ต่อเนื่องจากตอนที่แล้ว เราได้ทราบคำตอบของพี่โทกับพี่นิ้งไปแล้วว่าพวกเค้าสามารถก้าวหน้าในที่การงานได้อย่างไร (https://www.dooddot.com/careervisa-the-way-of-success/) วันนี้เราจะมาฟังคำตอบจากพี่เอมกับพี่ก่าก๊าดูบ้าง พร้อมกับฟังความเห็นของพี่โทและพี่นิ้งเกี่ยวกับข้อดีข้อเสียของการเป็นมนุษย์เงินเดือน สำหรับใครที่พลาดตอนที่แล้วไปอย่าลืมไปอ่านดูกัน และถ้าสงสัยหรือลืมไปแล้วว่าพี่ๆเค้ามีตำแหน่งหน้าที่ในการงานอะไรบ้าง ฟังทางนี้เลย พี่โท (นิพันธ์ ศรีสุขุมบวรชัย): Partner อายุน้อยจาก PwC พี่เอม (อมฤต เจริญพันธ์): Co-Founder และ CEO ของ Hubba พี่ก่าก๊า (กุลภาอร จันทร์สระแก้ว): เจ้าของ BrandAholics และ พี่นิ้ง (ศารณีย์ บุญฤทธิ์ธงไชย): Head of SMB Marketing จาก Google โปรไฟล์แต่ละคนเจ๋งๆทั้งนั้น เรามาฟังการพูดคุยของพี่ๆเค้าต่อกันเลย
มาถึงจุดนี้กันได้อย่างไร ก้าวหน้าในหน้าที่การงานได้อย่างไร?
พี่เอม: การเป็นผู้ประกอบการใช่ว่าจะเริ่มได้เลย หลายๆอย่างต้องลงตัว ผมเริ่มธุรกิจตอนปี 2008 เป็นช่วงที่เศรษฐกิจแย่ ตอนนั้นก็ทำงานมูลนิธิอยู่ แล้วก็ได้เงินเดือนไม่มาก การลงทุนหลายๆอย่างของที่บ้านก็เจ๊ง นั่งอยู่ที่บ้านกับพี่รู้สึกว่าทุกอย่างในบ้านกำลังลงเหว ช่วงนั้นน้ำท่วมด้วย ผู้ชายสองคนต้องอพยพไปอยู่พัทยาบ้านญาติ ร้านก็คงต้องซ่อม ต้องพักงานไปสามเดือน มาถึงจุดที่ว่าไม่มีอะไรจะเสียแล้ว เงินก็ไม่มี แต่รู้สึกว่าถ้าต้องไปทำงานเพื่อมาใช้หนี้คงไม่ได้ เลยรู้สึกว่าต้องทำอะไรบ้าๆ ผมมีไอเดีย co-working space เคยพูดให้พี่เค้าฟังแต่เค้าไม่เคยเชื่อ แต่อยู่ดีๆเค้าก็สนใจ แล้วพี่ชายเก่งเรื่อง operation ผมมี vision พอมานั่งคุยกันเหมือนเจอเนื้อคู่ทางธุรกิจ แต่กว่าจะมาถึงจุดๆนี้ได้ ก่อนหน้านี้เดือนแรกไม่มีลูกค้า เผาเงินทิ้งเป็นแสนๆ แต่ในขณะนั้นเรามีทั้ง passion กับเราไม่มีทางเลือกอื่นแล้ว เราไม่เลือกที่จะยอมแพ้ ถึงเราไม่มีตังค์ก็จริงแต่เราจะเปิดธุรกิจ เงินที่นำมาลงทุนจึงมาจากที่บ้าน ทั้งญาติ คุณพ่อ คุณแม่ และเงินเก็บส่วนตัว ทรัพย์สินทุกอย่างมาลงในกิจการนี้แล้ว เราเลยคิดเสมอว่าต้องทำให้ดีที่สุด พยายามให้มากที่สุด ถ้ากลับบ้านแล้วค่าน้ำมันคือหนึ่งร้อย เราก็นอนที่ออฟฟิศ นอนอยู่เป็นเดือน แต่เราจะทำทุกวิถีทางให้ Hubba ประสบความสำเร็จ ธุรกิจไม่นิ่งอยู่หกเดือนแรก เราแกะเองคิดเอง ไม่เคยไป co-working space มาก่อน สามสีปีที่แล้ว co-working space เป็นอะไรที่ใหม่มากและคนยังไม่เห็นค่า ลองผิดลองถูกจนพอรู้ว่าต้องทำยังไงต่อ ใช้เวลาล้มลุกคลุกคลานอยู่เกือบ 2 ปี กว่าจะได้ถึงทุกวันนี้
พี่ก่าก๊า: คิดว่าสิ่งที่ทำให้พี่มาถึงจุดนี้ได้ คือ ทัศนคติ และการใช้ชีวิต อยากจะฝากไว้ว่าเราเป็นมนุษย์ นั้นคือสิ่งที่ทำให้พี่ประสบความสำเร็จ คือพี่รู้ว่าพี่เป็นมนุษย์ แปลว่าเราต้องคุยกับคน เราต้องถาม ต้องมี relationship เราต้องมี network เราต้องหาประสบการณ์จากผู้คนรอบข้าง เราต้องเห็นอารมณ์ของคน เราต้องจับให้ได้ว่าคนนี้เค้ากำลังชื่นชมเราอยู่ เค้า happy กับเรา หรือเค้าเกลียดเรา อันนี้เป็นพื้นฐานที่สำคัญ ตอนที่พี่อยู่บริษัทโฆษณาพี่เป็นคนสัมภาษณ์คนสุดท้ายเสมอ คือทุกคนผ่านการสัมภาษณ์ skill มาหมดละ มาถึงพี่นี้เป็นด่านการดูมนุษย์ ถ้ามาคุยกับพี่ไม่สบตาพี่ก็ให้ตกละ พี่คุยสิบนาทีแล้วพี่จำเรื่องอะไรของน้องไม่ได้เลย แย่แล้วนะ เพราะฉะนั้นข้อที่หนึ่งเลยเราต้องจำเลยว่าเราเป็นมนุษย์ เราต้องสบตาคน ต้องมีปฏิสัมพันธ์ โต้ตอบได้ ตั้งคำถามได้ คุยได้ อันที่สองเราต้องมีดวงตาของความเป็นเด็กเสมอ พี่จำได้เลยว่าเจ้านายพี่เคยบอกว่าพี่ตาใสตลอดเวลา เวลาเข้าห้องประชุมเราไม่เคยนั่งแล้วก้มลงจด เราจะแบบเค้าทำอะไรกัน พูดอะไรกัน ด้วยองค์ประกอบนี้เจ้านายเลยมอบงานแปลกๆมาให้ พี่ไม่มีความรู้เกี่ยวกับเรื่องนั้นมาก่อนพี่ก็ซื้อหนังสืออ่านเอา เราไม่เคยปฏิเสธ challenge ไหนเลย ข้อที่สามคือเราต้องมีหัวใจของ champion ต้องอยากชนะตลอดเวลา ทุกครั้งที่ลูกค้าให้โจทย์มาต้องชนะทุกโจทย์ให้ได้ด้วยตัวเราเองและทีมงาน และสุดท้ายงานทุกอย่างต้องละเอียด ก่อนพี่ส่งอีเมลล์ ส่งงาน หรือพูดอะไรก็ตาม พี่คิดเสมอว่าพี่กลั่นกรองแล้ว เด็กรุ่นใหม่นี้ทำอะไรเร็ว แต่อยากให้ระวังว่าอีเมลล์บางอย่างอาจทำให้น้องเสียชีวิตไปทั้งชีวิตเลยก็ได้
การเป็นมนุษย์เงินเดือนมีข้อดีข้อเสียอย่างไรบ้าง?
พี่โท: ทุกวันนี้ผมสวมหมวกสองใบคือหมวกของมนุษย์เงินเดือนกับหมวกของเจ้าของกิจกการ สำหรับมนุษย์เงินเดือน ข้อดีอย่างแรกเลยคือคุณมีรายได้มั่นคง มีวันหยุดแน่นอน เห็นอนาคตชัดเจนว่าขั้นตอนต่อไปคือตำแหน่งอะไร ได้เงินเดือนเท่าไหร่ อีกสิบปีเดาได้เลยว่าเงินเดือนจะอยู่ที่เท่าไหร่ เพราะฉะนั้นเราจะวางแผนชีวิตได้ง่ายมาก risk จำกัด พอเรามาสวมหมวกของเจ้าของกิจการด้วยสิ่งที่เกิดขึ้นคือ ถ้าผมจะให้ลูกน้องมีเงินเดือนเพิ่มขึ้นทุกปี เค้าจะโตแค่ไหน อยู่ที่ผมละ ผมต้องไปหาเงินจากการขยายกิจการ แล้วการขยายกิจการก็ไม่ใช่การไปเดินตลาดที่เรามันมีของขายอย่างที่เราอยากได้ ผมคิดว่าคนที่จะทำstartup ต้องคิดให้ครบ นอกจากนั้นผมว่าหน้าบ้านโตอย่างเดียวไม่ได้ถ้าหลังบ้านเอาไม่อยู่ ความเป็น entrepreneur ไม่มีคำตอบที่ตายตัวมันเพราะมี challenge เยอะ สำหรับน้องใหม่ๆซึ่งยังนึกไม่ออก ผมว่าการเริ่มต้นจากการเป็นมนุษย์เงินเดือนก่อนจะทำให้เราเห็นภาพธุรกิจ ได้ประสบการณ์ ทำให้เราเห็นภาพตัวเองว่าเรามี character แบบที่จะทำให้เราเป็น success entrepreneur หรือเปล่า
พี่นิ้ง: สิ่งที่ดีมากสำหรับการเข้าไปทำในบริษัทใหญ่ๆคือการที่ได้เรียนรู้ระบบในการคิดสำหรับองค์กรใหญ่ๆ เพราะเค้ามีระบบที่วางไว้อยู่แล้ว จะเรียนรู้เพื่อต่อยอดในบริษัท หรือเรียนรู้เพื่อไปเป็น start up ก็เป็นสิ่งที่น่าสนใจ ข้อที่สองคือการหา network ได้เยอะมาก ยิ่งเป็น corporate ที่ใหญ่มากๆ สมมตินิ้งทำงานที่ P&G หรือ Google เค้ามีบริษัททั่วโลก เราอยากจะหา network กับประเทศไหนก็ได้ เราจะใช้ชื่อบริษัทเพื่อเดินเข้าไปบอกว่าเราอยากทำธุรกิจด้วยก็ง่าย การหา network เป็นสิ่งที่สำคัญมาก การที่อยู่ corporate อย่าตั้งหน้าตั้งตาก้มหน้าทำงานอย่างเดียว บริหาร network ที่บริษัทเค้าสร้างมาให้แล้วให้ดีที่สุด นิ้งเห็นด้วยกับพี่ก่าก๊าเรื่องการเป็นมนุษย์และการมี teamwork การทำงานในบริษัทงานอะไรต่างๆเราแก้ปัญหาได้หมด แต่ปัญหาเรื่องคนแก้ยากที่สุด ทำยังไงให้เราเป็นคนที่มีประโยชน์และทำให้ทีมประสบความสำเร็จและเป็นที่รัก การที่เราคิดเสมอว่าเราไม่ได้ทำทุกอย่างเพื่อตัวเรา แต่ทำเพื่อองค์กรและทีมน่าจะทำให้เราประสบความสำเร็จมากกว่าคนที่คิดถึงแต่ตัวเอง
การพูดคุยยังไม่จบเพียงเท่านี้ สำหรับมุมมองจากฝั่งของการเป็นผู้ประกอบการ หรือ entrepreneur นั้นจะเป็นอย่างไร เรามีคำตอบจากพี่เอมและพี่ก่าก๊ามาฝากในตอนหน้า แล้วพี่ๆจะมีคำแนะนำอะไรเกี่ยวการเริ่มต้นชีวิตการทำงานอีกนั้น ต้องติดตามตอนต่อไป และสำหรับใครที่เคยเข้าร่วมโครงการ Career Ready Boot Camp เมื่อช่วงต้นปีที่ผ่านมา ตอนนี้โครงการก็ได้กลับมาจัดอีกครั้งภายใต้ตอน Shortcut to Be A Rising Star “ทางลัดสู่การเป็นดาวรุ่งในโลกการทำงาน” โดยงานจะจัดขึ้นในวันที่ 15 ตุลาคมนี้ สามารถลงทะเบียนได้ตามลิงค์นี้เลย: http://www.zipeventapp.com/e/career-ready-boot-camp-shortcut-to-be-a-rising-star และติดตามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ fb page: www.facebook.com/careervisathailand อย่าลืมรีบมาสมัครกัน เพราะความสำเร็จไม่เคยรอใคร…
RECOMMENDED CONTENT
อาดิดาส เปิดตัวชุดแข่งขันทีมชาติอิตาลีคอลเลกชันแรก ร่วมกับสหพันธ์ฟุตบอลอิตาลี หลังประกาศความร่วมมือกันอย่างเป็นทางการตั้งแต่วันที่ 1 มกราคมที่ผ่านมา โดยทีมชาติอิตาลีทุกระดับจะสวมชุดแข่งขันของอาดิดาส ไม่ว่าจะเป็น ทีมฟุตบอลชาย ทีมฟุตบอลหญิง ทีมฟุตบอลชุดเยาวชน ทีมฟุตซอล ทีมฟุตบอลชายหาด รวมถึง ทีมอีสปอร์ต (e-sports)