“เป็นพนักงานกินเงินเดือน มีเงินใช้เดือนชนเดือนก็แย่แล้ว อย่าได้หวังรวยเลย”
คำกล่าวประโยคนี้จริงครึ่ง ไม่จริงครึ่ง ที่ว่าจริงครึ่งหนึ่งหมายความว่า ถ้าเราทำงานวันต่อวัน ใช้เงินที่หามาได้หมดไปโดยไม่เก็บออม โอกาสจะรวยแทบไม่มีเลย แต่อีกครึ่งหนึ่งของความจริงก็คือ ถ้าเรามีเงินเดือน แล้วรู้จักวางแผนการเงิน โอกาสที่เราจะรวยขึ้นก็มี เพราะโลกของทุนนิยมมีช่องทางให้เงินเรางอกเงย จะมีหลักและวิธีการอย่างไรบ้างมาทำความเข้าใจใหม่ไปพร้อมกันเลย
• แบ่งเงินเก็บออมให้ได้ก่อน •
แม้การออมจะเป็นเรื่องที่ใครๆ ก็รู้ว่าเป็นเรื่องดี แต่เชื่อเถอะว่า น้อยคนที่จะออมเงินก่อนที่จะนำไปใช้จ่าย เพราะคนส่วนใหญ่ก็มักจะใช้ก่อน เหลือแล้วค่อยนำมาออมทีหลัง คุณเองก็เป็นแบบนี้ใช่ไหม พฤติกรรมนี้สร้างความเสียหายให้กับใครหลายคนมาแล้วนับครั้งไม่ถ้วน เนื่องจากตอนใช้เงินจะเพลิดเพลินมาก
โดยเฉพาะในยุคนี้ที่นักการตลาดเก่งๆ รู้ใจเราไปหมด ศึกษาพฤติกรรมเรา แล้วนำเหตุเหล่านั้นมาทำการโฆษณาประชาสัมพันธ์ คอยยั่วกิเลสเราให้อยากใช้เงินอยู่ตลอดเวลา (ฟังดูน่ากลัวไม่ใช่เล่น) อีกทั้งช่องทางที่ทำให้การขายสะดวกขึ้น เราเลยซื้อของผ่านเฟซบุ๊ก รูปแบบการจ่ายเงินง่ายๆ ผ่านช่องทางที่หลากหลาย แถมบางคนถูกดึงเข้ามาอยู่ในสังคมแห่งการอัพอวด (ซื้ออะไรมาก็อัพภาพลงโซเชี่ยล) ก็ยิ่งทำให้ใครหลายคนถึงกับอดทนไม่ไหวต้องใช้จ่ายอย่างฟุ่มเฟือยในที่สุด
Tips – วิธีการที่ดีกว่าก็คือ เก็บเงินออมก่อนแล้วค่อยนำไปใช้จ่าย วิธีการนี้เป็นแนวทางที่ต้องใช้วินัยสูง นักออมเก่งๆ บางคนพอได้เงินมาจะเก็บไว้อย่างน้อย 20% ที่เหลือค่อยแบ่งไปใช้จ่าย ถ้าเราออมเงินไว้ 20% ทุกเดือนติดต่อกันหลายๆ ปี จะเกิดมหัศจรรย์แห่งการออม ลองทำดูแล้วคุณจะรู้ได้ด้วยตนเอง
• นำเงินออมมาทำให้งอกเงย •
เมื่อเรามีฐานเป็นเงินออมแล้ว บางคนตั้งเป้าออมเงินให้ได้แสนบาทแรก ออมให้ได้ล้านบาทแรก เมื่อได้มันมาแล้วก็ต้องหาวิธีทำเงินออมให้งอกเงย วิธีทำเงินให้งอกเงยมีหลากหลายรูปแบบ แต่บทความนี้ขอยกตัวอย่างรูปแบบที่เป็นที่นิยมกัน 4 ข้อต่อไปนี้
• นำเงินไปทำธุรกิจเสริม •
การนำเงินไปทำธุรกิจเสริมถือว่ามีความเสี่ยงสูง แต่ถ้าเราไม่เสี่ยงเลยก็คงยากที่จะทำให้เงินในกระเป๋าเรางอกขึ้นมา แนวทางการทำธุรกิจโดยอาศัยทุนน้อยคงหนีไม่พ้นเราต้องใช้ ‘ไอเดีย’ ซึ่งการนำไอเดียมาใช้ต้องลองศึกษาจากธุรกิจของแบรนด์อื่นที่คล้ายกับธุรกิจที่เรากำลังสนใจ
นอกจากนี้ ช่องทางในการขายของโดยเฉพาะระบบออนไลน์ในปัจจุบันนับว่ามีอิทธิพลต่อผู้ซื้อมาก แต่ก็ต้องประเมินสถานการณ์เป็นไปได้ในทิศทางที่ดีด้วย เพราะมีทั้งคนที่ประสบความสำเร็จและล้มเหลวจากสิ่งนี้มาแล้ว เคล็ดไม่ลับเล็กๆ ก็คือ การศึกษาหาความรู้ก่อนก้าวเข้าสู่การทำธุรกิจจริง เริ่มจากสิ่งที่เรารัก แล้วแปลงสิ่งที่รักให้เป็นกระแสเงินสดนั่นเอง
• นำเงินไปลงทุนในกองทุนรวม •
สำหรับคนที่ไม่อยากทำธุรกิจส่วนตัวเพราะรู้สึกว่ามันยุ่งยากและลำบาก แนวทางการให้เงินทำงานอีกแนวทางที่อยากแนะนำก็คือ การนำเงินไปลงทุนในกองทุนรวม การที่กองทุนรวมกองหนึ่งจะจัดตั้งขึ้นมาได้ต้องผ่านอะไรมากมาย ต้องมีผู้จัดการกองทุนมืออาชีพมาบริหาร ต้องมีทีมงานที่วิเคราะห์ข้อมูลได้เด็ดขาด มองภาพการเติบโตของสินทรัพย์ที่จะลงทุนได้อย่างชัดเจน การนำเงินไปต่อยอดด้วยวิธีนี้ถือเป็นวิธีที่ไม่เลว ในกรณีที่เราไม่มีเวลา แค่งานประจำก็หมดเวลาแล้ว นำเงินเก็บไปซื้อกองทุนรวมดีๆ ซักกอง แถมยังนำมาลดภาษีได้อีกด้วยท่าจะไม่เลว
• นำเงินไปลงทุนคอนโดมิเนียม •
การซื้อสินทรัพย์ที่สร้างเงินได้ ไม่ได้จำกัดว่ามันจะต้องทำเงินให้เราทันที บางครั้งการซื้อสินทรัพย์แล้วเก็บมันเอาไว้ระยะเวลาหนึ่ง เวลาที่เราปล่อยขายออกไป มันจะสร้างเม็ดเงินให้เรามากกว่าที่เราคิดจะทำกำไรในเวลาอันสั้น และนั่นคือแนวทางการลงทุนในคอนโดมิเนียมที่กำลังจะกล่าวถึง
การลงทุนในสินทรัพย์ประเภทนี้ข้อดีก็คือ เราใช้เงินเริ่มต้นไม่มาก แต่สามารถครอบครองสินทรัพย์ที่มีราคาสูงได้ คอนโดมิเนียมราคาหลายล้าน ลงทุนด้วยเงินแค่หลักหมื่นหลักแสนก็เป็นเจ้าของได้แล้ว ถ้าเราปล่อยเช่าไประหว่างทางก็จะได้ค่าเช่ามาช่วยผ่อนชำระค่างวด ทิ้งไว้ไม่กี่ปีขายออกไปในทำเลที่ดีจะได้ราคาดีมากทีเดียว
• นำเงินไปลงทุนในหุ้น •
แนวคิดการทำเงินให้งอกเงยด้วยการลงทุนในหุ้นถือเป็นแนวคิดที่เสี่ยง แต่ผลตอบแทนก็ดูดี และบางครั้งเร็วจนทันอกทันใจคนใจร้อน ถ้าเราซื้อหุ้นถูกตัว ในขณะที่ราคากำลังจะขึ้น เราจะได้กำไรอย่างรวดเร็ว แต่การลงทุนหุ้นนั้นมีความเสี่ยงสูงอย่างที่กล่าวมา ต้องศึกษาหาความรู้ให้รอบด้านก่อนตัดสินใจลงทุน
อย่างไรก็ตามแม้เราจะเป็นมนุษย์เงินเดือนก็อย่าไปคิดว่าจะรวยไม่ได้ เพราะถ้าเราคิดแบบนี้ เท่ากับเราปิดทางเรียนรู้สิ่งใหม่ๆ โดยสิ้นเชิง ไม่มีอะไรที่เราทำไม่ได้หากเรามีความพยายาม และไม่ย่อท้อ
เป็นมนุษย์เงินเดือนถ้ารู้จักใช้ รู้จักเก็บ และทำมันให้งอกเงย ก็รวยได้เหมือนกัน ขอคอนเฟิร์ม!
RECOMMENDED CONTENT
แบทแมนเวอร์ชั่นนี้ "ไม่สามารถควบคุมอารมณ์ของเขาได้มากเท่าไร" แพตทินสันกล่าวขณะที่เขาแนะนำตัวอย่าง