เอาใจชาว Dooddot ที่พิสมัยในเรื่องของการ ‘ดื่ม’ ด้วยคอลัมน์ใหม่ของเรา Behind Bar ที่เราจะพาทุกคนไปทำความรู้จักกับร้านอาหาร บาร์ และคาเฟ่ ที่โดดเด่นในเรื่องของเครื่องดื่มโดยเฉพาะ รวมถึงคัลเจอร์และศาสตร์ในการทำ/ดื่มเครื่องดื่มแต่ละชนิดอย่างใกล้ชิด ซึ่งร้านแรกที่เราจะประเดิมสำหรับคอลัมน์นี้ก็คือร้าน “Vesper” ร้านอาหารสไตล์ยูโรเปี้ยนและค็อกเทลบาร์ใจกลางย่านสีลม ที่ว่ากันว่าหากคุณอยากลิ้มลองรสชาติค็อกเทลคุณภาพเยี่ยมมีระดับ หรือรู้ตัวว่าตัวเองเป็น serious cocktail drinker แล้วล่ะก็ ร้านนี้คือร้านสำหรับคุณ เพราะฉะนั้นหากคุณกำลังสนใจในเรื่องค็อกเทลๆอยู่พอดี หรือกำลังมองหาร้านดื่มร้านใหม่หลังเลิกงานเจ๋งๆสักที่ เขยิบเข้ามาใกล้ๆเลยค่ะ แล้วไปทำความรู้จักกับ Vesper พร้อมๆกันเลย
แค่ได้ยินชื่อ “Vesper” ที่มีที่มาจาก Vesper Martini ค็อกเทลแก้วโปรดของ James Bond ก็พอจะเดาได้แล้วว่าร้านนี้จะต้องมีความคูลอยู่พอสมควรแน่นอน ยิ่งเมื่อเราได้ก้าวเท้าเข้าไปในร้านก็ยิ่งคิดไม่ผิด เพราะคุณจะถูกต้อนรับด้วยความสง่างามของการตกแต่งที่ผสมผสานกลิ่นอายความเป็น gentlemen’s club และ bistro สไตล์ยูโรเปี้ยน ไม่ว่าจะเป็นพวกเก้าอี้ไม้ และโซฟาหนังสีน้ำตาลแก่ ผนังอิฐสีเข้ม รูปภาพแผนที่แบบสมัยก่อน และที่พลาดไม่ได้ก็คือบาร์หินอ่อนขนาดยาว ที่ด้านหลังอัดแน่นไปด้วยขวดเหล้าแวววาวหลากสีสัน แถมยังมีถังเหล้าไม้โอ๊ควางเรียงกันเป็นชั้นๆอยู่ใกล้ๆ บอกตามตรงว่าจะไม่แปลกใจเลย ถ้าอยู่ดีๆเราจะเหลือบไปเห็นหนุ่มใหญ่สักคนกำลังนั่งคีบซิการ์ พร้อมกับแก้ว Old Fashioned วางอยู่ข้างๆ เพราะร้านนี้เขาดูหล่อแบบ sophisticated ทุกมุมจริงๆค่ะคุณผู้อ่าน!
เอาล่ะ เข้าเรื่องกันเลยดีกว่า ก่อนที่เราจะลิ้มลองรสชาติของค็อกเทลที่นี่ เราก็ได้นั่งพูดคุยกับคุณโชติพงศ์ ลีนุตพงษ์ ผู้เป็นเจ้าของร้าน Vesper ถึงความเป็นมา และคอนเซ็ปต์โดยรวมของร้านแห่งนี้ ซึ่งคุณโชติพงศ์ได้เล่าให้ฟังอย่างน่าสนใจว่า เขาและภรรยา คุณเด็บบี้ แทง ก่อนที่จะไปใช้ชีวิตอยู่ที่ลอนดอนเป็นเวลาสี่ปี เขาไม่ชอบความเป็นค็อกเทลของเมืองไทยเลย เพราะส่วนใหญ่จะมีแต่รสชาติเหมือนน้ำผลไม้ผสมเหล้า เลยรู้สึกขยาดทุกครั้งที่จะสั่ง แต่พอเขาได้ไปอยู่ลอนดอน เขาก็ค้นพบว่าที่นั่นไม่ได้มีแต่ค็อกเทลรสชาติผลไม้อย่างเดียว แต่กลับมีความหลากหลายกว่าที่คิดไว้มาก โดยเฉพาะแบบแอลกอฮอล์จ๋าๆ อย่าง Martini หรือ Negroni ซึ่งคนไทยก็น่าจะชอบเหมือนกัน เขาเลยต้องการนำวัฒนธรรมการดื่มตรงนั้นกลับมาให้คนไทยได้รู้จักกัน โดยได้ทีมมิกโซโลจิสต์จากลอนดอน Fluid Movement ที่ขึ้นชื่อในเรื่องคิดค้นสูตรค็อกเทลมาช่วยคิดค็อกเทลเมนูให้กับที่นี่
สำหรับคอนเซ็ปต์หลักๆของ Vesper อย่างแรกเลยคือค็อกเทลทุกตัวจะเป็น ‘Spirit Driven’ ซึ่งก็คือจะไม่เน้นรสชาติของผลไม้มากนัก แต่จะเน้นไปที่ตัวแอลกอฮอล์ หรือเหล้ากลั่นมากกว่า เนื่องจากเหล้าแต่ละตัวล้วนแต่มีคาแร็คเตอร์ที่น่าสนใจ ทางร้านเลยต้องการชูจุดนี้ขึ้นมา อย่างที่สองคือความเป็น ‘Vintage European’ ของบรรยากาศและค็อกเทลต่างๆ และสุดท้าย ‘Experience’ ซึ่งคุณโชติพงศ์ได้อธิบายว่าการดื่มค็อกเทลนั้น เรื่องของรสชาติไม่ได้เป็นเพียงสิ่งสำคัญเพียงอย่างเดียว แต่ว่าประสบการณ์ที่คนดื่มจะได้รับด้วยต่างหากที่สำคัญยิ่งกว่า
สิ่งที่เราชอบมากๆเกี่ยวกับร้านนี้ก็คือ การใส่ใจในรายละเอียด และความคิดสร้างสรรค์ที่ถูกใส่ลงไปในตัวเมนู ที่มีการตั้งชื่ออย่างเก๋ไก๋ว่า ‘Book of Botanicals’ ในนั้นจะมีค็อกเทลถึง 14 แบบที่ได้แรงบันดาลใจมาจากประวัติศาสตร์ความเชื่อมโยงถึงกันระหว่างพืชพันธุ์ และแอลกอฮอล์ โดยมี Colin Tait บาร์เทนเดอร์และมิกโซโลติสต์ประจำร้านชาวสก็อตแลนด์ มาช่วยพัฒนาและคิดค้นค็อกเทลสูตรต่างๆ ซึ่งแต่ละค็อกเทลนั้นมีเรื่องราวที่น่าสนใจมากๆ ไม่ว่าจะเป็น ‘Diplomat’s Tea Ceremony’ หนึ่งในค็อกเทลคลาสสิคขายดีของ Vesper ที่มีการจินตนาการถึงเหล่า diplomat หรือนักการทูต ที่กำลังสังสรรค์ กิน High Tea อยู่ที่ย่าน Mayfair ในลอนดอน ‘Peter Rabbit’ ค็อกเทลที่มีส่วนผสมของ Pink Peppercorn Tanqueray Gin / ดอกคาโมมายล์ / เลม่อน / ไข่ขาว และ Bittermens Boston Bittahs หรือบิตเตอร์เครื่องเทสที่มีรสขมของซิตรัสและคาโมมายล์ ซึ่งได้ชื่อมาจากชื่อของเจ้ากระต่ายในนิทานเด็กชื่อดัง ที่ก่อนนอนจะชอบทาคาโมมายล์เพื่อให้หลับสบาย ‘Grapes of Wrath’ ที่มาจากชื่อหนังสือของ John Steinbeck นักเขียนชาวอเมริกันจากยุค 1930s หรือจะ ‘In a Lavender Haze’ ที่ดื่มแล้วจะรู้สึกมีความสุขเหมือนอยู่ในสรวงสวรรค์
White Dog Special (420 บาท)
Wood For Trees (420 บาท)
Book of Botanicals เมนูสุดพิเศษของทางร้าน
Peter Rabbit (390 บาท)
คราวนี้ก็ถึงเวลาที่เราจะได้ลองชิมค็อกเทลสุดพิเศษของ Vesper ซึ่ง Colin ได้แนะนำให้เราลองดื่มค็อกเทลสามตัวด้วยกัน กับ ‘Peter Rabbit’ (390 บาท) ‘Wood For Trees’ (420 บาท) ที่มีส่วนผสมของเหล้ากลั่น Bol’s Genever / มะนาวและใบโหระพา / ลิเคียว Luxardo Maraschino / เหล้า Absinthe และ Baker’s Bitters และแก้วสุดท้าย ‘White Dog Special’ (420 บาท) หนึ่งในวินเทจค็อกเทล ที่เอาไปหมักในถังเหล้าไม้โอ๊คอย่างต่ำ 6 อาทิตย์ เป็นแก้วที่เน้นวิสกี้เป็นหลัก ตกแต่งด้วยเปลือกส้ม ต้องบอกว่าค็อกเทลทั้งสามตัวรสชาติแรงไม่ใช่เล่น โดยเฉพาะ Wood For Trees กับน้ำสีใสๆดูไม่มีพิษมีภัยอะไร แต่ดื่มเข้าไปปุ๊ป โอ้ มาย ก๊อด! นี่มันเหล้าเพียวๆชัดๆ รู้สึกท้องใส้วูบวาบ ร้อนๆหนาวๆขึ้นมาทันที รองลงมาก็เป็น White Dog Special ที่ก็ยังสัมผัสได้ถึงความแรงอยู่ แต่ดีหน่อยที่ได้กลิ่นหอมของเปลือกส้มเข้ามาช่วย น่าจะเป็นสองแก้วที่หนุ่มๆนักดื่มทั้งหลายชื่นชอบ ส่วน Peter Rabbit นั้นเราโอเคสุด ดื่มแล้วจะสัมผัสถึงรสฝาดๆนิดหน่อย เท็กเจอร์มีความ fluffy เป็นฟองนุ่มๆ ดื่มแล้วรู้สึกเบาๆสบายๆ สดชื่นมากกว่าเพื่อน ซึ่งคุณโชติพงศ์บอกว่านี่คือค็อกเทลที่เป็นที่นิยมในบรรดาลูกค้าผู้หญิงที่มากัน
สำหรับใครที่ยังไม่ค่อยคุ้นเคยกับการดื่มค็อกเทล ก็อย่าได้ห่วงไป เพราะที่นี่เขายินดีให้คำแนะนำ เพียงแค่คุณบอกว่าอยากดื่มค็อกเทลรสชาติแบบไหน ที่นี่ก็สามารถครีเอทเครื่องดื่มรสชาติที่ตรงกับที่คุณต้องการได้ นอกจากค็อกเทลสูตรพืชพันธุ์สุดพิเศษทั้ง 14 แบบแล้ว ที่ Vesper ก็ยังมีค็อกเทลแบบคลาสสิคอีกมากมายให้คุณเลือกสั่งได้เหมือนกัน เชื่อแล้วว่าร้านนี้คือร้านที่เหล่า cocktail lovers ทุกคนต้องมา ส่วนใครที่ยังเป็นมือใหม่หัดดื่ม เราก็ขอแนะนำว่าให้มาลอง แล้วคุณจะได้มาเปิดประสบการณ์การดื่มค็อกเทลแบบของจริงเหมือนกับเรา ไม่แน่คุณอาจจะติดใจ จนต้องมาบ่อยๆก็ได้นะ
ตั้งอยู่ที่: 10/15 ซอยคอนแวนต์ สีลม บางรัก กรุงเทพมหานคร 10500 (BTS ศาลาแดง)
เปิดบริการวันจันทร์-เสาร์ ตั้งแต่เวลา: 18:00 น. – 01:00 น. (dinner)
วันจันทร์ –ศุกร์ และอาทิตย์ ตั้งแต่เวลา: 12:00 น. – 14:30 น. (lunch)
Tel: 02 235 2777
Website: http://www.vesperbar.co/
Facebook: https://www.facebook.com/vesperbkk
Writer: Thip S. Selley
Photographer: Kongkarn Sujirasinghakul
RECOMMENDED CONTENT
‘School Town King’ แร็ปทะลุฝ้า ราชาไม่หยุดฝัน เป็นหนังสารคดีที่สร้างจากเรื่องจริงของ ‘บุ๊ค’ เด็กหนุ่มวัย 18 และ ‘นนท์’ วัย 13 ผู้เติบโตมาในชุมชนคลองเตย หรือที่ใครๆ ต่างรู้จักในอีกชื่อหนึ่งว่า ‘สลัมคลองเตย’ นอกจากความยากจนที่มาพร้อมกับสถานะทางสังคมที่เลือกไม่ได้แล้ว ทั้งบุ๊คและนนท์ยังไม่สามารถปรับตัวให้เข้ากับระบบการศึกษา รวมทั้ง หลักสูตรการเรียนการสอนที่เน้นแต่ความสำเร็จเชิงวิชาการก็ยิ่งทำให้เด็กเรียนไม่เก่งอย่างพวกเขาขาดความสนใจในชั้นเรียนลงไปเรื่อยๆ ระบบการศึกษาที่น่าจะเป็นความหวังและเท่าเทียมกันของเด็กทุกคน กลับยิ่งบีบบังคับและผลักไสให้พวกเขาเป็นแค่ ‘คนนอก’ ของสังคมไปโดยปริยาย