เราได้ทำการรีเสิร์ชร้านเฟอร์นิเจอร์สไตล์วินเทจเก๋ๆอยู่นาน เผื่อว่าวันไหนมีเวลาว่างจะได้แวะเข้าไปดูหาไอเดียและสไตล์เฟอร์นิเจอร์ชิ้นใหม่ๆมาตกแต่งห้อง จนกระทั่งเมื่อไม่นานมานี้ เราได้เห็นรูปร้านเฟอร์นิเจอร์เปิดใหม่ที่ชื่อว่า “Machine Age Workshop” ตามอินสตาแกรมและนิตยสารไลฟ์สไตล์ต่างๆ ซึ่งเท่าที่เห็นแต่ละรูปของร้านแล้ว เฟอร์นิเจอร์และการตกแต่งของร้านนี้ดูไม่ธรรมดาเลยทีเดียว เราจึงไม่รอช้าที่จะขอไปเยี่ยมเยียนสำรวจร้านนี้ให้ถึงที่ เผื่อจะได้แรงบันดาลใจและไอเดียอะไรดีๆติดตัวกลับมาตกแต่งห้องบ้าง
ร้าน Machine Age Workshop ที่ว่านี้ตั้งอยู่ในซอยเอกมัย 15 ถ้าเดินเข้าไปในซอยแล้วอย่าเพิ่งงงว่า “เอ๊ะ ทำไมมีแต่บ้านคน?” เพราะมองเข้าไปสุดซอยคุณก็จะเห็นธงชาติอเมริกันติดอยู่ริมรั้วของร้านอย่างเท่สะดุดตา ถึงแม้อาณาบริเวณของร้านจะดูเหมือนบ้านอยู่อาศัย แต่พอเข้าไปยืนตรงหน้าตัวตึกของร้าน ก็จะพบกับหน้าร้านที่ทำด้วยอิฐแดงและกรอบประตูเหล็กสีดำ อย่างกับ warehouse ที่หลุดมาจากนิวยอร์กอย่างไรอย่างนั้น แหงนหน้าขึ้นไปมองหน่อยก็จะเห็นป้ายผ้าแขวนยาวลงมาอยู่ด้านบนที่มีตราโลโก้สัญลักษณ์เครื่องมือช่างไขว้กันอยู่ ดูรุ่นใหญ่ไม่ใช่เล่น เห็นอย่างนี้แล้ว อย่ามัวรอช้าอยู่เลย รีบก้าวเท้าเข้าไปข้างในร้านกันเลยดีกว่า ทันทีที่ก้าวเข้ามาในร้าน ขอบอกว่าใครที่หลงใหลความเป็นวินเทจแบบอเมริกัน หรือความเป็น industrial Americana จะต้องโดนใจสุดๆ เพราะทุกตารางนิ้วของร้านนี้ตกแต่งไปด้วยเฟอร์นิเจอร์วินเทจล้ำค่ามากมายเหลือเกิน จนทำให้ตัดสินใจว่าจะเริ่มเดินดูมุมไหนก่อนค่อนข้างยาก โชคดีที่เราได้เจอคุณจิ๊บ Manager ประจำร้านที่ต้อนรับแขกทุกคนที่เข้ามาในร้านอย่างเป็นกันเองมากๆ พร้อมกับพาเราเดินแนะนำส่วนต่างๆและบอกถึงประวัติความเป็นมาของร้านอย่างน่าสนใจ
ร้าน Machine Age Workshop แห่งนี้ อันที่จริงแล้วมีสาขาแรกที่นิวยอร์ก แต่ด้วยความหลงใหลในเฟอร์นิเจอร์สไตล์ industrial American ของเจ้าของคนไทยที่เก็บสะสมของแต่ละชิ้นจนเก็บเองไม่หวาดไม่ไหว เขาเลยตัดสินใจเปิดร้านแห่งนี้ที่กรุงเทพฯ พร้อมกับขายเฟอร์นิเจอร์และไอเท็มบางส่วนของเขาไปด้วยกัน ซึ่งร้านนี้เพิ่งเริ่มเปิดไปเมื่อเดือนธันวาคม 2013 นี้เอง เฟอร์นิเจอร์ส่วนใหญ่ที่เห็นในร้านนี้จึงมาจากอเมริกาเกือบทั้งหมด ถ้าจะให้ลิสต์เฟอร์นิเจอร์ทุกชิ้นในร้าน ลิสต์เท่าไหร่ก็คงไม่มีวันหมด เพราะมีเยอะมากจริงๆ ไม่ว่าจะเป็นโต๊ะเหล็ก โต๊ะไม้ เครื่องจักรเย็บผ้า วิทยุ ตราช่าง เก้าอี้ทรงต่างๆ ขวดโหล ช้อนส้อม รองเท้าทหาร กระเป๋าเดินทาง เครื่องมือช่าง หัวสต๊าฟสัตว์ โอ้…ลิสต์เท่าไหร่ก็ลิสต์ไม่หมดจริงๆ ต้องมาเห็นกับตาตัวเองเท่านั้นถึงจะรู้ เฟอร์นิเจอร์และไอเท็มแต่ละชิ้นนั้นมาจากปี ค. ศ. 1880’s ถึงปี ค. ศ. 1940’s นอกจากเสน่ห์ความเก๋าและความดิบของเฟอร์นิเจอร์และของใช้แต่ละชิ้นที่ดูเหมือนผ่านร้อนผ่านหนาว ดูมีเรื่องราวความเป็นมาที่ไม่ธรรมดาแล้ว วิธีการตกแต่งของร้านนี้ก็น่าประทับใจไม่แพ้กัน เพราะของทุกอย่างถูกจัดวางอย่างตั้งใจเป็นสัดส่วน ทำให้เดินดูของได้อย่างเพลิดเพลิน ไม่ได้จัดวางก่ายกองเหมือนร้านขายของเก่าทั่วไป นอกจากส่วนของตึกใหญ่ที่เป็นส่วนจัดขายเฟอร์นิเจอร์แล้ว ในส่วนของบ้านเล็กถัดออกไป ก็แบ่งเป็นส่วนจัดขายเฟอร์นิเจอร์ออกเป็นสองห้องเช่นกัน เรียกได้ว่าร้านนี้ใช้พื้นที่ได้อย่างคุ้มค่า เดินดูของได้อย่างไม่รู้เบื่อ
เพลิดเพลินไปกับการชมเฟอร์นิเจอร์ไปแล้ว คราวนี้เราขอเดินมานั่งพักดื่มกาแฟสักถ้วยในส่วนของคาเฟ่ ซึ่งอยู่ในโซนของบ้านเล็กเช่นกัน พอเลื่อนประตูไม้เปิดเข้าไปข้างในปุ๊ป ต้องขอบอกอีกล่ะว่า การตกแต่งคาเฟ่แห่งนี้จะต้องโดนใจคนที่หลงใหลการตกแต่งแบบ industrial เพราะผนังของร้านทำจากอิฐแดง ตัดกับขอบกระจกสีดำบานใหญ่ (ที่แม้แต่บานกระจกยังนำเข้ามาจากอเมริกา!) และเพดานไม้ ส่วนบริเวณตรงกลางก็จะมีโต๊ะยาวสามโต๊ะเรียงถัดกันไป พร้อมกับมีหนังสือและแจกันดอกไม้วางอยู่อย่างเก๋ไก๋ทุกโต๊ะ เหมาะแก่การถ่ายรูปสไตล์ Kinfolk อวดเพื่อนๆนักล่ะ ถึงแม้ว่าตอนนี้ทางคาเฟ่จะยังไม่มีบริการในเรื่องของอาหาร เพราะทางร้านเพิ่งเปิดในส่วนนี้มาแค่สามอาทิตย์ แต่นั่นก็ไม่ใช่ปัญหา แค่ได้สั่งกาแฟร้อนสักถ้วย หรือจะน้ำผลไม้เย็นๆสักแก้วมานั่งอ่านหนังสือ หรือนั่งชมบรรยากาศของคาเฟ่โดยรอบ ก็ถือเป็นการใช้เวลาพักผ่อนยามบ่ายชาร์ตแบ็ตไปในตัวที่เข้าท่าดีเหมือนกัน
นั่งจิบกาแฟไปพลาง นั่งอ่านหนังสือไปพลาง เผลอแป๊ปเดียวเวลาก็ผ่านไปอย่างรวดเร็ว ก่อนที่เราจะเก็บของใส่กระเป๋า เราก็อดไม่ได้ที่จะขอถ่ายรูปมุมต่างๆของคาเฟ่เก็บไว้เอาไปลงอินสตาแกรม เพราะต้องขอชมจริงๆว่า แม้ร้านนี้จะเรียกตัวเองว่าเป็นร้านขายเฟอร์นิเจอร์วินเทจ แต่ฝีไม้ลายมือและรสนิยมการตกแต่งคาเฟ่ รวมไปถึงส่วนที่เป็นร้านขายเฟอร์นิเจอร์นั้นไม่ธรรมดาเลยแม้แต่น้อย อยู่ร้านนี้นานๆเข้าอาจทำให้คุณเผลอนึกว่าตัวเองหลุดเข้าไปอยู่ในร้านฮิปๆแถวย่านบรูคลิน นิวยอร์ก ได้ง่ายๆ
ด้วยความมุ่งมั่นที่จะให้ร้านนี้เป็นผู้นำในการสร้างเทรนด์และทำให้ผู้คนเห็นคุณค่าในเรื่องของดีไซน์และไลฟ์สไตล์แบบ industrial Americana ในยุคที่ร้านอาหารและคาเฟ่ในเมืองกรุงเทพฯกำลังนิยมการตกแต่งสไตล์ industrial ให้เห็นกันจนจะชินตาอย่างทุกวันนี้ เชื่อเราเถอะว่า ร้าน Machine Age Workshop แห่งนี้ถือเป็น “ตัวจริง” ของร้านสไตล์ industrial ทั้งหมดในเมืองกรุงเทพฯ ไม่ว่าคุณจะเป็นดีไซเนอร์ สถาปนิก ศิลปิน นักสะสมของเก่า หรือแม้แต่คนธรรมดาที่ชื่นชอบในวัฒนธรรมและไลฟ์สไตล์ของประเทศต่างๆอย่างเรา รับรองว่ามาร้านนี้แล้วคุณจะฟินจนต้องบอกต่อกับเพื่อนๆของคุณถึงร้านนี้ “Machine Age Workshop”
ตั้งอยู่ที่: 281/7 เอกมัย ซอย 15 สุขุมวิท 63
เปิดบริการวัน อังคาร-อาทิตย์ ตั้งแต่เวลา: 07:00 น. – 19:00 น.
Tel: 02 381 8596
Facebook: www.facebook.com/MachineAgeWorkshop
Instagram: @MachineAgeWorkshop
Website: www.machineageworkshop.com
Writer: Thip S. Selley
Photographer: Pakkawat Tanghom
RECOMMENDED CONTENT
หลังจากที่เริ่มเดินบนเส้นทางสายนักดนตรีอย่างจริงจังได้ไม่นาน ก็กลายเป็นอีกหนึ่งศิลปินหญิงที่น่าจับตามองมากที่สุดในช่วงเวลานี้ไปแล้ว สำหรับศิลปินหญิงมากความสามารถอย่าง “Valentina Ploy” (วาเลนติน่า พลอย) สังกัดค่ายเพลง What The Duck (วอท เดอะ ดัก) เพราะด้วยความสามารถทางด้านดนตรี ทั้งแต่งเนื้อร้องทำนองเองทั้งหมด