรที่เป็น Culture นี้ พอรู้ว่ามันมีคำว่า “กราฟิตี้” ก็เริ่มสนใจบวกกับปกติเราเป็นคนชอบงานสาย Character อยู่ด้วย (คือมีตัวละครประจำศิลปิน) แต่ถ้าถามพวกกราฟิตี้จริงๆตอนเค้าเริ่มเค้าเริ่มจากตัวหนังสือหมดนะ ที่เราสนใจคาแรคเตอร์ก็เพราะมันมีความเป็นการ์ตูนที่ไม่ใช่การ์ตูนซะทีเดียว มันมีความจริงจังอยู่ในนั้น เราเลยตัดสินใจไปซื้อสีมาลองพ่นดูแรกๆก็ไม่ได้คิดอะไร แต่ทำๆไปมันสนุกพ่นแปบเดียวก็ได้งานชิ้นใหญ่ๆ เพราะงานแบบนี้มันเร็วไง ตอนนั้นก็ทำเรื่อยๆแต่ไม่ได้คิดว่าจะมาเป็นศิลปินกราฟิตี้ ตอนนั้นทำเพราะรู้สึกสนุกอย่างเดียว… จนสุดท้ายก็ทำมาจนถึงปัจจุบันนี่ล่ะ
ตอนนั้นมีคนทำงานกราฟิตี้เยอะไหม?
ของไทยเรามันเริ่มเมื่อประมาณ 10ปีก่อน มันจะมาพร้อมกับวัฒนธรรม Hip Hop เลย คนที่ทำด้วยกันมันก็มีเยอะนะแต่ส่วนใหญ่เวลาผ่านไปมันก็ล้มหายตายจากกันไปบ้าง คือบางคนก็มีหยุดทำเลิกทำกันไป ส่วนใหญ่พวกที่ยังทำอยู่ก็จะรู้จักกันดีถึงทุกวันนี้
ที่ได้ไปฝากผลงานที่ประเทศอังกฤษ กลับมาเป็นอย่างไรบ้าง ?
อังกฤษ จะว่าแล้วก็เป็นเมือง “Street Art” เราใช้คำว่า Street Art นะ ไม่ใช่กราฟิตี้ คือไปแถวย่าน Brick Lane เราจะเห็น Street Art เต็มไปหมดเลย แล้วคนที่นั่นมันอินกับ Culture นี้ คือจะมีการตามงานกันตลอด ศิลปินคนไหนใครทำงานที่ไหนบ้าง ทุกวันนี้ก็ยังส่งลิ้งค์กันมาว่าตอนนี้กำลังทำอะไรอยู่ แล้วอีกอย่างด้วยความที่เราเป็นคนไทย ที่นั่นไม่เคยมีคนไทยมาพ่น แล้วลอนดอนมันเหมือนศูนย์รวมมาจากทั่วโลกแต่คนเอเชียกลับไม่ค่อยมี
ผลตอบรับเป็นอย่างไร?
โดยรวมก็ถือว่า OK นะ เพราะว่าสไตล์เราที่นั่นมันไม่ค่อยมี คนมาดูเยอะแล้วพอบอกว่าเป็นคนไทยเค้ายิ่งชอบเพราะส่วนมากเค้าจะเคยมาเที่ยวเมืองไทยกันอยู่แล้ว สุดท้ายกลายเป็นเพื่อนกันไปเลย เค้าก็หากำแพงให้เราพ่นเต็มไปหมด รู้เลยว่าคนที่นั่นเค้าอินกับงาน Street Art มากๆ อย่างเล่าว่ามีอยู่ช่วงนึงเรากำลังจะพ่นแล้วมันมีทัวร์ “Jack The ripper” ผ่านมาพอดี (ทัวร์ท่องเที่ยวตามเส้นทางเรื่องราวฆาตกรหั่นศพของอังกฤษ) เราเห็นคนเยอะก็ไม่อยากพ่นเพราะกลัวเด็กจะเหม็นสี แต่เพื่อนอังกฤษที่พาไปเค้าบอกพ่นได้เลย เพราะเค้าอยากเห็นปฏิกริยากับคนที่ผ่านไปผ่านมากับ Street Art ผลสุดท้ายคนไม่ได้สนใจ Jack the ripper เท่าไหร่ หันมาดูเราพ่นแทน (ยิ้ม) …ก็โดยรวมไปครั้งนี้ก็สนุกดี
มุมมองในการดูงาน Street Art ของคนไทยกับคนอังกฤษต่างกันรึเปล่า?
จริงๆมันคล้ายกันเลยนะ… มันอาจจะต่างแค่ตรงที่ฝรั่งเค้าชอบพูด เค้าไม่กลัวที่จะแสดงความคิดเห็น แล้วยิ่งเราเป็นคนแปลกหน้าเค้ายิ่งอยากเข้ามาคุยด้วย บางทีเยอะจนเราแทบไม่ได้พ่นงานเลย (ยิ้ม) แต่ในไทยก็มีบ้างที่เข้ามาถามมาพูดคุย แต่อาจจะไม่เท่าฝรั่ง แล้วอีกอย่างที่อังกฤษเขามีทัวร์ดู Street Art กันด้วย ที่นู่นมันเลยดูเป็นเรื่องใกล้ตัวกับคนในสังคม อย่างงาน “Banksy” ก็โดนก๊อบเยอะ จนพอเราไปเห็นของจริงเลยไม่รู้สึกตื่นเต้นเหมือนตอนอยู่ไทย …แต่นั่นมันก็เป็นเป้าหมายของ Banksyเค้าล่ะ คือการกระจายงานให้โลกได้รู้
ส่วนตัวแล้วมีศิลปินที่เป็นแรงบันดาลใจไหม?
ที่ชอบเลยก็มี “โมเน่ต์” (Claude Monet 1840-1926 ศิลปินชื่อดังระดับโลกชาวฝรั่งเศส) ส่วนตัวเราชอบงานอิมเพรสชั่นนิส (ศิลปะแบบ Impressionist) ตอนไปอังกฤษก็ได้ไป National Museum ไปดูงานศิลปะ คือก่อนหน้านี้เราไม่เคยได้ดูผลงานจริงๆมาก่อนเลย พอไปเห็นของจริงต้องตบกระบานตัวเองเบาๆว่าตัวเองมัวแต่ไปอยู่ไหนมา เพราะถ้าเห็นงานจริงๆมันจะไม่เหมือนที่เราเคยดูภาพในหนังสือหรือใน Internetเลย พวกร่องรอยทีแปลง เรื่องสี อะไรลงก่อนลงหลัง อะไรปูดอะไรไม่ปูด บางทีเราดูที่บ้านมันปูดทั้งภาพไง อย่างเช่นรูปดังๆของเขา รูปบึงบัวที่มีสะพานข้าม จริงๆมันปูดอยู่แค่ตรงบัว หรือบางรูปเขาไม่ได้ลงสีแน่นทั้งเฟรม เขาเลือกอัดอยู่แค่ตรงกลางเฟรม… คือโดยรวมเราได้เห็นเทคนิคที่เขาใช้ชัดมากขึ้น สมัยก่อนตอนเรียนจบมา แรกๆก็นั่งก๊อปงานยุคอิมเพรชชั่นนิสขายนี่ล่ะ เพราะตอนเรียนเราโครตบ้าอิมเพรสชั่นนิสเลย เวลาไปมีตติ้งกับคณะที่เชียงใหม่เราจะพยายามพกอุปกรณ์ไปเขียนงาน ตอนนั้นใจมันอยากจะเป็นโมเน่ต์ (ยิ้ม)
เวลาคิดงานส่วนใหญ่ Idea เกิดจากอะไร?
มันก็คงเป็นเรื่องรอบตัว ส่วนใหญ่เป็นสภาพแวดล้อมตอนนั้นว่าเรารู้สึกยังไง เหมือนมีครั้งนึงเราเคยไปทะเล เราก็นั่งเล่นสบายๆ พอถึงเวลาต้องพ่นงานก็ไม่รู้จะพ่นอะไร บางทีมันคิดมากไป จนสมองมันเบลอ มัน Shut Down พอไปเจอกำแพงที่มันมีต้นไม้ร่มๆแล้วเราคิดในใจว่าน่าจะผูกเปลนอนตรงนี้จัง ก็พ่นขึ้นมาเลย เหมือนกับบางครั้งงานมันออกมาจากตัวเรานั่นล่ะ แล้วเวลาเราพ่นเราก็สอดแทรกอะไรบางอย่างให้เกิดการตีความได้ เช่นตอนไปพ่นที่อังกฤษเราเห็นทุกคนบ่นว่าหนาวกัน เราก็เลยพ่นเด็กนอนขดตัวอยู่ แล้วก็พ่นกองไฟข้างๆเพื่อให้คนรู้สึกว่าหนาวก็ผิงไฟสิ ให้คนได้รู้สึกไปกับงาน เล่นไปกับพื้นที่
ตอนนี้มีงานอะไรให้ติดตามบ้าง?
ตอนนี้ก็กำลังจะมีไปพ่นที่ไต้หวัน ชื่อโปรเจค “ไทยไท” เหมือนเป็นการร่วมงานระหว่าง “ไทย” กับ “ไทเป” ซึ่งฝั่งทีมไต้หวันเค้าเคยมาทำโปรเจคที่เยาวราชกับคนไทยประมาณ 2 เดือนไปแล้ว คราวนี้ก็เลยจะไปทำที่ไต้หวันบ้าง แต่จริงๆโปรเจคนี้เราโดนตัดงบไปเรียบร้อยแล้วล่ะ แต่ส่วนตัวเราอยากไปทำงานที่นั่นจริงๆ เราเลยบอกเค้าว่าให้เราออกเงินเองก็ได้ คือจะยังไงก็แล้วแต่ขอให้ผมมีที่พ่น ที่อยากไปเพราะมันเป็นโอกาสจะได้เรียนรู้ด้วยว่าบริบท Street Artของที่นั่นมันเป็นยังไง คำว่ากราฟิตี้เป็นยังไง คนเป็นยังไง เหมือนเราได้รู้ฟีตแบคของคนต่างประเทศและได้ไปดู Culture เค้าด้วย
Photographer: Pakkawat Tanghom
RECOMMENDED CONTENT
ต่อไปนี้หากคุณและเราถูกผรุสวาทด้วยคำประเภทว่า ไอ้สัตว์, ไอ้สัด, ไอ้สัส หรือ ไอส๊าสสสสส ก็อย่าเพิ่งโกรธไป เพราะเราเองนี่แหละที่อาจกำลังกลายเป็นสัตว์ (ป่า) กันอยู่ในทุกๆ วัน! I Gone wild (everyday) คือเอ็กซิบิชั่นที่อยากให้เรากลับไปทบทวนความ ‘ดิบ’ ในตัวเอง ว่าสัตว์ในตัวเราคืออะไร และเรายังเหลือความเป็นมนุษย์กันอยู่มากน้อยแค่ไหน!?