fbpx

CONTACT US

DOODDOT VIDEOS

#HEALTH — ติดรส หวาน มัน เค็มมากไป… หัวใจอ่อนแอ
date : 18.กรกฎาคม.2018 tag :

พฤติกรรมการรับประทานอาหารของคนในปัจจุบัน มักเน้นรสชาติที่ถูกปาก เมนูหน้าตาถูกใจ สีสันชวนน่ารับประทาน โดยเฉพาะรสหวาน มัน เค็ม ที่เรียกได้ว่าเป็นรสชาติยอดนิยมของคนไทย แต่กลับส่งผลเสียต่อสุขภาพ หากขาดการควบคุมและบริโภคเกินพอดี

นพ.อนุสิทธิ์ ทัฬหสิริเวทย์ อายุรแพทย์หัวใจ โรงพยาบาลหัวใจกรุงเทพ กล่าวว่า “อย่างที่ทราบกันดี ว่าเมืองไทยเรานั้นมีอาหารให้เลือกรับประทานมากมาย ที่สำคัญอาหารไทยมีครบทุกรส ทั้งหวาน มัน เค็ม เผ็ด เปรี้ยว รสชาติที่ชวนกินจึงนำไปสู่ความเสี่ยงในการบริโภคเกินพอดี ซึ่งอาจส่งผลให้เกิดโรคหัวใจ ถ้าไม่รีบควบคุมปริมาณให้พอเหมาะไว้”

หวานไปไม่ดี

น้ำตาลเป็นแหล่งพลังงานที่ไม่มีสารอาหารอื่นๆ เมื่อบริโภคมากเกินไปร่างกายจึงได้รับแต่พลังงานเพียงอย่างเดียว ที่น่าสนใจคือแม้น้ำตาลจะมีหลายชนิด แต่ให้พลังงานไม่ต่างกันคือประมาณ 4 กิโลแคลอรี่ต่อกรัม และแม้ร่างกายจะมีกระบวนการป้องกันไม่ให้น้ำตาลในเลือดสูงเกินไป แต่หากบริโภคน้ำตาลมากเกินไป จะทำให้น้ำตาลในเลือดสูงส่งผลให้ร่างกายหลั่งอินซูลินจากตับอ่อนเพื่อนำน้ำตาลในเลือดเข้าสู่เซลล์แล้วเปลี่ยนเป็นพลังงาน

ทั้งนี้ แต่ละคนจะตอบสนองต่ออินซูลินไม่เท่ากัน คนที่หลั่งอินซูลินแต่ร่างกายไม่สามารถนำน้ำตาลเข้าสู่เซลล์จะส่งผลทำให้น้ำตาลในเลือดสูง เกิดแนวโน้มที่จะเป็นโรคหัวใจเพิ่มขึ้นได้ในที่สุด ป้องกันไม่ให้หวานมากเกินไปได้อย่างไร สามารถป้องกันระดับน้ำตาลในร่างกายไม่ให้เกินได้โดย ควรกินน้ำตาลให้น้อย โดยเฉลี่ยไม่เกินวันละ 6 ช้อนชา (24 กรัม) เลี่ยงเครื่องดื่มทุกชนิดที่มีน้ำตาลมากกว่าร้อยละ 5 ซึ่งสังเกตได้จากฉลากข้างขวด

เลือกทานผลไม้ที่มีปริมาณน้ำตาลน้อย เช่น ฝรั่ง มะละกอ แอปเปิ้ลเขียว ส่วนของหวานหลังอาหารรับประทานได้ แต่ควรเน้นรสหวานน้อยและสลับกับการรับประทานผลไม้หลังมื้ออาหาร

มันมากโรคถามหา

ไขมัน ถือเป็นสารอาหารจำเป็นต่อร่างกายและเป็นแหล่งพลังงานสำคัญ ไขมัน 1 กรัม ให้พลังงานสูงถึง 9 กิโลแคลอรี่ มากกว่าคาร์โบไฮเดรตและโปรตีน หากรับประทานไขมันมากเกินไป นอกจากจะทำให้อ้วนยังนำไปสู่โรคเรื้อรังได้ โดยเฉพาะไขมันทรานส์ที่เกิดขึ้นระหว่างกระบวนการผลิตไขมันเทียม ซึ่งพบในเนยขาว เนยเทียม เบเกอรี่ โดนัท คุกกี้ ครีมเทียมบางชนิด ฯลฯ

หากรับประทานมากเกินไปจะไปสะสมอยู่ตามผนังหลอดเลือด ส่งผลให้เส้นเลือดตีบ ทั้งยังเพิ่มไขมันชนิดไม่ดี (LDL) และลดไขมันชนิดดี (HDL) ทำให้มีโอกาสเป็นโรคหลอดเลือดหัวใจเพิ่มสูงขึ้นได้

นอกจากนี้การรับประทานอาหารที่มีกรดไขมันอิ่มตัวมากซึ่งมักพบในน้ำมันจากสัตว์ เนื้อสัตว์ที่มีไขมันขาวๆ ไขมันในนม และเนยสด จะส่งผลให้คอเลสเตอรอลสูง เสี่ยงต่อการเป็นโรคหัวใจและหลอดเลือดมากขึ้นเช่นกัน

วิธีป้องกันไขมันไม่ให้เกิน คือ ควรกินไขมันให้น้อยไม่เกินวันละ 6 ช้อนชา (30 กรัม) ทานเนื้อสัตว์ไม่มีหนัง ไม่ติดมัน และไม่ควรเกิน 9 ช้อนโต๊ะต่อวัน เลี่ยงอาหารทอดเพราะน้ำมันที่ใช้ทอดอาหารอย่าง น้ำมันหมู น้ำมันปาล์ม ฯลฯ มักจะมีกรดไขมันอิ่มตัวมาก งดอาหารที่มีไขมันทรานส์ เช่น เค้ก ครีมเทียม ป๊อปคอร์น แฮมเบอร์เกอร์ ฯลฯ และ ไม่ควรทานอาหารที่ใช้น้ำมันทอดซ้ำ เป็นต้น

เค็มมากร่างพัง

ความเค็มเป็นรสชาติที่ติดปากคนไทย ซึ่งมาจากสารประกอบโซเดียมคลอไรด์หรือเกลือที่นำมาใช้ในการทำอาหาร ซึ่งโซเดียมนั้นมีประโยชน์กับร่างกายคือช่วยให้ระบบไหลเวียนของร่างกายเป็นปกติ ความดันและปริมาตรของเลือดเป็นปกติ

แต่หากได้รับโซเดียมมากเกินไปจะนำมาซึ่งผลเสียต่อสุขภาพคือ เมื่อทานเกลือจะอยากทานน้ำ พอทานน้ำเข้าไปรวมเป็นน้ำเกลือก็จะเพิ่มปริมาณเกลือแร่ในเลือด ส่งผลให้หัวใจต้องสูบฉีดเลือดไปเลี้ยงส่วนต่างๆ หนักขึ้น เปรียบเหมือนหัวใจเล่นเวท ทำให้แรงดันหลอดเลือดสูง อาจเกิดภาวะหัวใจโต นำไปสู่ภาวะหัวใจล้มเหลวได้

และการกินเค็มมากไป ทำให้เป็นความดันโลหิตสูง ซึ่งนำไปสู่ภาวะเส้นเลือดในสมองแตกหรืออัมพาตได้ ที่น่ากลัวคือเมื่อโซเดียมมากเกินไป ร่างกายอาจไม่แสดงอาการ แต่จะทำลายอวัยวะต่างๆ ไปเรื่อยๆ ดังนั้น การตรวจสุขภาพเป็นประจำทุกปีคือสิ่งสำคัญ

เราสามารถป้องกันโซเดียมไม่ให้เกินได้โดย ควรกินโซเดียมให้น้อยไม่เกินวันละ 1 ช้อนชา (2,000 มิลลิกรัม) งดการเติมน้ำปลาพริกในอาหาร ไม่จิ้มพริกเกลือเมื่อกินผลไม้ เลี่ยงการทานอาหารแปรรูป อาหารสำเร็จรูป อาหารหมักดอง อาหารอบแห้ง ขนมกรุบกรอบ และลดความถี่กับปริมาณการรับประทานน้ำจิ้มต่างๆ ลง

—————

สิ่งสำคัญคือการปรับพฤติกรรม โดยลดการกินหวาน มัน เค็มลงจะช่วยลดความเสี่ยงโรคหัวใจได้ นอกจากนี้การตรวจเช็กสุขภาพหัวใจก็มีความสำคัญ หากรู้ว่าตนเองมีปัจจัยเสี่ยง ติดรับประทานอาหารที่มีรสหวาน มัน เค็มในปริมาณมากไม่ควรชะล่าใจ ควรตรวจคัดกรองโรคหัวใจเช็กความแข็งแรงของหลอดเลือด ยิ่งถ้ามีปัจจัยเสี่ยงทางพันธุกรรมยิ่งควรใส่ใจเข้ารับการตรวจเช็กหัวใจเป็นประจำทุกปี เพื่อห่างไกลจากโรคหลอดเลือด

สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่

โรงพยาบาลหัวใจกรุงเทพ
โทร. 02-310-3000
หรือโทร. 1719 

RECOMMENDED CONTENT

17.มกราคม.2020

“People on Sunday” (2562) เป็นการตีความ บทสนทนาโต้ตอบ และสาส์นแสดงความนับถือต่อภาพยนตร์บุกเบิกจากประเทศเยอรมันเรื่อง “Menshen Am Sonntag” (2473) หรือ “ผู้คนในวันอาทิตย์” ผลงาน “People on Sunday” (2562) ได้นำภาพยนตร์ต้นฉบับดังกล่าวกลับมาตีความใหม่ผ่านบริบทที่แตกต่างจากเดิม ทั้งยุคสมัย ภูมิประเทศ ตลอดจนสภาพในการทำงาน