ต้องขอออกตัวก่อนว่าปกติเป็นคนไม่ค่อยกินชาบู ชีวิตนี้นี่ถือว่ากินได้นับครั้งเลย เวลานึกถึงชาบูหรือพวก hot pot ทีไรก็จะไม่รู้สึกอินขนาดนั้น อาจเป็นเพราะทุกครั้งที่กินชาบู เราจะมีความรู้สึกว่าก็แค่คีบผักกับเนื้อไปจุ่มๆน้ำซุปร้อนๆแล้วก็เอาเข้าปาก ถ้าจะให้คล่องคอหน่อยก็ซดน้ำซุปตาม คนอื่นอาจจะสนุกตอนได้จิ้มนู่นจุ่มนี่ แต่เรากลับรู้สึกเสมอว่า การกินชาบูหรือ hot pot นั้นความรู้สึกอิ่มท้องที่ได้ไม่สามารถที่จะสู้กับการได้ทานข้าวหรือก๋วยเตี๋ยวที่เป็นเรื่องเป็นราวได้เลย ดังนั้นทุกครั้งหลังจากได้กินชาบู ความรู้สึกที่ไม่เต็มอิ่ม หรือพูดอีกอย่างคือความรู้สึกไม่ satisfied จะมีอยู่เสมอ แต่…ความคิดดังกล่าวของเราก็ต้องเปลี่ยนไป เมื่อเราได้มีโอกาสไปทานร้านชาบูเปิดใหม่แถวย่านทาวน์อินทาวน์นามว่า “Papa Shabu Farm” ที่ต้องบอกเลยว่าใครที่ปกติไม่ค่อยกินชาบูเหมือนเราจะต้องติดใจ ส่วนใครที่เลิฟการกินชาบูอยู่แล้วก็จะต้องติดใจยิ่งกว่า เพราะอะไรนะเหรอ ก็เพราะว่าชาบูที่นี่ ตั้งแต่เนื้อ ผัก น้ำซุป ไปจนถึงน้ำจิ้ม ร้านนี้เขาสุดยอดอร่อยไปเลย!
แต่ก่อนที่เราจะไปพูดถึงเรื่องเมนูอาหารของที่นี่ เราขอพูดถึงทำเลที่ตั้งและแรงบันดาลใจในการเปิดร้านของคุณเจ้าของร้านเขากันก่อน ร้านนี้ถือว่าหาไม่ยากเลย เพราะเมื่อเข้ามาที่ถนนศรีวรา ทาวน์อินทาวน์ คุณจะสะดุดตากับตู้คอนเทนเนอร์ 2 ตู้ต่อกันสีครีมกับสีดำตั้งอยู่บนพื้นที่เล็กๆบนฟุตบาทหน้าร้านหมอฟันข้างร้านโคขุนโพนยางคำ ตัวตู้คอนเทนเนอร์สีดำถูกเพ้นท์ลายกราฟิกสีขาว ให้ความรู้สึกที่น่ารักและเฟรนด์ลี่ ถือว่าเป็นเอกลักษณ์ที่โดดเด่นของร้านที่ใครเห็นแล้วจะต้องจำได้ และต้องอยากลองแวะดูสักครั้ง เพราะเป็นการตกแต่งร้านที่ดูชิคมากๆ ลูกค้าหนุ่มสาวและวัยรุ่นส่วนใหญ่ที่มาก็มักจะต้องมายืนโพสท่าถ่ายรูปหน้าร้านกันอย่างสนุกสนาน มองโดยรวมของตัวร้านแล้ว ถ้าไม่นับถึงตัวไทโปกราฟีภาษาญี่ปุ่นที่ติดอยู่บนตู้คอนเทนเนอร์ สไตล์การตกแต่งของที่นี่ก็ให้ความรู้สึกแบบญี่ปุ่นๆดีเหมือนกัน เราเลยถือโอกาสถามคุณฝ้าย 1 ในหุ้นส่วนของร้าน ถึงแรงบันดาลใจในการใช้ตู้คอนเทนเนอร์ รวมถึงไอเดียในการเปิดร้าน ซึ่งเธอได้เล่าว่าร้าน Papa Shabu Farm เริ่มต้นจากการที่คุณพ่อของเธอมีโอกาสไปทำงานที่ญี่ปุ่นเป็นเวลานาน พอกลับมาที่ไทยก็ชอบทำชาบูให้ทางครอบครัวได้กินกันที่บ้าน โดยสูตรชาบูของคุณพ่อของเธอนั้นได้มาจากต้นตำรับญี่ปุ่นเลย ในเมื่อครอบครัวและเพื่อนๆของเธอชอบทานชาบูสูตรของคุณพ่อกันมาก เธอเลยเกิดไอเดียที่จะเปิดร้านชาบูสูตรคุณพ่อให้ทุกคนได้ทานกัน และนั่นก็เป็นที่มาของชื่อร้าน Papa Shabu Farm ที่พวกเรารู้จัก ส่วนในเรื่องของการใช้ตู้คอนเทนเนอร์ คุณฝ้ายได้บอกว่าเพื่อแก้ปัญหาในการมีพื้นที่ที่ค่อนข้างจำกัดบนฟุตบาท เธอเลยคิดว่าถ้าใช้ตู้คอนเทนเนอร์ต่อยาวออกไปน่าจะดี ซึ่งที่ประเทศญี่ปุ่นก็มีร้านลักษณะอย่างนี้เยอะพอสมควร หลังจากฟังที่คุณฝ้ายได้เล่ามาแล้ว ต้องขอชมเชยว่าที่นี่ตกแต่งและจัดสรรร้านได้เป็นสัดส่วนที่ดี ในส่วนของห้องแอร์มีกระจกที่ให้แสงสว่างจากภายนอกส่องเข้ามาได้แลดูโปร่งไม่อึดอัด มีที่นั่งประมาณ 6 โต๊ะ ส่วนตู้คอนเทนเนอร์ด้านนอกแบบ outdoor มี 2 โต๊ะ ด้วยโต๊ะและเก้าอี้ที่ทำจากไม้ และของตกแต่งอื่นๆที่ดูมีสไตล์เก๋ๆ ภายในร้านนี้จึงดูออกเป็นแนวคาเฟ่น่ารักๆ ไม่เหมือนกับร้านชาบูทั่วไป ตอนไปถึงร้านประมาณ 5 โมงคนยังไม่ค่อยมี แต่จะเริ่มแน่นขึ้นเรื่อยๆหลังจาก 1 ทุ่มไปแล้ว เพราะฉะนั้นถ้าจะมาร้านนี้แนะนำว่าให้มากันเร็วหน่อย ไม่งั้นไม่มีโต๊ะนั่งชัวร์ โดยเฉพาะโซนห้องแอร์
คราวนี้มาพูดเรื่องอาหารกันเลยดีกว่า ชาบูที่นี่ยังไม่มีแบบบุฟเฟต์ มีแต่แบบสั่งเป็นถาดๆ มีให้เลือกทั้งเนื้อวัว หมู และไก่ รวมถึงผักต่างๆ ลูกชิ้น และอื่นๆเช่นวุ้นเส้น อูด้ง และไข่ไก่ อาหารทุกอย่างมีคุณภาพดีถูกเตรียมมาจากบ้าน ทุกถาดถูก wrap ด้วยพลาสติกไว้ก่อนนำมาเสิร์ฟเพื่อรักษาความสดและนุ่มของผักและเนื้อสัตว์ให้ยาวนานที่สุด หายห่วงเรื่องที่เนื้อจะแห้งกรังเหมือนร้านอื่นๆไปได้เลย สำหรับเมนูแนะนำ ในส่วนที่เป็นหมูนั้น มีให้เลือกตั้งแต่ Papa สันคอหมูสไลด์, สันนอกหมูสไลด์, Papa หมูหมักน้ำมันงา, เบคอนสด ไปจนถึง Papa คูโรบูตะ ทุกอย่างอยู่ในราคา 29 บาท ยกเว้น Papa คุโรบูตะ ที่ราคาเพิ่มขึ้นมาอีกนิดที่ 39 บาท ส่วนเนื้อวัวก็จะมีสันคอสไลด์ (35 บาท) และ Papa Chuck Eye หรือเนื้อใบพาย (55 บาท) ส่วนใครที่ชอบทานผักเยอะๆก็สามารถสั่งได้เต็มที่ เพราะมีให้เลือกถึง 7 อย่างด้วยกัน อาทิ กะหล่ำปลีฝอย ผักกาดขาว ข้าวโพดอ่อน (ทั้งหมดราคา 15 บาท) เห็ดเข็มทอง และต้นหอมญี่ปุ่น (ทั้งสองอย่างราคา 20 บาท) และหากชอบทานอย่างอื่นควบคู่ไปด้วย ที่นี่จะมีลูกชิ้นให้เลือกหลายแบบ อาทิ เต้าหู้ชีส (35 บาท), Papa Shishamo และ Papa ลูกชิ้นไส้ไหลไข่เค็ม (ทั้งสองอย่างราคา 40 บาท) คือเอาเป็นว่าอยากกินมากน้อยเท่าไหร่ ก็เลือกสั่งได้ตามใจชอบเลย ยัง เท่านั้นยังไม่พอ น้ำซุปที่นี่ก็มีให้เลือกถึง 4 แบบด้วยกัน ได้แก่ ซุปดำสุกียากี้, ซุปมิโซะ, ซุปแดง Red hot, และซุปน้ำใส และสุดท้ายกับน้ำจิ้ม ที่ร้านนี้ก็มีให้เลือกทั้งน้ำจิ้มสุกี้ พอนซึ และน้ำจิ้มงา ซึ่งเป็นน้ำจิ้มทำเองของทางร้านทั้งหมด และสามารถปรุงรสเพิ่มได้ตามใจชอบ ด้วยพริก กระเทียม และหอมซอยที่ทางร้านมีให้แบบไม่อั้น
เอาล่ะ เลือกสั่งเมนูแต่ละอย่างเสร็จเรียบร้อยกันไปแล้ว คราวนี้ก็ถึงเวลากิน! ในส่วนของหมูคงต้องยกให้กับ “Papa คุโรบูตะ” ที่สไลด์บาง มีมันแทรกเล็กน้อย เนื้อนี่นุ่มสุดๆแทบจะละลายในปาก หรือจะเป็น “Papa สันคอหมูสไลด์” ก็อร่อยไม่แพ้กัน ส่วนใครที่ชอบทานเนื้อ ก็ต้องเป็นเนื้อใบพาย “Papa Chuck Eye” ที่คนทานเนื้อต้องชอบกับความมันที่ผสมกับเนื้อได้อย่างพอดี ส่วนพวกลูกชิ้นอย่างเต้าหู้ชีส ก็ถือว่าเนื้อแน่นเด้งดึ๋งดี กัดเข้าไปคำแรกก็จะสัมผัสถึงรสชาติของชีสเค็มๆมันๆได้เลย เป็นอะไรที่แปลกใหม่สำหรับเราเหมือนกัน แต่ที่เด็ดสุดเราต้องขอยกให้น้ำซุปและน้ำจิ้ม “ซุปแดง Red hot” ที่เป็นสูตรของคุณพ่อนั้น ส่วนตัวรู้สึกเหมือนเป็นน้ำซุปพริกสไตล์เกาหลีมากกว่าญี่ปุ่น แต่โดยรวมแล้วรสชาตินั้นกลมกล่อม เผ็ดนิดๆ เค็มหน่อยๆ ซดแล้วคล่องคอ ใครที่ชอบทานอาหารรสชาติจัดจ้านหน่อย ลองได้ชิมซุ๊ปนี้เป็นต้องชอบ ส่วนรสชาติของน้ำจิ้มที่นี่ก็ถูกใจเราสุดๆ โดยเฉพาะ “น้ำจิ้มงา” ที่จะออกครีมมี่นิดๆหอมกลิ่นงาหน่อยๆ ยิ่งเมื่อเอาเนื้อหมูจิ้มคลุกเคล้าให้ทั่วแล้วเอาเข้าปากนี่เป็นอันฟินมากๆ ถือเป็นน้ำจิ้มที่มีรสชาติออกญี่ปุ่นๆแต่ก็ปรุงรสได้ถูกปากคนไทยเป็นที่สุด
เอาเป็นว่าพอเราทานทุกอย่างเสร็จ เป็นอันอร่อยอิ่มลืมไปเลย ทานเสร็จแล้วรู้สึกประทับใจในคุณภาพของวัตถุดิบที่สดใหม่ และที่สำคัญสะอาด ทานแล้วสัมผัสได้เลยว่าทุกอย่างล้วนผ่านการคัดสรรมาอย่างดี แถมราคาก็ไม่แพงเลย รสชาติของน้ำซุปและน้ำจิ้มก็ถือว่าอร่อยเลิศมากๆ ซึ่งการที่จะทานชาบูให้อร่อยมันวัดกันที่รสชาติของสองสิ่งนี้นี่แหละ สำหรับใครที่ชอบทานชาบูกันอยู่แล้วบอกเลยว่าห้ามพลาดร้านนี้ แถมบรรยากาศร้านก็สบายๆชิลล์ๆ Papa Shabu Farm เป็นอีกหนึ่งร้านที่อร่อย ต้องลองจริงๆ
ตั้งอยู่ที่: ถนนศรีวรา ทาวน์อินทาวน์ ติดกับร้านโคขุนโพนยางคำ
เปิดบริการทุกวัน ตั้งแต่เวลา: 16.00 น – 23.00 น.
Facebook: https://www.facebook.com/papashabufarm
Writer: Thip S. Selley
Photographer: Pakkawat Tanghom
RECOMMENDED CONTENT
Garmin เปิดตัวสมาร์ทวอทช์ขนาดเล็กดีไซน์ทันสมัย Lily ทั้ง 2 รุ่น ได้แก่รุ่นคลาสสิกและรุ่นสปอร์ต โดยนาฬิกาอัจฉริยะ Lily มาพร้อมรูปทรงสุดชิคในขนาดกะทัดรัด ด้วยตัวเรือนขนาด 34 มม. พร้อมสลักเชื่อมสายนาฬิกาแบบ T-bar เลนส์หน้าปัดพร้อมลวดลายละเอียด