คำกล่าวที่ว่า ‘Cara Delevingne คือ Kate Moss คนใหม่’ อาจแฝงนัยยะบางอย่างที่ไม่ได้จำกัดแค่เพียงรูปร่างหน้าตาที่จัดอยู่ในจำพวกไม่สะสวยมาก และการแจ้งเกิดอย่างเปรี้ยงปร้างในระยะเวลาอันสั้น…
คาร่า เดเลวีญเกิดในตระกูลร่ำรวยแถบที่ร่ำรวยที่สุดของโลกอย่าง Belgravia ในลอนดอน ซึ่งจริงๆ จะเรียกว่าชนชั้นสูงเลยก็อาจจะได้ เพราะสืบไปสืบมานอกจากตาของคาร่าจะมีคำนำหน้าเป็นท่านเซอร์และมีคำพ่วงท้ายเป็นเจ้าของตำแหน่ง Publisher ของ Queen Magazine และยายเป็นนางสนองพระโอษฐ์ของเจ้าหญิง Margaret แล้ว รุ่นปู่ทวดยังเป็นข้าหลวงขุนนางเก่าอีกต่างหาก มิหนำซ้ำฝั่งพ่อก็ไม่ธรรมดา มาจากตระกูลนักการเมืองที่มีบรรดาศักดิ์ เป็น Viscount นี่ยังไม่นับ Godfather อย่าง Nicholas Coleridge ผู้บริหาร Condé Nast และ Godmother อย่างนักแสดงสาวสวย Joan Collins อีก สงสัยแล้วใช่ไหมชีวิตสมบูรณ์แบบเช่นนี้จะดราม่าได้อย่างไรกัน…
ปมดราม่ามันเริ่มส่อเค้าตั้งแต่คุณแม่ของเธอหรือ Pandora Delevingne สาวสังคมผู้โด่งดังติดเฮโลอีนอย่างหนักจนเรื่องฉาวไปทั่วอังกฤษ แม้ว่าในตอนนั้น Sir Jorcelyn Greville Stevens ตาของคาร่าจะสามารถสยบเรื่องร้ายๆ ได้อยู่หมัดจนในที่สุด Pandora ก็ก้าวออกมาจากวงจรอุบาทว์ได้แบบ 100% แต่การลาจากสารเสพติดได้ก็ไม่ได้แปลว่าอาการต่างๆ นานาจะมลายสิ้นไป ตั้งแต่เกิดมา คาร่าก็เห็นภาพแม่ของเธอทนทุกข์ทรมานกับอาการแปลกๆ และต้องวนเข้าเวียนออกสถานบำบัดอยู่ตลอด ทำให้เธอต้องพยายามโตให้มากที่สุดเพื่อให้โตพอที่จะดูแลผู้ใหญ่ที่โตแล้วคนหนึ่งได้ การต้องเฝ้าดูภาพเหตุการณ์เดิมๆ ซ้ำแล้วซ้ำเล่านี้เองคือจุดเริ่มต้นของอาการซึมเศร้า วิตกกังวล และการเกลียดตัวเองที่เธอต้องเผชิญมาตั้งแต่อายุ 15 เชื่อหรือไม่ว่า เธอเคยจมดิ่งกับเรื่องๆ หนึ่งอย่างลึกสุดขีดจนทนมีชีวิตอยู่ต่อไปไม่ได้ โดยเธอตัดสินใจวิ่งเอาหัวชนต้นไม้ กะว่าให้ตายกันไปข้าง
Suki Waterhouse, Cara Delevingne, Christopher Bailey, Clara Paget, Jourdan Dunn and Neelam
ครั้งหนึ่งคาร่าออกมายอมรับว่าเธอก็เคยพึ่งสิ่งเสพติดเช่นกัน โดยเฉพาะกัญชา แต่โชคดีที่ตอนนั้นเป็นช่วงคาบเกี่ยวระหว่างเปลี่ยนช่วงชั้นการเรียนพอดี เธอจึงพยายามเบี่ยงความสนใจทุกอย่างในชีวิตตอนนั้นไปลงกับการสอบ GCSE เพื่อยื่นเข้าโรงเรียนเฉพาะทางด้านการละครและดนตรีที่เป็นความฝันของเธอ ซึ่งเธอก็ทำสำเร็จ แต่ตอนนั้นมีคนชักชวนเข้าวงการพอดี เธอเลยตัดสินใจดร็อปเพื่อมาเอาดีทางด้านงานแฟชั่นอย่างจริงจัง แต่ก็ใช่ว่า ชีวิตในวงการจะโรยด้วยกลีบกุหลาบ กว่าจะมาเป็นคาร่าทุกวันนี้ เธอก็เคยโดนปฏิเสธมาแล้วนับไม่ถ้วน โดนไล่ตะเพิดมาแล้วก็มี สาเหตุที่ไม่ได้ก็หนีไม่พ้นหน้าตาที่ดูแปลกไปกว่านางแบบคนอื่น บุคลิกห้าวๆ ทะเล้นๆ การแสดงออกอย่างตรงไปตรงมา และความสูงที่มีเพียง 171 เซนติเมตร ซึ่งถือว่าเตี้ยกว่านางแบบคนอื่นๆ มาก แต่เธอก็ไม่ย่อท้อ เดินหิ้วของวนเวียนกับการแคสงานอยู่อย่างนั้นเป็นเวลาหลายซีซั่น จนในที่สุดก็ได้ไปพบ Christopher Beiley แห่ง Burberry ผู้เปิดประตูต้อนรับเธอสู่วงการ
ไม่นานมานี้ คาร่าก็ยังต้องทนทุกข์กับเรื่องราวร้ายๆ อยู่ เธอว่าตอนนั้นเธอกำลังจัดกระเป๋าเตรียมตัวไปเที่ยวกับเพื่อนร่วมแก๊ง แต่อยู่ๆ ความมืดมนก็เข้าครอบงำร่างกายและจิตใจเมื่อเธอคิดถึงช่วงเวลาที่ทริปท่องเที่ยวนั้นจบลง ดูเหมือนว่าเธอจะรับไม่ได้หากความสุขนั้นได้เลือนลางหายไป…
ท่ามกลางความจอมปลอมของโลกแฟชั่น คาร่าเลือกฉายความเป็นตัวของตัวเองโดยปราศจากความปรุงแต่ง (ไม่แคร์แม้แต่เอเจนซี่ที่ช่วยหางาน) สาเหตุนี้น่าจะเป็นสาเหตุหลักที่โลกใบนี้ตกหลุมรักเธอ โดยเฉพาะ Karl Lagerfeld เจ้าพ่อแห่งวงการแฟชั่นที่ไม่ยอมให้เธอหายหน้าไปแม้แต่ซีซั่นเดียว
คิดดูว่าคนแบบไหนถึงยอมทิ้งอนาคตในวงการแฟชั่นที่กำลังไปได้สวยด้วยการประกาศวางมือจากการถ่ายแบบเดินแบบเพื่อไปลองงานที่ตัวเองใฝ่ฝันและหลงรักอย่างงานหนังงานละครที่ไม่มีเครื่องการันตีว่าจะเป็นไปได้ดี ถ้าไม่ใช่คาร่า เดเลวีญผู้ผ่านสมรภูมิอันหฤหรรษ์และผู้ที่ยอมรับในตัวตนของตัวเองอย่างนอบน้อม…
สิ่งที่ Kate Moss และ Cara Delevingne มีเหมือนกันจึงไม่ได้จำกัดเพียงคุณสมบัติอันตื้นเขินที่ว่าทั้งคู่หน้าตาไม่ได้สะสลวยมาก ไม่ได้หุ่นดีขายาวเกิดมาเพื่อเป็นนางแบบ และการดังเปรี้ยงในระยะเวลาอันสั้น แต่เป็นการที่ทั้งสองเลือกเป็นตัวของตัวเองโดยไม่แคร์สิ่งอื่นใดท่ามกลางความจอมปลอม ทั้งสองแสดงออกมาโต้งๆ จากความคิดและจิตใจ และที่ลืมไปไม่ได้เลย ทั้งสองนั้นหันหาสิ่งเสพติดจากปัญหาส่วนตัวเหมือนกัน…
ตอนนี้เราก็ได้แต่หวังว่า จะมีอะไรบางอย่างมาช่วยฟื้นฟูจิตใจและปกป้องเธอออกจากสิ่งเลวร้ายเหล่านั้นที่เธอเผชิญมา Kate Moss คนใหม่จะเปลี่ยนแปลงพล็อตเรื่องเดิมที่ Kate Moss คนเก่าทำไว้ได้ดีและต่างไปมากเพียงใด เราคงต้องติดตามตอนต่อไป… (ในอีกหลายสิบปีข้างหน้า)
Writer: jt.
RECOMMENDED CONTENT
‘School Town King’ แร็ปทะลุฝ้า ราชาไม่หยุดฝัน เป็นหนังสารคดีที่สร้างจากเรื่องจริงของ ‘บุ๊ค’ เด็กหนุ่มวัย 18 และ ‘นนท์’ วัย 13 ผู้เติบโตมาในชุมชนคลองเตย หรือที่ใครๆ ต่างรู้จักในอีกชื่อหนึ่งว่า ‘สลัมคลองเตย’ นอกจากความยากจนที่มาพร้อมกับสถานะทางสังคมที่เลือกไม่ได้แล้ว ทั้งบุ๊คและนนท์ยังไม่สามารถปรับตัวให้เข้ากับระบบการศึกษา รวมทั้ง หลักสูตรการเรียนการสอนที่เน้นแต่ความสำเร็จเชิงวิชาการก็ยิ่งทำให้เด็กเรียนไม่เก่งอย่างพวกเขาขาดความสนใจในชั้นเรียนลงไปเรื่อยๆ ระบบการศึกษาที่น่าจะเป็นความหวังและเท่าเทียมกันของเด็กทุกคน กลับยิ่งบีบบังคับและผลักไสให้พวกเขาเป็นแค่ ‘คนนอก’ ของสังคมไปโดยปริยาย