กลับมาแล้วจ้า กับคอลัมน์ Chillax ใครที่เป็นแฟนคอลัมน์นี้อย่าเพิ่งงอนที่เราห่างหายไป เพราะวันนี้เราจะพาทุกคนไปทำความรู้จักกับ “Another Hound Cafe” (อนาเธอร์ ฮาวด์ คาเฟ่) ที่ศูนย์การค้า ดิเอ็มโพเรียม ตั้งแต่ที่เอ็มโพเรียมได้รับการปรับปรุงครั้งใหม่นี่มีใครได้แวะไปทานอาหารที่ Another Hound Cafe กันหรือยังเอ่ย? ถ้าใครยังไม่เคยมีโอกาสได้แวะไป ขอบอกว่าวันนี้ is your lucky day เพราะเราจะพาคุณไปสัมผัสบรรยากาศสุดแกลม และแนะนำอาหารสุดพิเศษของที่นี่ให้คุณแบบใกล้ชิด ว่าแล้วก็เขยิบมาใกล้ๆ แล้วไปทำความรู้จักพร้อมๆกันเลย!
ถ้าใครได้ไปเดินเล่นแถวๆชั้น 1 ที่เอ็มโพเรียม แล้วเหลือบไปเห็นว่าร้าน Greyhound Cafe สุดโปรดของตัวเองได้หายไปแล้ว และแทนที่ด้วยร้านหน้าตาชิคแกรมที่มีชื่อคล้ายๆกันว่า Another Hound Cafe ก็อย่าเพิ่งตกใจค่ะ เพราะ Another Hound Cafe เป็นร้านอาหารในเครือ Greyhound Cafe ที่มาพร้อมความแตกต่างภายใต้คอนเซ็ปต์ “Chic & Glam Italian-Asian Twist with Seafood & Champagne Bar” โดยจะเน้นไปที่เมนูอาหารสไตล์ลูกครึ่งไทย-อิตาเลียน ซึ่งจะแตกต่างจากเมนูอาหารสไตล์ไทยๆเอเชียนๆของร้าน Greyhound Cafe อย่างสิ้นเชิง แต่ก่อนที่พวกเราจะเจาะลึกเรื่องเมนูอาหารของทางร้าน เราขอพาทุกคนไปสัมผัสกับบรรยากาศและการตกแต่งของ Another Hound Cafe สาขาใหม่นี้กันก่อน ถ้าใครเคยได้ไป Another Hound Cafe สาขาแรกที่สยามพารากอน และรู้สึกว่าที่นั่นคูลสุดๆแล้ว ขอบอกว่าที่สาขาใหม่นี้มีความพิเศษยิ่งกว่า เพราะที่นี่เขาได้ยกระดับการออกแบบร้าน และบรรยากาศให้เป็นสไตล์ Chic & Glam ที่แตกต่างจาก Greyhound Cafe อย่างชัดเจน อีกทั้งให้ยังสอดคล้องกับการฉลองรับการปรับปรุงครั้งใหญ่ที่ยกระดับให้เอ็มโพเรียมเป็นศูนย์การค้าระดับ World Class ด้วย ดังนั้นพอเข้าในร้านปุ๊ปจะรู้สึกเลยว่าร้านนี้มีความหรูค่อนข้างมาก ทุกอย่าง ดูชิค และทันสมัย การตกแต่งโดยรวมในความรู้สึกเรายังคงกลิ่นอาย และเอกลักษณ์บางส่วนของ Greyhound Cafe ไว้อยู่ แต่เพิ่มระดับความแกลมและลูกเล่นอื่นๆเข้ามา อาทิ การใช้กระจกเงาสีแชมเปญแทนการใช้กระเบื้องแบบเดิมๆตรงส่วนแชมเปญบาร์ พื้นโมเสกที่มีการจัดวางและขัดสีลวดลายในสไตล์อิตาเลียนโบราณ แชนดาเลียห้อยระย้าสีขาวดูร่วมสมัย และการโค้งเว้าของซุ้มประตูของหนึ่งในโซนทานอาหารเป็นต้น ที่โดยรวมแล้วให้ความรู้สึกของการผสมผสานระหว่างการตกแต่งแบบโมเดิร์น แบบอิตาเลียน และความออเธนทิคของการตกแต่งสไตล์เอเชียนได้อย่างสวยงาม คือสรุปแล้วทุกมุมของร้านนี้ดูสลวยสวยเก๋ ใครที่ชอบเล่นอินสตาแกรม เชื่อว่าต้องเสร็จทุกราย เพราะต้องเกิดอาการคันไม้คันมืออยากงัดมือถือมาถ่ายรูปอวดเพื่อนๆกันเป็นแถวแน่ๆ นอกจากการตกแต่งที่ so chic and glam สุดๆแล้ว ที่เราชอบไม่แพ้กันคือบรรยากาศที่มีความโล่ง โปร่งสบาย มีหลายโซนให้เลือกนั่งทานอาหารได้ตามใจชอบ และยังสามารถสัมผัสได้ถึงความชิลล์เป็นกันเองของพนักงาน
เอาล่ะ ได้เวลามาพูดถึงเมนูอาหารของร้านนี้กันบ้าง ต้องบอกก่อนว่าอีกหนึ่งคอนเซ็ปท์สำคัญของ Another Hound Cafe ก็คือความเป็นร้านอาหารแบบ “Affordable Luxury” คือถึงแม่ว่าร้านจะมีความหรูหราขนาดไหน หรือคุณภาพของวัตถุดิบจะคัดมาในราคาสูงเท่าไร คุณก็ยังสามารถมานั่งทานอาหารที่ร้านนี้ได้ในความรู้สึกที่ผ่อนคลาย เข้าถึงได้ และมีความเป็นกันเอง ไมว่าจะเป็นสำหรับมื้อกลางวัน ไฮทียามบ่าย หรืออาหารค่ำก็ตาม ซึ่งถ้าอยากจะรู้สึกรีแล็กซ์จริงๆ เราขอแนะนำให้นั่งตรงโซนติดกระจกที่สามารถมองเห็นวิวมุมกว้างของสวนเบญจสิริที่อยู่ติดกัน เพราะโซนนี้จะได้รับแสงธรรมชาติอย่างเต็มที่ ได้ทานอาหารไปด้วย ชมวิวไปด้วยอย่างนี้ก็ฟินสิคะ โอเค เข้าเรื่องอาหารกันเลยดีกว่า เมนูอาหาร และเครื่องดื่มของ Another Hound Cafe มีให้เลือกเยอะมากๆ แต่ละอย่างดูน่าทานและดูพิเศษทั้งนั้นเลย เป็นเมนูอาหารสไตล์ลูกครึ่งไทย-อิตาเลียน ซึ่งเราขอเริ่มที่เครื่องดื่มก่อนเลย เราขอแนะนำ “Virgin Lavender Mojito” (180 บาท) ที่มีส่วนผสมของลาเวนเดอร์ไซรัป ซีกมะนาว ใบมิ้นท์ และโซดา เป็นม็อกเทลที่ดื่มแล้วสดชื่นมากๆ ดื่มแล้วหายเหนื่อยไปเลย รสชาติหวานเปรี้ยวกำลังดี หอมกลิ่นลาเวนเดอร์ และใบมิ้นท์ “AHC Iced Coffee” (120 บาท) กาแฟเบลนด์สูตรของทางร้าน ผสมครีม และแบล็คเคอแรนท์ไซรัป รสชาติออกขมๆปนหวานนิดๆเปรี้ยวหน่อยๆ ให้ความรู้สึกเหมือนกำลังกินไอศกรีมกาแฟผสมโยเกิร์ต รสชาติค่อนข้างเข้มข้น ให้ความรู้สึกแปลกใหม่อยู่ไม่น้อย และ “Fresh Kiss” (350 บาท) ค็อกเทลดื่มสบายๆเบาๆ มีส่วนผสมของ Ketel One, Campari, ลิ้นจี่ แตงโมสด และน้ำมะนาว เชื่อว่าสาวๆเห็นแล้วน่าจะชอบ เพราะสีจะออกแดงๆชมพูๆ มีแก้วค็อกเทล และขวดที่บรรจุน้ำค็อกเทลจุ่มในถังน้ำแข็งแยกมาให้ต่างหาก หน้าตาดูกุ๊กกิ๊กเก๋ไก๋ดี เหมาะสำหรับเป็นค็อกเทลให้สาวๆดื่มโดยเฉพาะ
“ทูน่าแซ่บ”
“สลัดเป็ดย่าง”
“Fresh Oyster-Barron Point Premium Size Platter”
สำหรับ appetizer อาหารทานเล่น เราได้ลอง 3 เมนู คือ “ทูน่าแซ่บ” (350 บาท) ทูน่าสดหั่นเต๋าคลุกเคล้ากับวาซาบิ ราดด้วยน้ำสลัดขิงกับโชยุ ใส่แคบหมู และหัวไชเท้าแดงหั่นฝอย จานนี้ชอบตรงที่ทานแล้วให้ความรู้สึกสดชื่น เนื้อทูน่าสดเย็นๆคลุกไปกับรสชาติหวานๆเค็มๆของซอสโชยุ และความเผ็ดหน่อยๆของวาซาบิ เป็นอะไรที่ทานได้เพลินมากๆ ยิ่งมีชิ้นแคบหมูหั่นเป็นชิ้นเล็กบางๆกรุบกรอบใส่เข้าไปด้วย รู้ตัวอีกทีก็ทานเกือบหมดจานแล้ว ต่อด้วย “สลัดเป็ดย่าง” (380 บาท) เป็ดย่างเนื้อนุ่ม ถั่วแขก ถั่วลันเตาหวาน มะม่วงสุกและเมล็ดทับทิม คลุกเคล้ากับน้ำสลัดซีอิ๊วดำ จานนี้ต้องบอกตามตรงว่ายังไม่ค่อยถูกปากเราเท่าไหร่ เพราะรู้สึกว่าเป็ดเนื้อนุ่มจริง แต่ค่อนข้างมีกลิ่นแรง น้ำสลัดซีอิ๊วดำที่มีรสชาติออกหวานก็ยังไม่สามารถกลบกลิ่นของเป็ดได้ อาจเป็นเพราะเราเป็นคนไม่ค่อยทานเป็ดบ่อยเท่าไหร่เลยรู้สึกไม่ค่อยคุ้นเคย คงต้องให้ผู้ที่ชื่นชอบการทานเป็ดไปพิสูจน์จานนี้กันเอาเอง และสุดท้ายกับ “Fresh Oyster-Barron Point Premium Size Platter” (750 บาท) หอยนางรมสดพันธ์ Barron Point ทานกับน้ำส้มไวน์แดง หรือน้ำยำพร้อมเครื่องเคียงครบครันแบบไทยแท้ จานนี้บอกเลยว่าเห็นแล้วต้องร้องว้าว! เพราะเป็นจานที่จัดวางได้อย่างสวยงาม และน่ารับประทานเป็นที่สุด ส่วนตัวหอยนั้นเนื้อแน่น ทานแล้วรู้สึกใหญ่เต็มคำดีจัง จะกระดกเอาเข้าปากเลย หรือนำเนื้อมาหั่นบนจาน แล้วจิ้มทานก็ไม่มีใครว่า แล้วแต่ถนัด (เพราะเนื้อหอยเขาขนาดใหญ่จริงๆค่ะคุณผู้อ่าน) แต่ก่อนจะเอาเข้าปาก ถ้าจะให้แซ่บแบบไทยๆก็ต้องทานคู่กับน้ำยำ หรือถ้าอยากจะลองทานแบบอินเตอร์ ก็บีบเลม่อนแล้วทานคู่กับน้ำส้มไวน์แดง แต่ส่วนตัวแล้วรู้สึกว่า จะทานหอยนางรมให้อร่อย มันต้องทานคู่กับน้ำยำสไตล์ไทยแลนด์บ้านเรานี่แหละ แซ่บลืม!
“Virgin Lavender Mojito” และ “Fresh Kiss”
“สปาเก็ตตี้ผัดพริกเกลือกับ Canadian Lobster”
คราวนี้มาพูดถึงอาหารจากหลักกันบ้าง กับ “สปาเก็ตตี้ผัดพริกเกลือกับ Canadian Lobster” (1,290 บาท) โอ้โห จานนี้เห็นแล้วน้ำลายไหล เรียกน้ำย่อยได้ดีแท้ๆ เพราะสีสันน่าทานมากๆ แถมขนาดของตัวล็อบสเตอร์ก็ใหญ่ยักษ์คับจานเสียขนาดนั้น โดยนำเอามาผัดพริกกระเทียมแบบไทยๆ รสชาติจัดจ้านเข้าเส้น ส่วนเนื้อล็อบสเตอร์ก็แน่น และหวาน ทานเสร็จแล้วรู้สึกอิ่มแปร้กันเลยทีเดียว เป็นสปาเก็ตตี้ผัดแห้งที่น่าจะถูกลิ้นคนไทยได้ไม่ยาก แต่ถ้าใครอยากลองทานสปาเก็ตตี้จานดังกล่าวแบบสไตล์ฝรั่งหน่อย ที่ร้านนี้เขาก็มีให้คุณเลือก โดยจะนำล็อบสเตอร์ไปผัดกับไวน์ขาว และซอสมะเขือเทศสด พอให้มีน้ำขลุกขลิก เรียกได้ว่าเมนูอาหารของร้านนี้ได้คำนึงถึงกลุ่มลูกค้าทั้งชาวไทย และชาวต่างชาติได้เป็นอย่างดี
“ฟักทองคัสตาร์ด”
“Lemon Curd Crumble”
ปิดท้ายด้วยของหวาน เราขอแนะนำเมนูขึ้นชื่อของที่นี่ กับ “ฟักทองคัสตาร์ด” (280 บาท) คัสตาร์ดสังขยาเนื้อเนียน เคลือบน้ำตาลไหม้แผ่นบางกรอบในบัตเตอร์นัทสควอทช์ (ฟักทองฝรั่ง) เนื้อหวานมัน ตกแต่งด้วยคาราเมลน้ำตาลมะพร้าว โอ้…ใครที่ชอบทานขนมไทย หรือใครที่ชอบทานคัสตาร์ดของฝรั่งเป็นต้องชอบกันทั้งสองฝ่ายแน่ๆ เพราะนี่คือจานขนมที่นำจุดเด่นของขนมหวานทั้งสองฝั่งมามิกซ์กันได้อย่างลงตัว เป็นจานแบบ East meets West ที่น่าประทับใจ และสุดท้าย “Lemon Curd Crumble” (220 บาท) ครัมเบิ้ลทาร์ต ที่มีส่วนผสมของเลม่อนเคิร์ด (lemon curd) หรือแยมผลไม้ผสมคัสตาร์ดรสเลม่อน และเนยแข็งมาส์คาร์โปเน (mascarpone) เสิร์ฟพร้อมวิปครีม และโรยหน้าด้วยผงกาแฟ ใครที่ชอบทานพวกชีสเค้ก หรือพวกครัมเบิ้ลอย่างเรา มาเจอเมนูนี้ต้องชอบทุกราย เพราะเนื้ออันเข้มข้นของเลม่อนเคิร์ดมันช่างหอมมันมากๆ กินกับส่วนที่เป็นครัมเบิ้ลกรอบๆก็เข้ากั๊นเข้ากัน คือไม่รู้จะอธิบายยังไงนอกจากว่ารสชาติมันใช่อ่ะ เป็นจานที่กินตบท้ายได้อย่างรู้สึกอิ่มเอม จบมื้ออาหารได้อย่างแฮปปี้ ยิ้มแป้นกันถ้วนหน้า
ด้วยคอนเซ็ปท์ใหม่ของการพลิกโฉม Another Hound Cafe สาขานี้ ให้สอดคล้องกับการปรับปรุงยกระดับของดิเอ็มโพเรียม เมนูอาหารบางอย่างของสาขานี้จึงมีความพิเศษที่แตกต่างออกไปจากสาขาแรกที่ สยาม พารากอน รวมถึง Greyhound Cafe แต่ด้วยเสียงเรียกร้องของลูกค้า Greyhound Cafe ทาง Another Hound Cafe จึงเก็บเมนูที่เป็นอาหารสุดโปรดของแฟน Greyhound Cafe ไว้บางเมนู ถ้าจะถามถึงความประทับใจที่เรามีต่อ Another Hound Cafe หลักๆเลยคือเมนูอาหารที่ทำออกมาได้สร้างสรรค์มากๆ เป็นการผสมผสานรสชาติ และวิธีทำอาหารของ 2 วัฒนธรรม ไทย-อิตาเลี่ยน ได้ออกมาน่าตื่นเต้น มีความลงตัว กินง่าย และที่สำคัญคืออร่อย นอกจากนี้บรรยากาศของร้านก็ยังมีความเป็นกันเอง ถึงแม้จะเป็นร้านอาหารออกหรูนิดๆ แต่ก็ยังมีความเข้าถึงได้ เป็นอีกหนึ่งร้านที่เราอยากแนะนำให้ไปลองสัมผัสด้วยตัวเองดูสักครั้ง โดยเฉพาะในวาระโอกาสพิเศษสำหรับคุณและครอบครัว หรือมีนัดดินเนอร์กับเพื่อนๆหรือแค่อยากลองเปลี่ยนบรรยากาศ หาร้านอาหารดีๆสักร้านนั่งกิน ดื่มหลังเลิกงานให้บรรเทาอาการเหนื่อยล้ามาทั้งวันก็ยังได้
ตั้งอยู่ที่: ชั้น 1 The Emporium
Tel: 02-664-8663
Website: http://www.anotherhoundcafe.com/
Facebook: https://www.facebook.com/AnotherHoundCafe
Writer: Thip S. Selley
Photographer: Pakkawat Tanghom
RECOMMENDED CONTENT
“โรคร้ายไม่ใช่เรื่องของคนคนเดียว” เพราะโรคร้ายไม่ได้ทำร้ายแค่ผู้ป่วยเพียงคนเดียว แต่ยังมีคนในครอบครัวและคนอีกหลายคนที่ต้องเจ็บปวดและได้รับผลกระทบเช่นกัน การช่วยเหลือผู้ป่วยให้ได้รับการรักษานั้น เท่ากับเราได้ช่วยเหลือคนมากกว่าหนึ่งคน