ผลงานการออกแบบจากการร่วมมือกันระหว่างประติมากรชาวอังกฤษ “Anish Kapoor” (ชื่ออาจดูไม่เหมือนคนอังกฤษเพราะเขามีเชื้อชาติเป็นคนอินเดีย) และสถาปนิกชาวญี่ปุ่น “Arata Isozaki” ด้วยส่วนผสมอันลงตัวที่ไม่รู้ว่าไปรวมกันอีท่าไหน เกิดเป็นสถาปัตยกรรมที่สามารถพกพาไปไหนมาไหนก็ได้ (พูดให้ถูกคือเคลื่อนย้ายได้ดีกว่า) เป็นอาคารขนาดใหญ่ที่สามารถจุคนได้ถึง 500 คน! เอาไว้จัดงานแสดงใหญ่ๆ จะเป็นงานคอนเสิร์ต งานศิลปะการแสดงแสดง หรือพวกเวิร์คช็อปได้หมด เดี๋ยวนะ… ถ้าบอกว่าใหญ่ขนาดนี้ แล้วพกพาได้ด้วย นี่มันคืออะไรกันแน่เนี่ย …หลักการทำงานของมันก็ไม่ยากเลย ใช้หลักการเดียวกันกับสระน้ำจิ๋วที่เอาไว้สูบลมเล่นตอนเด็กๆ เมื่อต้องการจะใช้ก็สูบลม พอเลิกเล่นก็ปล่อยลมออกเก็บกลับบ้านได้ พูดเหมือนง่ายมากแต่อย่าลืมว่านี่มันเป็นขนาดใหญ่มหึมาเลยนะ ถ้านึกถึงบ้านลมออก ลองนึกต่อไปอีกเป็นสิบเท่า อ้อ! เอาใหม่ๆถ้างั้นเปรียบเทียบให้้เห็นภาพคือ มันเป็นเหมือนบอลลูนยักษ์เพียงแต่ไม่ลอยไปไหนและให้คนเข้าไปนั่งข้างในได้นั่นเอง
ฟังแบบนี้ก็เริ่มสนุกขึ้นมาละ ผลงานที่ว่านี้เป็นส่วนหนึ่งของเทศกาล Lucerne Festival Ark Nova ซึ่งทีมผู้จัดต้องการจัดงานนี้ขึ้นมาเพื่อเรียกขวัญกำลังใจของชาวญี่ปุ่นกลับมาจากตอนเจอภัยธรรมชาติ (สึนามิและแผ่นดินไหวครั้งใหญ่เมื่อตอนปี 2011) จัดเป็นงานเทศกาลดนตรีและเอาเจ้า Ark Novaที่ว่ามารับหน้าที่เป็น Concert Hall ทัวร์ไปตามจังหวัดต่างๆ นอกจากนั้นผลงานชิ้นนี้ยังมีอีกลูกเล่นเล็กๆน้อยๆคือด้วยความที่เจ้าบอลลูนยักษ์มีพื้นผิวเป็นเหมือนสีม่วงมังคุด เมื่อสูบลมเต็มที่แล้วเข้าไปนั่งข้างในคุณก็จะได้เห็นโถงใหญ่ดีไซน์โค้งๆที่มีเสาวางระหว่าง แสดงให้เห็นถึงฝีมือของนักออกแบบเล่นกับรูปทรงจริงๆ และจากผนังสีม่วงทึบเมื่อโดนแสงกระทบจากข้างนอกก็จะกลายเป็นสีชมพูอ่อนไล่ระดับสี ดูสวยอลังการณ์งานสร้างมากๆ พร้อมมีเก้าอี้นั่งข้างในเป็นเก้าอี้ไม้ทำมือน่ารักๆสวยๆวางเรียงไว้รอคุณผู้ชมทั้งหลายอีกด้วย รวมๆดูเป็นสถาปัตยกรรมก้อนกลมดิ้กที่เหมือนจะหลุดมาจากโลกอนาคตยังไงไม่รู้… ใครที่อ่านมาตั้งนานแล้วมองไม่เห็นภาพก็ลองเลื่อนภาพที่เราเอามาฝากกันดูได้ พอเห็นของช่างคิดแบบนี้ทีไรก็น่าอิจฉาคนญี่ปุ่นเขาจริงๆเลย เป็นประเทศที่มีงานสร้างสรรค์ดีๆออกมา และมีเอกลักษณ์ไม่แพ้ชาติใดในโลกเลยจริงๆ ขอยกนิ้วให้กับสุดยอดคนเก่งของญี่ปุ่น (ยกนิ้ว)
Credit : Designboom
RECOMMENDED CONTENT
ภาพยนตร์อันน่าสนใจโดยผู้กำกับมัวร์คาร์เบล เรื่องนี้ได้ตามติดและถ่ายทอดชีวิตของเลดี้ กาก้าตลอดระยะเวลา 8 เดือน