เรื่องย่อ
“แฟชั่นดีไซเนอร์ผู้เก็บตัวที่สุด ถ่อมตัวที่สุด ไม่รู้จักคำว่าการตลาด ไม่สนใจคำว่าเซเลบริตี้ ไม่คุ้นเคยคำว่าการโปรโมทตัวเอง และไม่ใส่ใจคำว่าเทรนด์” อาจฟังดูเป็นนิยามแปลกประหลาดเกินกว่าจะเชื่อได้ว่าเป็นจริงสำหรับแฟชั่นดีไซเนอร์คนใด แต่นี่แหละคือนิยามของ ดรีส แวน โนเทน (Dries Van Noten) ผู้ได้รับการยอมรับจากคนรักแฟชั่นทั่วโลกในฐานะ “ดีไซเนอร์อิสระที่ประสบความสำเร็จที่สุดแห่งยุค”!
และเพราะนิยามนั้นนั่นเอง Dries จึงเป็นหนังเรื่องแรกที่ดีไซเนอร์เจ้าของผลงานแสนละเมียดละไมผู้นี้ยินยอมให้มีคนทำหนังถือกล้องเดินตามเข้าไปสำรวจเรื่องราวของเขา ตั้งแต่กระบวนการทำงานในห้องออกแบบไปจนถึงชีวิตส่วนตัวในบ้านแบบที่ไม่เคยมีใครได้รับอนุญาตมาก่อน ผู้กำกับ ไรเนอร์ โฮลซ์เมอร์ ใช้เวลาหนึ่งปีเต็มกับการติดตามดรีส แวน โนเทนตั้งแต่วันเริ่มต้นคิดผลงาน 4 คอลเล็กชั่นใหม่, ขั้นตอนการเฟ้นหาผ้า, การปัก และการพิมพ์ลายอันเป็นเอกลักษณ์เฉพาะ จนถึงวันที่งานเหล่านั้นปรากฏต่อสายตาชาวโลกผ่านแค็ตวอล์คระดับ “พลาดไม่ได้” ในปารีสแฟชั่นวีค โดยระหว่างทางนั้น เราจะได้รับรู้ทั้งชีวิต ความคิด และจิตใจอันเต็มไปด้วยความสร้างสรรค์ของดีไซเนอร์ชั้นมาสเตอร์ผู้นี้ที่ยังสามารถรักษาสถานะความเป็น “นักออกแบบอิสระ” มาได้ตลอดการทำงานยาวนานถึง 25 ปี ท่ามกลางบรรยากาศการแข่งขันและการเปลี่ยนแปลงอย่างมหาศาลของโลกแฟชั่น
4 จุดเด่นที่ทำให้ “ดรีส” แตกต่าง
ไอริส แอพเฟล คุณทวดแฟชั่นไอค่อนผู้โด่งดังแห่งนิวยอร์ก บอกเราไว้ในหนังเรื่อง Dries ว่า “ดรีสไม่เหมือนแฟชั่นดีไซเนอร์คนไหนๆ ในโลก ซึ่งความแตกต่างนั้นคือสิ่งที่ฉันชอบมาก” …อะไรคือความแตกต่างของดรีส แวน โนเทนที่ไอริสและใครต่อใครในแวดวงแฟชั่นกล่าวถึง? ต่อไปนี้คือ 4 ลักษณะเฉพาะในการทำงานของเขา
-
- กระบวนการออกแบบที่ไม่เหมือนใคร : ดรีสไม่ดรออิ้ง เขาจะออกแบบโดยทำงานกับนายหรือนางแบบของเขาโดยตรง คล้ายประติมากรผู้ขึ้นโครงผลงานโดยใช้ผ้าและสิ่งประดับต่างๆ แล้วปรับแต่งมันสดๆ ตรงหน้าจนกว่าจะได้งานสุดท้ายที่เขาพอใจ
- แหล่งแรงบันดาลใจและวิธีบิดไอเดียตั้งต้นจนได้รูปลักษณ์ใหม่ : เขามักค้นหาแรงบันดาลใจจากผลงานหลากหลายของศิลปินแขนงอื่นๆ เช่น ภาพจิตรกรรมนามธรรมของ แกร์ฮาร์ด ริกเตอร์, การแสดงบัลเลต์ของ พีนา เบาช์, งานเขียนของ มาร์แซล พรุสต์, งานอินสตอลเลชันดอกไม้ของ อาซุมะ มาโกตะ
- มุมมองในเรื่องธุรกิจและลูกค้า : ดรีสต้องการออกแบบเสื้อผ้าให้ขับเน้นบุคลิกเฉพาะตัวของผู้สวมใส่แต่ละคน เขาอยากให้ลูกค้าเห็นเสื้อผ้าของเขาเป็นเหมือนเครื่องใช้ที่อยู่ร่วมกันไปได้ยาวนานและสามารถปรับประยุกต์สวมปนเปกับแบรนด์อื่นๆ หรืองานของดีไซเนอร์คนอื่นได้ เขาจึงมักเรียกเสื้อผ้าของเขาว่า “แฟชั่นที่มีจิตวิญญาณ” และไม่ต้องการให้มันกลายเป็นส่วนหนึ่งของการผลิตแบบอุตสาหกรรมใหญ่ยักษ์
- เขาคือเทพแห่งการรื้อสร้าง (master of deconstruction) : เพราะงานของเขามักเป็นการผสมผสานขององค์ประกอบต่างๆ ที่ดูเหมือนไม่น่าจะมาอยู่รวมกันได้ บ่อยครั้งที่เขาหยิบสิ่งที่เป็นต้นทางของแรงบันดาลใจมาบิด เปลี่ยน แล้วประสานเข้าด้วยกันจนอยู่ร่วมกันอย่างกลมกลืน หรืออาจกล่าวได้ว่า “ดรีสเปลี่ยนความอัปลักษณ์และความไม่สมบูรณ์แบบ ให้กลายเป็นความงามและความสมบูรณ์แบบ” นั่นเอง
รู้จักดรีส แวน โนเทน
เขาเกิดในแอนต์เวิร์ป ประเทศเบลเยียม ปี 1958 โดยเป็นผู้สืบเชื้อสายรุ่นที่ 3 ของตระกูลช่างตัดเสื้อ ปู่ของดรีสสร้างชื่อเสียงในช่วงระหว่างสงครามโลกครั้งที่หนึ่งและสองจากการนำเสื้อผ้ามือสองมาปรับเปลี่ยนให้ใช้งานต่อได้ ซึ่งกลายเป็นการเริ่มต้นกระแสความนิยมเสื้อผ้าสำเร็จรูปในแอนต์เวิร์ป ต่อมาในปี 1970 พ่อของดรีสเปิดแฟชั่นบูติกขนาดใหญ่ขึ้นในชานเมืองแอนต์เวิร์ป ตามด้วยสาขาที่สองในตัวเมืองโดยจำหน่ายคอลเล็กชั่นของ Ungaro, Ferragamo, Zegna และในเวลาเดียวกัน แม่ของเขาก็เปิดร้านแฟรนไชส์ของ Cassandre พร้อมเก็บสะสมผ้าลูกไม้และผ้าลินินไปด้วย
การเกิดในครอบครัวที่แทบจะมีอาชีพตายตัวรอคอยอยู่ในอนาคต อาจถูกคนรุ่นใหม่มองเป็นได้ทั้งภาระและโอกาส โชคดีของดรีสที่เป็นอย่างหลัง เพราะการร่ำเรียนในโรงเรียนเยซูอิตช่วยให้เขามีจิตใจแข็งแกร่งแน่วแน่และมองชีวิตตามความเป็นจริงในด้านบวก เขาจึงรับโอกาสทางครอบครัวไว้และดื่มด่ำกับมันมาตั้งแต่ยังเยาว์ ในวัยเด็กเขากับพ่อได้เข้าชมโชว์และ คอลเล็กชั่นมากมายทั้งในมิลาน, ดุสเซลดอร์ฟ, ปารีส ซึ่งทำให้ได้เรียนรู้ทั้งด้านการค้าขายและด้านเทคนิคของอาชีพนี้ อย่างไร ก็ดี ไม่นานต่อมาเขาก็ตัดสินใจได้ว่า เขาสนใจงานดีไซน์แฟชั่นมากกว่าการขายเสื้อผ้า ในปี 1976 ขณะอายุ 18 ปีเขาจึงเข้าเรียนสาขาแฟชั่นดีไซน์ที่ Royal Academy of Fine Arts ในแอนต์เวิร์ป พร้อมๆ กับเริ่มรับงานฟรีแลนซ์ออกแบบให้กับผู้ผลิตเสื้อผ้าในเบลเยียมไปด้วย ซึ่งประสบการณ์จากการได้ทำงานจริงนี้กลายเป็นสิ่งมีค่ามหาศาลเมื่อเขาเริ่มผลิตและขายผลงานของตัวเองในเวลาต่อมา
หลังเรียนจบ ดรีสยังคงทำงานฟรีแลนซ์ต่อ ก่อนจะเริ่มผลิตคอลเล็กชั่นเบลเซอร์, เชิ้ต, กางเกงเป็นของตนเองและประสบความสำเร็จทันทีที่เปิดตัวในปี 1986 ด้วยการจำหน่ายให้แก่ลูกค้าหรูหราอย่าง Barneys New York, Pauw ในอัมสเตอร์ดัม และ Whistles ในลอนดอน เดือนกันยายนปีเดียวกัน ดรีสเปิดร้านเล็กๆ ในชื่อตัวเองที่แอนต์เวิร์ปและขายเสื้อผ้าทั้งของชายและหญิง
ปี 1989 เขาโยกย้ายจากร้านเล็กๆ ไปสู่อาคาร 5 ชั้นซึ่งเคยเป็นห้างสรรพสินค้ามาก่อน ในย่าน Nationalestraat ที่กำลังตกอยู่ในสภาพค่อนข้างเสื่อมโทรม แถมยังเคยเป็นที่ตั้งของร้านคู่แข่งตัวเอ้ของปู่เขาอีกต่างหาก ดรีสเข้าไปซ่อมแซมปรับปรุงสถานที่โดยคงส่วนประกอบเก่าแก่ทั้งหลายเอาไว้ และน่าทึ่งมากที่ในที่สุดเขาก็ได้ช่วยให้พื้นที่แห่งนี้กลายมาเป็นย่านบูติกหรูหราในปัจจุบัน จากจุดนั้นกิจการของดรีสเติบโตก้าวหน้าอย่างรวดเร็ว เขาเปิดโชว์รูมใหม่ในปารีสและสำนักงานในอาร์ตแกลเลอรีเก่าที่เลอ มาเรส์ ตามด้วยโชว์รูมที่สองในมิลาน และบูติกในปารีส, โตเกียว, สิงคโปร์, ดูไบ, ฮ่องกง รวมถึงเป็นพาร์ตเนอร์กับบูติกอีกกว่า 400 แห่งทั่วโลกในนิวยอร์ก, ลอนดอน, มิลาน, เบอร์ลิน, คูเวต, กาตาร์ และมอสโก
เดือนมิถุนายนปี 2000 ดรีสย้ายเข้าสู่โกดังพื้นที่ 60,000 ตารางฟุตใน Godefriduskaai ของแอนต์เวิร์ปซึ่งเคยเป็นที่พักของกองทัพเยอรมันและฝ่ายสัมพันธมิตรในช่วงสงคราม อาคาร 6 ชั้นหลังนี้ปัจจุบันเป็นที่ตั้งของโชว์รูม, แผนกออกแบบ, แผนกการตลาด, แผนกผลิต, ฝ่ายบัญชี และฝ่ายจัดจำหน่ายของดรีส รวมทั้งเป็นที่เก็บผลงานทั้งหมดที่ผ่านมาของเขาด้วย
การเติบโตโดยวางจังหวะก้าวอย่างไม่เร่งรีบและเต็มไปด้วยความมั่นใจเช่นนี้ สะท้อนถึงวิธีคิดของดรีสได้อย่างชัดเจน แม้การทำงานยาวนานถึง 25 ปีจะทำให้เขาก้าวขึ้นสู่สถานะแฟชั่นดีไซเนอร์แถวหน้า แต่เขากลับยังเลือกจะเป็นนักออกแบบอิสระไม่สังกัดค่ายใดๆ เขายังคงลงทุนในทุกคอลเล็กชั่นด้วยตัวเอง และยังคงมุ่งมั่นค้นหาแรงบันดาลใจใหม่ๆ ที่จะทำให้ผลงานของตนทั้งพัฒนาและยืนยง
“ผมไม่ชอบคำว่าแฟชั่น เพราะแฟชั่นคืออะไรที่พร้อมจะตายไปในเวลา 6 เดือน” ดรีส แวน โนเทนกล่าวไว้ใน Dries “ผมคิดว่าสิ่งที่เรากำลังทำอยู่นี้ ต้องการคำอะไรสักคำที่ไร้กาลเวลากว่านั้น”
รู้จักกลุ่ม The Antwerp Six หกดีไซเนอร์แถวหน้าสุดเปรี้ยวแห่งเบลเยียม
แอนต์เวิร์ปเป็นเมืองไม่ใหญ่ พลเมืองก็น้อย แต่กลับโดดเด่นเรื่องศิลปะและแฟชั่นอย่างแรงในเวทีโลก โดยเหตุผลสำคัญข้อหนึ่งก็คือ ที่นี่เป็นที่ตั้งของสถาบัน The Royal Academy of Fine Arts ซึ่งผลิตบุคลากรชั้นเลิศแก่วงการแฟชั่นมาแล้วมากมาย โดยเฉพาะกลุ่ม “The Antwerp Six” ซึ่งเป็นการรวมตัวกันของศิษย์สถาบันนี้ 6 คนที่แจ้งเกิดเปรี้ยงปร้างในงานบริติชดีไซเนอร์โชว์ที่ลอนดอนในปี 1986 และก้าวกระโดดขึ้นเป็นกลุ่มนักออกแบบแฟชั่นเจ้าของลีลาเปรี้ยวแหวกขนบที่ได้รับการ ยกย่องอย่างรวดเร็ว
6 ดีไซเนอร์ดังกล่าวประกอบด้วย ดรีส แวน โนเทน, แอน เดอมูลมีซเทอร์, เดียร์ค แวน ซาเนอ, วาลเตอร์ แวน เบเรนด็องค์, เดียร์ค บิคเคมแบร์กส์ และ มารินา ยี ซึ่งแต่ละคนทำงานแยกกัน สร้างสรรค์สไตล์และแบรนด์เป็นของตนเอง ทว่าด้วยการร่วมมือกันฉีกตัวออกจากกระแสแฟชั่นที่เป็นอยู่ก่อนหน้า พวกเขาก็ได้ปักหมุดแก่แอนต์เวิร์ปบนแผนที่โลกแฟชั่นได้สำเร็จ ทั้งยังเป็นตัวอย่างและแรงบันดาลใจชั้นดีให้แก่นักออกแบบรุ่นต่อไป
ความในใจของผู้กำกับ ไรเนอร์ โฮลซ์เมอร์
“ผมสนใจอยากทำสารคดีเกี่ยวกับโลกแฟชั่นมาตั้งแต่ปี 2011 ตอนนั้นผมอ่านบทความเกี่ยวกับ จอห์น กัลลิอาโน ที่ถูกบีบให้ต้องลาออกจากดิออร์หลังแสดงทัศนคติเหยียดยิวในที่สาธารณะ บทความนั้นพูดถึงแรงกดดันที่บรรดาแฟชั่นดีไซเนอร์ทั้งหลายต้องเผชิญซึ่งก็น่าจะเป็นเหตุผลหนึ่งที่ทำให้กัลลิอาโนมีสภาพจิตใจไม่ปกติ เงินทองเป็นสิ่งที่เข้ามามีอิทธิพลสูงขึ้นเรื่อยๆ ต่อแฟชั่นแบรนด์ใหญ่ๆ ทั้งดิออร์, แม็กควีน, จิล แซนเดอร์ และทำให้นักออกแบบจำเป็นต้องผลิตคอลเล็กชั่นแต่ละปีเพิ่มขึ้นเป็นสองเท่า สิ่งที่เพิ่มตามมาจึงคือปริมาณงานและความกดดันถึงระดับที่ยากจะทนได้
ด้วยประเด็นนี้ในใจ ผมเริ่มมองหามุมดีๆ สำหรับถ่ายทอดเรื่องราววงการแฟชั่น และโดยบังเอิญ ผมได้เจอดรีส แวน โนเทนในช่วงนั้น ทีมนิตยสารโว้กในอเมริกากับช่างภาพ เจอร์เกน เทลเลอร์ กำลังจะถ่ายคอลเล็กชั่นล่าสุดของเขา และผมเองก็กำลังทำสารคดีเกี่ยวกับเทลเลอร์ ผมจึงพลอยได้ตามเข้าไปยังบ้านและสวนของดรีสซึ่งผมประทับใจมากเพราะให้ความรู้สึกราวกับหลุดไปยังอีกโลก เป็นอาณาจักรส่วนตัวที่ไม่ถูกอิทธิพลอันไม่น่าพึงใจใดๆ จากภายนอกแตะต้อง และผมก็ทั้งทึ่งทั้งหลงใหลเขา โดยเฉพาะสัมผัสอันเฉียบขาดของเขาในการขัดเกลางานให้สมบูรณ์แบบ และระดับสมาธิที่เฉียบคมอย่างที่สุด
ทุกสิ่งที่ผมได้เห็นจากดรีสทำให้ผมทั้งฉงนและขัดแย้ง ทั้งพบว่ามันแปลกใหม่และก็คุ้นเคยในคราวเดียวกัน …เป็นไปได้อย่างไรที่คนซึ่งแต่งตัวด้วยชุดธรรมดาๆ อย่างกางเกงชีโน่สีเบจหรือสีฟ้ากับเชิ้ตขาวเหมือนกันทุกวันจนแทบจะเป็นเครื่องแบบ กลับสามารถให้กำเนิดเสื้อผ้าที่ทั้งสร้างสรรค์และโด่งดังไปทั่วโลกแบบนี้ได้? โลกใบใหม่ที่ผมเหยียบย่างเข้าไปนี้คือส่วนผสมที่น่าอัศจรรย์ใจ ระหว่างอิสรภาพอันไร้ขีดจำกัดของความงาม และการหมกมุ่นทุ่มเทอย่างเปี่ยมวินัยของคนที่มีใจรักอย่างแท้จริงในงานของตน
สัญชาตญาณบอกผมว่า ดรีส แวน โนเทน นี่แหละคือบุคคลที่น่าบอกเล่าเป็นหนังสารคดี และผมยิ่งมั่นใจขึ้นอีกเมื่อลงมือหาข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับตัวเขาและงานของเขา ผมพบว่าบทบาทของเขาในโลกแฟชั่นโดดเด่นมาก เขาไม่โฆษณา แต่กระนั้นกลับได้รับเสียงชื่นชมจากสื่อมวลชนในวงการทุกสื่อ เขาไม่ได้มีชีวิตแบบคนวงการนี้ทั่วๆ ไปที่หวือหวา ดราม่า หรืออื้อฉาว แต่เรียกได้ว่าตรงข้ามเลยทีเดียว นอกจากนั้นเขายังไม่เคยตามเทรนด์ตลาด (เช่น เขาไม่สนใจการออกหลายๆ คอลเล็กชั่น ไม่เน้นขายสินค้าประดับเสริมอย่างรองเท้า กระเป๋า น้ำหอม ฯลฯ มากไปกว่าเสื้อผ้า) แม้การเกาะเทรนด์อาจช่วยสร้างยอดขายและกำไรมากขึ้น แต่บ่อยครั้งก็ต้องแลกด้วยคุณภาพและพลังสร้างสรรค์ที่ลดน้อยลงซึ่งนั่นไม่ใช่สิ่งที่ดรีสต้องการ เขารักงานฝีมือนี้จริงจังและรู้สึกเสมอว่าเขายังต้องทุ่มตัวเองให้แก่ทุกกระบวนการสร้างสรรค์ ตั้งแต่การเลือกเนื้อผ้า การคิดรูปทรงและวิธีการพิมพ์ มากกว่าจะทำหน้าที่เป็นเพียงอาร์ตไดเร็กเตอร์ของบริษัทเท่านั้น
การได้พบดรีสและอ่านเรื่องราวเกี่ยวกับเขาเพิ่มพูนความอยากรู้ในใจผม ผมสงสัยว่าทำไมถึงไม่เคยมีใครทำหนังเกี่ยวกับคนคนนี้มาก่อน และแล้วไม่นานนักผมก็พบคำตอบ : เขาต่างหากเป็นฝ่ายบอกปัดโครงการหนังทุกเรื่องก่อนหน้านี้เอง
ถ้าให้เดา ผมคิดว่ามีสองเหตุผลหลัก ข้อแรก ดรีสเป็นนักนิยมความสมบูรณ์แบบที่ต้องการให้โลกเห็นแต่ผลสุดท้ายของงานที่สมบูรณ์พร้อมแล้วเท่านั้น แต่คนทำหนังจะต้องการติดตามกระบวนการคิดสร้างสรรค์และต้องผ่านขั้นต่างๆ ที่แน่นอนว่าย่อมไม่มีอะไรดูสมบูรณ์แบบเลย ซึ่งนี่อาจเสี่ยงที่จะเป็นการทำลายมนต์มายาของผลงานในสายตาของสาธารณชนได้ อีกข้อหนึ่ง ดรีสเป็นคนที่ระมัดระวังตัวที่สุดเท่าที่ผมเคยเจอมา การต้องถูกกล้องคอยตามจึงเป็นอะไรที่ตรงข้ามกับจุดยืนของเขา ดังนั้น การจะทำหนังเกี่ยวกับเขาภายใต้เงื่อนไขเหล่านี้จึงต้องอาศัยหลักการสำคัญข้อเดียว นั่นคือความไว้เนื้อเชื่อใจ ดรีสต้องมีความไว้ใจให้ผมในฐานะคนทำหนังเสียก่อน หาไม่แล้วหนังก็ไม่มีทางเกิดขึ้นได้
ผมใช้เวลา 3 ปีเต็ม เขาจึงยอมตกลงด้วย เขาคิดแล้วอย่างรอบคอบ การอดทนรอคอยให้ผลรางวัลตอบแทน เรานัดคุยกันสองสามครั้งถึงวิธีทำงานของผม ความคาดหวังตั้งใจที่ผมมีต่อหนัง ผมอธิบายว่าผมสนใจเรื่องราวที่เรียบง่ายกว่าหนังเกี่ยวกับเพื่อนๆ ร่วมอาชีพคนอื่นๆ ของเขาซึ่งมักซับซ้อนกว่า ผมสัญญาว่าผมจะเป็นคนเดียวที่ถือกล้องตามถ่ายเขา เว้นแค่บางครั้งที่อาจมีคนบันทึกเสียงอีกหนึ่งคนตามไปด้วย และผมก็ตกลงว่าเราจะทดลองถ่ายบางส่วนกันก่อนเพื่อดูว่ามันออกมาเป็นอย่างไร โดยเริ่มจากการเข้าไปถ่ายเบื้องหลังการเดินแฟชั่นโชว์งานหนึ่งและการฟิตติ้งอีกครั้งหนึ่งในสตูดิโอของเขาที่แอนต์เวิร์ป ที่ซึ่งดรีสลืมไปเลยว่ามีกล้องถ่ายอยู่และก็เป็นตัวของตัวเองอย่างเต็มที่
ในที่สุด งานชิ้นนี้ก็ลงเอยด้วยการที่ผมได้ตามติดเขาเป็นเวลาหนึ่งปีเต็ม บางครั้งผมก็รู้สึกว่าเขายินดีต้อนรับ บางครั้งก็ไม่ แต่ผมรู้ว่าผมได้เข้าใกล้ชิดเขาและโลกของเขามากที่สุดแล้วเท่าที่จะเป็นไปได้ และผมก็หวังว่า หนังเรื่องนี้จะเป็นมุมมองที่มีความเป็นส่วนตัวมากๆ ต่อชีวิตและผลงานของแฟชั่นดีไซเนอร์ผู้แสนโดดเด่นที่สุดคนหนึ่งแห่งยุคสมัยของเราคนนี้”
RECOMMENDED CONTENT
พบกับตัวอย่างแรกภาคต่อหนังซูเปอร์ฮีโร่ฟอร์มยักษ์จากมาร์เวล Marvel Studios’ Deadpool & Wolverine พุธที่ 24 กรกฎาคม โดยภาคนี้กำกับการแสดงโดย Shawn Levy และแน่นอนกับการกลับมาของ Hugh Jackman ที่ไม่มีใครสามารถแทนได้จากบท Wolverine