หากคุณเป็นคนหนึ่งที่ใฝ่ฝันอยากจะไปท่องเที่ยวสัมผัสวัฒนธรรมอันเก่าแก่ และได้ไปลิ้มรสอาหารอร่อยๆแบบของแท้ ดั้งเดิม ที่ประเทศอิตาลี แต่ก็ยังไม่มีโอกาสได้ไปเที่ยวสักที คอลัมน์ Chillax ในครั้งนี้เราจะพาคุณไปสัมผัสกับความเป็นอิตาเลียนแท้ๆที่ไม่ได้อยู่ไหนไกลเลย อยู่ใจกลางเมืองกรุงเทพฯในย่านอโศก-พร้อมพงษ์ นี้เอง กับ “Peppina” ร้านอาหารอิตาเลียนสไตล์นาโปลี (Napoli) แท้ๆของเชฟ Paolo Vitaletti ผู้อยู่เบื้องหลังความสำเร็จของ Appia ร้านอาหารอิตาเลียนที่อร่อยที่สุดในกรุงเทพฯ ซึ่งความพิเศษของร้าน Peppina ที่เราจะพาคุณไปรู้จักนั่นก็คือความอร่อยของสไตล์อาหารที่มาจากทางตอนใต้ของอิตาลี โดยมีจานหลักคือ “พิซซ่า” ที่เราเชื่อเหลือเกินว่า pizza lovers คนไหนได้มาทานจะต้องรู้สึกอิ่มเอม ยิ้มแป้นกันถ้วนหน้า เพราะพิซซ่าร้านนี้เขาอร่อยเหาะจริงๆ และที่สำคัญคือเป็นรสชาติแบบอิตาเลียนแท้ๆ กัดเข้าไปแล้วอดจินตนาการ นึกภาพตัวเองกำลังนั่งทานพิซซ่า รับแดด ชมวิว อยู่ริมทะเลในเมืองเนเปิลส์ไม่ได้ โอเค…ก่อนที่เราจะเพ้อ รำพันไปยาวกว่านี้ เพื่อไม่ให้เป็นการเสียเวลา พวกเราไปทำความรู้จักกับร้าน Peppina กันเลยดีกว่า
อย่างที่บอกว่าร้าน Peppina นั้นเกิดขึ้นจากไอเดียของเชฟ Paolo Vitaletti เจ้าของร้าน Appia ร้านอาหารอิตาเลียนสไตล์โรมันที่ประสบความสำเร็จอย่างสูงภายในระยะเวลาแค่ปีเดียว ซึ่งพอหลังจากความสำเร็จของ Appia เชฟ Paolo ก็เกิดความคิดที่ว่าถ้าทำร้านอาหารที่เน้นขายแต่พิซซ่า ก็น่าจะขายดีเช่นกัน โดยคราวนี้จะทำเป็นสไตล์ “Napoletana” หรือสไตล์นาโปลีจากประเทศอิตาลี ซึ่งถึงแม้ว่าเชฟ Paolo จะอยู่ในวงการอาหารมานานกว่า 25 ปี และคุ้นเคยกับการทำอาหารอิตาเลียน และพิซซ่ามานานพอสมควร เขาก็ยังลงทุนไปเรียนรู้วิธีการทำพิซซ่าทั้งหมดที่โรงเรียนสอนทำพิซซ่าชื่อ “Associazione Verace Pizza Napoletana” ในเมืองเนเปิลส์ (Naples) ประเทศอิตาลี รวมถึงยังได้จ้างเชฟ Roberto เชฟทำพิซซ่าจากเมืองเนเปิลส์โดยเฉพาะ ที่มีประสบการณ์การทำพิซซ่ามาตั้งแต่เด็กมาช่วยรังสรรค์ผลงานพิซซ่าที่ทั้งสวยงาม และให้ได้รสชาติความอร่อยแบบอิตาเลียนดั้งเดิมมากที่สุด นอกจากนี้เชฟ Paolo ยังได้สร้าง และออกแบบเตาอบพิซซ่าแบบดั้งเดิมไว้ในครัวอีกด้วย เรียกได้ว่าร้านนี้นั้นอัดแน่นไปด้วยจิตวิญญาณการทำพิซซ่าแบบนาโปลีอย่างเข้มข้นจริงๆ
ค็อกเทล “Salvia Sour” (240 บาท) และ “Aperol Spritz” (240 บาท)
พอเข้ามาภายในร้าน เราก็ถูกต้อนรับด้วยบรรยากาศร้านที่ดูอบอุ่น และสบายๆ มีกลิ่นอายความเป็นเมดิเตอร์เรเนียนหน่อยๆ ด้วยการตกแต่งของผนังปูนเปลือยสีเทาเข้ม และพื้นกระเบื้องแบบเปลือยๆที่มีสีและลวดลายคล้ายๆกัน เข้ากับโต๊ะที่มีแบบทั้งไม้และหินอ่อน และเฟอร์นิเจอร์ไม้อื่นๆ ให้ความรู้สึกแบบอินดัสเตรียลดิบๆ มีความเป็นออเธนทิคที่ดูสง่างาม ยิ่งบวกกับโซนที่เป็นบาร์ยาวที่เรียงรายเต็มไปด้วยเครื่องแก้ว และขวดเครื่องดื่ม และครัวเปิดที่มีแสงอาทิตย์สาดส่องลงมาที่เตาพิซซ่า พร้อมกับทีมครัวที่กำลังวุ่นเตรียมทำอาหาร เห็นแล้วรู้เลยว่าร้านนี้เขาเอาจริงเอาจังกับคราฟท์ของตัวเอง แต่มุมร้านที่เราชอบมากที่สุดเห็นจะเป็นมุมผนังทางซ้ายมือติดกับประตูทางเข้าร้าน ที่ตกแต่งด้วยไม้ฟืนที่ใช้จุดเตาอบพิซซ่าวางซ้อนๆกันข้างใต้โต๊ะไม้ที่ตกแต่งด้วยดอกไม้แห้งในขวดแก้วต่างๆ และกรอบรูปภาพขาวดำ และอีกมุมผนังตรงส่วนของโต๊ะไม้ยาว ที่ติดภาพของกลุ่มนักแสดงจากเรื่อง “The Sopranos” (ซีรีย์ยอดฮิตของอเมริกาเกี่ยวกับครอบครัวแก๊งมาเฟียอิตาเลียนในอเมริกา) กำลังทำท่าเลียนแบบภาพวาด The Last Supper ของจิตรกรชั้นครู Leonardo da Vinci เห็นแล้วไม่รู้จะบอกว่าอะไร นอกจากว่าร้านนี้นี่โคตรเท่
คราวนี้มาพูดถึงเรื่องเมนูอาหารของ Peppina กันเลย เชฟเหน่ง Head Chef ของทางร้านได้แนะนำเมนูอาหารหลักถึง 3 จานให้เราชิมด้วยกัน สำหรับจาน Starter เราได้ลองทาน “Grilled Tomino cheese & sage served with Parma ham and asparagus salad” (450 บาท) มิกส์สลัดจานนี้น่าจะเป็นที่ชื่นชอบสำหรับคนชอบทานชีสทั้งหลาย เพราะโดดเด่นด้วยตัว Tomino cheese ซึ่งจะมีความคล้ายกับ Camembert ของฝรั่งเศส แต่ Tomino cheese ตัวนี้จะมีรสชาติที่เบากว่าและเหนียวกว่า Camembert ซึ่งโดยปกติแล้วชีสตัวนี้ส่วนใหญ่ร้านอื่นๆจะไม่มีการนำมากริลล์ แต่จะทำเป็นก้อนเล็กๆจุ่มใน olive oil มีผิวนุ่ม แต่สำหรับร้าน Peppina ทางเชฟจะนำชีสตัวนี้มากริลล์ มีผิวสัมผัสของเปลือกอยู่ด้านนอก แต่ข้างในจะมีความนุ่มละมุนลิ้น เสร็จแล้วเสิร์ฟกับขนมปัง เวลาทานก็ให้บิขนมปังตักชีสขึ้นมากิน ซึ่งรสชาติเค็มๆมันๆของตัวชีสนั้นเข้ากันได้ดีมากๆกับสลัดแอสพารากัส ส่วนตัว Parma ham ก็กรอบกำลังดี กินได้เพลินๆ เป็นจานสำหรับทานตอนมื้อเย็น ที่สามารถแชร์กันได้ 3-4 คน ซึ่งเชฟเหน่งฝากบอกมาว่า ถ้าจะให้อร่อยยิ่งขึ้น จานนี้ต้องทานคู่กับไวน์ เพราะรสชาติชีสที่เข้มข้นนั้นเข้ากันได้ดีกับไวน์มากๆ
Grilled Tomino cheese & sage served with Parma ham and asparagus salad
Fresh peach with Parma ham & provolone cheese salad
ต่อด้วยจานสลัดอีกหนึ่งจาน กับ “Fresh peach with Parma ham & provolone cheese salad” (380 บาท) จานนี้เป็นจานสลัดตามซีซั่น ราดด้วยซอส red wine vinegar หรือน้ำล้มสายชูหมักจากไวน์แดง ที่เราชอบมากๆเกี่ยวกับจานนี้ก็คือความสด และรสชาติเปรี้ยวปะแล่มๆของลูกพีช ที่ไปช่วยตัดความเค็มๆมันๆของตัวแฮมได้ดี จานนี้เป็นอีกหนึ่งจานที่เชฟเหน่งภูมิใจนำเสนอ เพราะตัวผัก และผลไม้นั้นสดใหม่มีคุณภาพตามซีซั่น เป็นจานที่ทานเล่นง่ายๆสบายๆ ให้ความสดชื่น เหมาะสำหรับใครก็ตามที่ต้องการมาทานให้หายเหนื่อยล้าหลังเลิกงานยามเย็น
พิซซ่าหน้า Piennulo Parma Ham
ส่วนจานพระเอกของเรา กับพิซซ่าหน้า “Piennulo Parma Ham” (จานเล็กราคา 260 บาท และจานขนาดปกติราคา 380 บาท) สไตล์นาโปลีนี้ อัดแน่นไปด้วยเครื่องเคียงมากมาย ไม่ว่าจะเป็นมะเขือเทศ Piennulo จากประเทศอิตาลีลูกโต, (มะเขือเทศที่ร้านนี้นำเข้าจากประเทศอิตาลีทั้งหมด) ชีส nodino, แฮม prosciutto crudo, ใบกะเพรา, parmigiano-reggiano หรือพาร์เมซานชีส และน้ำมันมะกอกส่วนความพิเศษของแป้งพิซซ่าร้านนี้ก็คือตัว dough ที่ทางร้านไม่มีการนำมาแช่ตู้เย็น แต่มีการเปิดแอร์รอค้างคืนให้ได้อุณหภูมิเหมือนที่ประเทศอิตาลี เพื่อให้ตัวยีสต์เติบโตขึ้นตามธรรมชาติ ต้องทำก่อนล่วงหน้าถึง 12 ชั่วโมงด้วยกัน ส่วนการนวดพิซซ่าของร้านนี้ก็นวดคลึงด้วยมือ และเหวี่ยงด้วยมือเช่นกัน เพราะคนอิตาลีจะนวดแป้งพิซซ่าด้วยมืออย่างเดียว ผลลัพธ์ที่ได้คือแผ่นแป้งตรงกลางจะบาง ในขณะที่ตัวขอบจะโป่งฟูจากแรงเหวี่ยงให้มันใหญ่ขึ้น ส่วนเรื่องรสชาติก็หายห่วง เพราะกัดเข้าไปคำแรกรู้สึกได้ถึงความชุ่มฉ่ำของน้ำมะเขือเทศที่หอมอบอวนอยู่ในปาก ซึ่งความเปรี้ยวอมหวานของมะเขือเทศ Piennulo นั้นทำหน้าที่ตัดความเค็มของแฮม และชีสได้อย่างลงตัวมากๆ ไม่ต้องเติมซอสอะไรทั้งสิ้น เพราะรสชาติทุกอย่างนั้นเพอร์เฟกต์หมดแล้วจริงๆ ส่วนตัวแป้งและขอบพิซซ่าก็เหนียวนุ่มลิ้น และกรอบกำลังพอดีเลย ไม่มีร่วน หรือแข็งเกินไปแม้แต่น้อย กล้าพูดได้เลยว่านี่คือพิซซ่าที่อร่อย และมีคุณภาพมากที่สุดเท่าที่เราเคยกินมา
ปิดท้ายด้วยขนมหวาน กับ “Tiramisu” (220 บาท) ที่แน่นอนว่าจะต้องไม่ธรรมดาเหมือนกัน เพราะทีรามิสุร้านนี้จะเป็นแบบ soft tiramisu ซึ่งจะแตกต่างจากร้านอื่นๆที่มักทำออกมาเป็นแผ่นขนมเค้ก แล้วตัดวาง แต่ที่ร้าน Peppina คุณสามารถยกแก้วขึ้นมาตักทานได้ทั้งหมดเลยแบบเพลินๆ เหมือนกินไอศกรีมจากถ้วย จานนี้ถือเป็นจานตบท้ายที่เราแฮปปี้มาก เพราะตัวเนื้อนั้นหอมนุ่มละมุนลิ้นเป็นที่สุด ยิ่งมีความกรุบกรอบของเลดี้ฟิงเกอร์ (Lady Fingers) ข้างใต้ถ้วยด้วยแล้ว (แม้แต่ตัวเลดี้ฟิงเกอร์ของร้านนี้ก็ยังใช้ยี่ห้อ Pavesini ของอิตาลี!) ยิ่งทำให้ตักกินเพลิน ส่วนตัว cherry amaretto ที่เสิร์ฟพร้อมกันนั้นก็หอมหวานอร่อย เนื่องจากหมักในเหล้าอัลมอนด์ และน้ำเชื่อมมาอย่างดี โอย ไม่รู้ว่าจะพูดอะไรนอกจากว่า อร่อย อร่อย และอร่อย!!
Paolo Vitaletti เชฟและเจ้าของร้าน Peppina
นอกเหนือจากพิซซ่าที่เป็นเมนูหลักของที่นี่แล้ว จานอื่นๆที่น่าสนใจไม่แพ้กันก็มีตั้งแต่พวกพาสต้า (Canadian Lobster Pasta) สเต็ก และซุปซีฟู๊ดต่างๆ แต่เราว่ามาถึงที่ทั้งที ยังไงคุณก็ไม่ควรพลาดสั่งพิซซ่าของร้านนี้เด็ดขาด เพราะเขามีให้เลือกมากถึง 30 กว่าหน้า ส่วนเครื่องดื่มของร้านนี้ก็มีให้เลือกตั้งแต่คราฟท์เบียร์ยี่ห้อต่างๆ ไปจนถึงเบียร์อิตาเลียนอย่าง Birra del Borgo Enkir เสิร์ฟจากแท็บ ค็อกเทล และไวน์ ที่ต่างมีลิสต์ให้คุณเลือกสั่งได้ตามใจชอบ
ด้วย passion ในการทำอาหารที่ใส่ใจในทุกรายละเอียด ประสบการณ์ที่สั่งสมมาเป็นเวลานานของเชฟแต่ละคน รวมถึงความต้องการที่จะมอบสิ่งที่ดีที่สุดแก่ลูกค้าทุกๆท่าน มั่นใจได้เลยว่าถ้าคุณมาร้าน Peppina คุณจะไม่มีวันเกิดอาการผิดหวังกลับบ้าน เพราะนอกจากรสชาติของอาหารที่นี่จะเป็นแบบนาโปลีแท้ๆอร่อยชั้นเลิศแล้ว คุณภาพของวัตถุดิบทุกอย่างที่ใช้ในการทำอาหารนั้นก็ได้มีการคัดสรรมาอย่างดี เพื่อให้แน่ใจว่าลูกค้าทุกท่านที่มาทานจะได้รับสิ่งที่ดีที่สุดกลับไป แถมบรรยากาศในร้านก็แสนสบายแบบ casual dining เพอร์เฟกต์มากสำหรับมากินเลี้ยงสังสรรค์กับแก๊งเพื่อน คนพิเศษ หรือจะมาลุยทานเดี่ยวก็ยังได้ แต่แนะนำว่าควรจองโต๊ะก่อนล่วงหน้าทุกครั้งที่มาทาน เพราะร้านนี้เขาฮิตจริงอะไรจริง
“Buon Appetito” ขอให้ทานอาหารให้อร่อยนะคะ!
ตั้งอยู่ที่: 27/1 สุขุมวิท ซอย 33 คลองตันเหนือ วัฒนา กรุงเทพมหานคร 10110
เปิดบริการวันอังคาร-อาทิตย์ ตั้งแต่เวลา: 18:30 น. – 23:30 น.
Tel: 02 119 7677
Website: http://www.peppinabkk.com/
Facebook: https://www.facebook.com/peppinapizza
Writer: Thip S. Selley
Photographer: Pakkawat Tanghom, Kongkarn Sujirasinghakul
RECOMMENDED CONTENT
โดยซิงเกิลแรก ที่เป็น solo album โดยมีกลิ่นให้แฟนชาวไทยนั้นตื่นเต้นกับซีนที่เธอได้สวมชุดผ้าไหม และ ชฎา ใน MV 'LALISA' ที่ประทับการปรากฏตัวของเธอในฐานะศิลปินเดี่ยวในตลาดโลก