โดยส่วนใหญ่แล้ว เรามักเห็น boutique hotel ที่จัดเต็มด้านการออกแบบในรูปแบบสุดทาง ถ้าจะ antique ดูเก่าแก่ก็เก่าแก่กันแบบสุดทาง ทั้งการตกแต่ง เฟอร์นิเจอร์ หรือแม้แต่โครงสร้างที่คงของเดิมและความเป็นยุคก่อนอันน่าหลงใหลเอาไว้ ส่วนถ้าจะ modern จ๋า ก็ใส่ความ minimal หรือไม่ก็ industrial จ๋า ให้ดูทันสมัยสุดโต่ง ชนิดที่เฟี้ยวฟ้าวกว่านี้คงไม่มีอีกแล้ว
แต่สำหรับโรงแรม Caro Hotel ที่เมือง Valencia ประเทศสเปน ไม่เป็นอย่างนั้น บริษัทสถาปนิก Francesc Rifé Studio ขอเล่นสนุกกับโครงสร้างอาคารเดิมที่ดูเก่าแก่แต่ค่ำครึ ให้สนุกสนานมากขึ้นด้วยการลดทอนอะไรบางอย่าง แต่จัดใส่ความ modern และ contemporary ร่วมสมัยเข้าไป กลายเป็นโรงแรมที่น่าเข้าไปเดินเล่น แวะทานข้าว และค้างคืนชะมัด
Caro Hotel เลือกนำเอาส่วนประกอบต่างๆ ของอาคารมาสังเคราะห์ใหม่ อะไรที่สวยงามน่าสนใจก็คงไว้ อะไรที่ดูท่าทางจะแทรกแซมความสมัยใหม่เข้าไปก็ทำได้ และกิ๊บเก๋ยูเรก้าเสียไม่มี อาทิ กำแพงเก่าแก่ยุคสมัย Almohad ความสูง 15 เมตร ; กำแพงอิฐเก่าแก่ โครงสร้างเดิมของอาคารที่มีมาตั้งแต่คริสตศตวรรษที่ 12 ; บันไดกลาง ยุคราวคริสตศตวรรษที่ 19 ; กระจกโมเสกยุคคริสศตวรรษแรกที่ว่ากันว่าเก่าแก่ที่สุดของเมือง เป็นต้น
โถงล็อบบี้ของโรงแรมโดดเด่นด้วยเค้าท์เตอร์กล่องไฟ โดดเด่นอยู่ภายในช่องว่างของกำแพงอิฐโบราณ ส่วนบันไดนำพาไปสู่ส่วนของห้องนอน และห้องสมุด เดินเลยจากโถงล็อบบี้จะเจอกับร้านอาหาร ‘Sucede’ ปรุงอาหารโดยเชฟมิชลินสตาร์ ท่ามกลางการตกแต่งสุดแปลกตา น่าสนใจ ที่มีทั้งความเก่าและความใหม่อยู่ด้วยกันอย่างลงตัว
ส่วนฝั่งตรงข้ามคือบาร์ ‘Meta’ ที่เข้มขรึมขลัง ด้วยก้อนปูนเก่าแก่ที่เหมือนลอยได้เหนือบาร์
นอกจากนั้นแล้ว วัสดุตกแต่งก็ยังดึงเอาเอกลักษณ์ของเมืองวาเลนเซียมาใช้ได้อย่างน่าสนใจ ไม่ว่าจะเป็นพื้นยางที่ให้แสงสว่างในเวลากลางคืน หรือจะเป็นหินอ่อนสไตล์อาหรับของเค้าเตอร์บาร์ รวมไปถึงเฟอร์นิเจอร์ทั้งหมดที่ออกแบบโดยบริษัทสถาปนิกเองทั้งหมด จึงทำให้ทั้งโรงแรม รวมถึงห้องนอนทั้ง 26 ห้องมีความโดดเด่น และแตกต่าง ในขณะเดียวกันก็สวยงาม ลงตัว และไปด้วยกันหมดกับทั้งโรงแรม
นี่จึงเป็นอีกหนึ่งโรงแรมที่ความเก่าและความใหม่ มาบรรจบพบกันอย่างดีงาม และลงตัว
RECOMMENDED CONTENT
เป็นครั้งแรกที่บริษัทผู้สร้างตัวอักษรที่เก่าแก่ที่สุดอย่าง Monotype ได้ทำการออกแบบตกแต่งตัวชุดอักษรที่ใช้กันแพร่หลายทั่วโลกอย่าง Helvetica หลังจากที่พยายามปลุกปล้ำกันอยู่นานกว่าสองปีเพื่อที่จะปรับปรุงชุดตัวอักษรที่เป็นเอกลักษณ์ตามแบบ swizz font