เราเดินทางมาถึงยุคที่ทุกคนบนโลกใบนี้สามารถเชื่อมต่อและยึดโยงกันได้บนโลกใบเดียวกันอย่างโลกออนไลน์ผนวกกับไลฟ์สไตล์ของคนรุ่นใหม่ Gen Y ที่เติบโตมาพร้อมกับความทันสมัยและรวดเร็ว จนส่งผลการใช้ชีวิตของพวกเขาไม่ว่าจะทำอะไรก็กลายเป็นเรื่องง่ายดายแบบปอกกล้วยเข้าปาก ชีวิตของพวกเขามันเป็นชีวิตที่ไร้กฎเกณฑ์และอยากจะหลุดออกจากกรอบเดิมๆ อย่างการทำงานออฟฟิศเข้า 8 โมงเลิก 5 โมงเป็นเรื่องที่คนยุคนี้ต่างหลีกหนีและหันหาวิถีของการเป็นนายตัวเองกันมากขึ้น จึงทำให้มีอาชีพใหม่สุดฮิตอย่างฟรีแลนซ์บูมขึ้นมารวดเร็ว สิ่งที่ตามมาติดๆ นั่นคือการที่เราได้เห็นกระแสของพื้นที่หนึ่งเกิดขึ้น Co-working Space สถานที่ทำงานที่รวมไว้ด้วยเหล่าฟรีแลนซ์หรือ Startup ขนาดเล็กๆ จนกลายเป็น Community ที่พวกเขาเหล่านั้นสร้างขึ้น
‘DRAFTBOARD’ อีกหนึ่ง Co-working Space ที่พวกเขาให้นิยามตัวเองไว้ว่าเป็น Co-Design Space หลักๆ เน้นการรองรับเหล่าคนทำงานด้านดีไซน์มารวมตัวกัน ก่อตั้งโดยสองหนุ่มไฟแรงที่คลุกคลีอยู่ในวงการดีไซเนอร์และ Tech Startup กับคุณณรงค์ปกรณ์ สว่างวารีสกุล (โทนี่) และคุณภูดิศ เจริญปัญญายิ่ง(สรร) ในวันนี้ดู๊ดดอทจะพาทุกคนไปเยี่ยมชมพื้นที่ทำงานของคนยุคใหม่ที่มีบรรยากาศดึงไฟของการทำงานออกมาได้อย่างดี ณ DRAFTBOARD ย่านชิดลมแห่งนี้
DRAFTBOARD เกิดขึ้นมาได้ยังไง?
สรร: DRAFTBOARD มันเกิดจากการที่ผมกับพี่โทนี่ อยากมีออฟฟิศของตัวเอง แบบนั่งสบายๆ ตกแต่งสวยๆ เลยคิดว่าเราอยากที่จะสร้างออฟฟิศของเราแล้วแชร์ให้คนอื่นใช้ด้วยดีกว่า เลยเป็นจุดเริ่มของ DRAFTBOARD สร้างออฟฟิศที่ Support กลุ่มดีไซเนอร์เป็นหลัก เป็น Co-working Space ของดีไซเนอร์
ทำไมถึงเป็นกลุ่มดีไซเนอร์?
โทนี่: ตัวผมเป็นกราฟิกดีไซเนอร์กับโปรดักชั่นดีไซเนอร์ ผมเองหลงใหลในออฟฟิศที่มันมีดีไซน์มากและการทำงานออกแบบโดยเฉพาะกราฟิกดีไซน์ โต๊ะทำงานต้องใหญ่กว่าชาวบ้านเค้า พอเราทำงานที่อื่น อย่างตามร้านกาแฟ โต๊ะมันเล็กไป รู้สึกว่าถ้าเราจะสร้าง ต้องมีโต๊ะใหญ่ๆ มีพื้นที่ให้วางแมททีเรียล วางหนังสือ วางของ วางพรินเตอร์อะไรต่างๆ
สรร: แต่ผมเองจบด้านวิศวคอมพิวเตอร์มา ก่อนหน้านี้ผมทำเกี่ยวกับ Startup ขึ้นมา เลยคิดว่าจริงๆ แล้วการทำ Startupด้านไอที ไม่ได้แค่เพียงว่ารู้วิชาคอมพ์แต่คุณต้องรู้จักกันกับกลุ่มดีไซเนอร์ด้วย Marketing ด้วย เราเลยอยากทำให้มันเกิด Ecosystem ขึ้นมาเพื่อเป็นการทำงานร่วมกันระหว่างกลุ่ม Tech และ กลุ่มดีไซเนอร์
Ecosystem ของที่นี่เป็นเหมือน Community ของ Co-working Space รึเปล่า?
สรร: ต้องบอกว่าที่ DRAFTBOARD เราค่อนข้างมีความหลากหลายของคนที่เข้ามาใช้งาน มีทั้งคนด้านดีไซน์และคนทำงานด้าน Tech Startup เราอาจไม่ได้ไปทางเฉพาะด้านดีไซน์อย่างเดียว เพราะความหลากหลายทำให้การทำงานแมทช์กันได้ดีขึ้น
โทนี่: เพราะว่าถ้าเราอยู่ในยุคก่อน งานดีไซน์มันอยู่ได้ด้วยตัวเองอยู่แล้วมันคือ Impression Art มันทำเพื่อความชอบความสวยงาม แต่ในยุคนี้ที่เป็นยุคของ Internet งานศิลปะ มันจะ Interactive ได้ยังไง มันเลยต้องมีการใช้งานด้าน IT เข้ามา การที่เค้าเรียกว่า Co-working Space เพราะเวลาเรานั่งทำงาน เราไม่ได้ทำงานคนเดียว เราทำงานกับคนที่นั่งอยู่ในนี้อีกหลายๆ คน บางครั้งถ้าเราเป็นคนที่เริ่มธุรกิจไม่รู้จะหันไปปรึกษาใคร ลองหันไปหาคนข้างๆ อาจจะช่วยคุณได้ เป็นจุดเด่นเลย ของ Co-working Space คือถ้าเราทำงานที่ร้านกาแฟ จะไม่เจอลูกค้าประจำบ่อย แต่ถ้ามาที่ Co-working Space จะเจอคนประจำ คุ้นหน้ากันอยู่แล้ว เค้าสามารถทิ้งคอมพ์ไว้ที่โต๊ะได้เลยนะ แล้วค่อยกลับมา แต่ถ้าร้านกาแฟ แค่เข้าห้องน้ำก็ต้องระวังๆ แล้ว
แต่ก็ยังเห็นคนทำงานร้านกาแฟเยอะนะ?
โทนี่: ผมว่าบรรยากาศร้านกาแฟไม่ได้เหมาะกับการทำงานขนาดนั้น ถามว่ามีปลั๊กไฟไหม ก็มี มีเน็ตไหม ก็มี แต่เค้าไม่ได้มีอะไรไว้ Support การทำงานขนาดนั้น อย่างเวลาจะดาวน์โหลดงาน 10 GB ร้านกาแฟไม่น่าจะรอด แต่ที่นี่ใช้เวลา 3 นาที ก็เรียบร้อย ที่สำคัญคือการอัพโหลด เวลาเราทำงานเสร็จแล้วจะส่งงาน ถ้าเป็นเน็ตบ้านทั่วไป ไม่ Support อัพโหลดขนาดนั้น แต่หัวใจสำคัญหลักมันคือคนที่อยู่ที่นี่มากกว่า การได้รู้จักคน ได้เจอคนใหม่ๆ ได้มาเล่นกับพวกเรา (หัวเราะ) มันเลยกลายเป็น Community ย่อมๆ คึกคัก ถ้า Co-working Space เงียบๆ คนก็จะไม่ค่อยอยากมา
ไลฟ์สไตล์การทำงานของคนยุคนี้กับการใช้งาน Co-working Space?
โทนี่: ต้องบอกก่อนว่า Co-working Space การใช้งานของมันจะไม่เหมือนออฟฟิศทั่วไป คนที่ทำงานที่นี่จะเป็นพวกฟรีแลนซ์หรือบริษัท Startup ขนาดเล็กๆ เป็นคนแบบยุคใหม่ที่ไม่ได้เข้างานตามปกติ Co-working Space จะให้ความ Flexible ที่แบบเข้าออกเมื่อไหร่ก็ได้ จะไม่ได้ทำงานที่นี่ทุกวัน บางวันก็ไปทำงานที่อื่น ไปร้านกาแฟบ้าง คุยกับลูกค้าบ้าง ที่นี่จะเป็นเหมือน Hub ของเค้ามากกว่า ที่ไม่ว่าเมื่อไหร่อยากจะโฟกัสเรื่องงานจริงๆ ก็กลับมา เราไม่ได้ Expect ว่าลูกค้าจะต้องเข้ามาทำงานทุกวัน แต่เค้าจะเป็น Member เราเพื่อมีฐานไว้ใช้ทำงาน
สรร: ทั่วไปก็คนที่สามารถมี Briefcase 1 ใบแล้วสามารถไปทำงานที่ไหนก็ได้ จริงๆ มันกว้างไปตั้งแต่เป็นฟรีแลนซ์ทำงานคนเดียวจนถึงตั้งบริษัทแล้ว 4-5 คนก็ได้ เพราะมันยังไม่ต้องมีออฟฟิศแต่เค้ายังต้องการ Collaborate กับคนอื่นๆ อยู่ แล้วแบบคนรุ่นใหม่เขาอยากเป็นนายตัวเองมากขึ้น มากี่โมงก็มา ตื่นกี่โมงก็ได้ ผมมองว่ามันเข้าถึงง่ายมากขึ้นมากกว่า สมัยก่อนต้นทุนในการผลิตของมันแพง แต่ยุคนี้เป็นกราฟิกหรือเทคโนโลยีกันหมดแล้ว ต้นทุนถูกลง คือคอมพ์เครื่องเดียว ก็ทำงานได้แล้ว กำแพงในการเข้าสู่ตลาดมันน้อยลง เชื่อมต่อได้ง่ายขึ้น
ใครคือลูกค้าของ DRAFTBOARD?
โทนี่: มีหลายอาชีพนะ ดีไซเนอร์, Tech Startup, Architecture, Interior Designer, นักวาดการ์ตูน, Journalist, Screenwriter, Finance ก็มี มันหลากหลายมาก เราลิมิตไม่ได้ว่าลูกค้าจะเป็นอาชีพแบบไหน
สรร: แต่ต้องบอกว่าหลักๆ คือคนกลุ่มดีไซน์และบริษัทที่อยู่ที่นี่มากสุดคือดีไซเนอร์เป็นหลัก แต่การที่มีความหลากหลายมามิกซ์กันเราคิดว่าข้อดีคือการที่หลายคนได้ Collaborate กัน
โทนี่: ซึ่งการ Collaboration มันเกิดได้ 2 แบบ แบบ Organic คือเค้าไปคุยกันเอง มันมีเกิดขึ้นอยู่แล้วกับแบบ Push คือเราสร้างให้เกิด เช่น เราจัดกิจกรรม หาเรื่องให้เค้าได้คุยกัน เราเพิ่งรับ Member ล็อตใหม่มาเดือนที่แล้ว เราก็ต้องหาวิธี Pushวิธีใหม่ อะไรแบบนี้
DRAFTBOARD มีอะไรซัปพอร์ตลูกค้าที่เข้ามาทำงานบ้าง?
สรร: เราจะแบ่งเป็นโซนต่างๆ มี Share Desk โต๊ะตรงกลางขนาดใหญ่ เหมาะกับทำงานเป็นกลุ่ม หลายคน มี Fix Desk สำหรับทำงานคนเดียว มีห้อง Workshop สำหรับคนทำงาน Craft และมี Meeting Room
โทนี่: ที่นี่จะมี Photo Studio สตูดิโอถ่ายภาพด้วย เป็นแบบขนาด Human Size บางทีก็ไว้ใช้งานเป็นห้องประชุมขนาดใหญ่ ถ้าห้องประชุมธรรมดามันได้แค่ 15 คน ถ้าเกิน 15 คนก็ใช้สตูดิโอแทน และยังมี Editor Room ห้องตัดต่อวีดีโอ Printing Room ห้องพิมพ์งาน และมีโซนชิลล์ไว้ให้พักผ่อน มีโต๊ะพูลให้เล่นคลายเครียด
DRAFTBOARD มีห้องพิมพ์งานแบบนี้แล้วเครื่องพรินเตอร์ตัวไหนที่ DRAFTBOARD เลือกใช้?
โทนี่: ด้วยความที่ที่นี่ มีคนเข้ามาทำงานเยอะ เวลาที่เราจะใช้พรินเตอร์เราก็ต้องการความสะดวก แบบไม่ต้องมายืนรอต่อคิวเสียบสายเข้าคอมพิวเตอร์ เราเลยเลือกพรินเตอร์อย่าง Epson รุ่น L565 ตอบโจทย์มาก ข้อดีของเจ้าตัวนี้คือมีขนาดเล็ก จะจับวางตรงไหนก็ได้ ความเจ๋งของมันอีกอย่างที่ตอบโจทย์คนยุคนี้มากเลย คือ ความที่มันเป็น Wireless เสียบปลั๊กไฟอย่างเดียว ไม่ต้องมีสายอะไรเยอะแยะ
สรร: มันดีจริงๆ นะแถมยังใช้งานได้หลายฟังก์ชั่นได้ทั้งพิมพ์ ทั้งสแกน ใช้งานได้ง่าย พอมัน Wireless ปุ๊บ ก็เข้ามือถือตรงได้เลย ไม่ต้องส่งไฟล์ผ่านอะไรซับซ้อน ยิ่งเรามีสตูดิโอถ่ายภาพด้วย อย่างช่างภาพ แค่ซื้อกระดาษกรอสมาใช้งานแค่นั้นก็จบแล้ว ลูกค้าเราถ่ายรูปเสร็จ เข้าห้องแต่งรูป พิมพ์งานก็เสร็จเลย ถ้ามีพรินเตอร์แบบนี้ก็ยิ่งสะดวก เพราะมันเร็วมากขึ้นสำหรับคนที่มาใช้งานสตูดิโอถ่ายภาพ ยิ่งเป็น Ink Tank ด้วย ต้นทุนก็ถูกลงอีก
การที่พรินเตอร์มันเป็น Multifunction ตอบโจทย์เรายังไง?
โทนี่: ข้อดีของการที่มันทำงานได้หลายอย่างในเครื่องเดียวเล็กๆ คือเราไม่จำเป็นต้องมีหลายเครื่อง อย่างถ้าออฟฟิศปกติจะต้องมีหลายเครื่องมาก ทั้งพรินเตอร์ไหนจะเครื่องสแกน ไหนจะเครื่องแฟกซ์ แต่โห! อันนี้แบบเครื่องเดียวจบเลย ประหยัดพื้นที่ในการใช้งาน ยิ่งของเราเป็น Co-working Space พื้นที่ใช้งานเราจำกัดด้วยไง และที่ถูกใจของผมในฐานะที่เป็น Operator ก็คือการที่พรินเตอร์ตัวนี้มันเป็นระบบ Ink Tank เราแค่คอยเติมอย่างเดียว แถมประหยัดค่าใช้จ่ายเราได้เยอะมาก เพราะคนที่เข้ามาทำงานที่นี่ต้องมีการใช้งานพรินเตอร์ตลอดด้วย
ความเร็วในการพิมพ์นี่มีผลต่อเราเยอะไหม?
สรร: ความเร็วในการพิมพ์ของ Epson รุ่นนี้ช่วยเราได้เยอะมากๆ นะ อย่างบางทีเราต้องพิมพ์กันครั้งนึง 20 – 30 แผ่น มันช่วยในเรื่องของ Traffic ได้เยอะมาก คือรุ่นนี้มันสามารถพิมพ์ได้ 33 แผ่นใน 1 นาที ถ้าเป็นดราฟท์นะ คือมันเร็วมากและพอมันพิมพ์เสร็จเร็วก็ทำให้คนพิมพ์งานหมุนเวียนดีขึ้น ยิ่งคนใน Co-working Space มีเข้ามาทำงานเยอะ พรินเตอร์ยิ่งต้องพิมพ์ได้เร็ว คนจะได้ไม่ต้องต่อคิวยาว
แล้วอย่างฟังก์ชันแฟกซ์นี่เราได้ใช้เหรอ?
สรร: โห แฟกซ์นี่เป็น Pain Point ได้เลย เพราะสมัยก่อนเวลาผมอยู่ออฟฟิศ บางที่ต้องส่งแฟกซ์ ซึ่งการส่งแฟกซ์มันคืออนาล็อก แล้วผมส่งอีเมลเข้าอนาล็อกไม่ได้อยู่แล้ว ก็ต้องไปส่งที่ร้านส่งแฟกซ์ แต่เครื่องนี้มันอารมณ์แบบสแกนเป็นดิจิตอลไฟล์ปุ๊บแล้วส่งแฟกซ์ได้เลย สะดวกจริงๆ
ฟังก์ชั่นไหนของพรินเตอร์ตัวนี้ที่ประทับใจเรามากที่สุด?
โทนี่: ผมเลือกการสแกนแล้วเข้ามือถือได้เลยนะ เพราะว่ามันสะดวก เราสามารถยิงตรงเข้ามือถือแล้วส่งอีเมลได้เลย ไม่ต้องมาเข้าคอมพ์อีกหลายขั้นตอน ส่วนใหญ่คนยุคนี้ก็ทำงานผ่านสมาร์ทโฟนกันซะเยอะ มันทำให้ Process ในการส่งอะไรสักอย่างที่มีรายละเอียดสูงให้คนอื่นดู ทำง่ายขึ้นและเร็วยิ่งขึ้น
สรร: ที่เห็นหลักๆ ความง่ายมันคือ Wireless อย่างที่ว่า มันกดผ่าน Apps ในมือถือ ใช้ง่ายมาก ส่งตรง กดปุ๊บ ออกปั๊บเลย ดูหน้าตาเป็นมิตรด้วย สมัยก่อนมีปัญหาเรื่องหน้าตาการใช้งาน ปวดหัว ดูใช้ยาก ยิ่งเวลาลง Driver ใน Macbook ปกติจะวุ่นวายนิดนึง แต่นี่ลงง่ายมาก อีกอย่างคือสแกนเร็วดี ชอบมากๆ สแกนเป็น Tray ได้อีกด้วย แบบทีละเยอะๆ เพราะฉะนั้น ใส่ไปตู้มเดียว จัดการได้เลย Ink Tank ก็ประทับใจ เป็นอะไรที่สุดยอดอยู่แล้ว พิมพ์ได้กระหน่ำ ซัมเมอร์เซลล์ (หัวเราะ)
ปัญหาและอุปสรรคในการทำ Co-working Space?
สรร: เราก็มี Learning Curve ค่อนข้างสูง เพราะเป็นครั้งแรกที่เราทำธุรกิจ Co-working Space มีปัญหาเกิดขึ้นทุกวัน ยิบย่อย รายละเอียดเยอะแต่เราก็พยายามคุยกันเสมอ เคสที่แย่สุดๆ คือตอนแอร์เสีย ด้วยสเปกของตึกที่เราอยากได้ เราอยากได้ที่เปิดปิดแอร์เองได้เป็นแอร์แยก เพราะถ้าตึกใหญ่ๆ แอร์จะเป็นตู้ใหญ่ๆ เลย เพราะฉะนั้นถ้าแอร์เสีย ก็ลองนึกสภาพมันจะกลายเป็นเตาอบไปเลย แล้วตอนนั้นแอร์มันดันเสียอยู่ประมาณ 3 วัน Member เราก็ร้อนมาก คือตอนนั้นแบบแย่เลย แทบสุก (หัวเราะ)
โทนี่: ด้วยความที่พอเสียแล้วมันเป็นแอร์รุ่นคุณปู่ เก่ามาก อะไหล่ก็หาไม่ได้ง่าย เราเลยต้องรอ แต่ Member เรารอไม่ได้ไง เราก็ต้องโทรหา Co-working Space เจ้าอื่น ว่าช่วยรับ Member เราหน่อย เดี๋ยวตามไปจ่ายเงินให้ เราก็ต้องแก้ไขปัญหาเฉพาะหน้าไป มันเลยกลายเป็นการ Collaborate ระหว่าง Co-working Space ไป
อนาคตของ Co-working Space จะเป็นยังไง
โทนี่: สำหรับผมมองว่า คนเค้าอยากได้ออฟฟิศที่สวย น่าอยู่ น่าทำงาน อีกหน่อยจะมี Co-working Space ในสไตล์ต่างๆ เกิดขึ้นเรื่อย ๆ ไม่เหมือน Office for rent ที่เข้าไปก็เหมือนเดิม แต่ Co-working Space มันเหมือนร้านอาหารที่จะต้องมี Theme เปลี่ยนไปเรื่อยๆ คนที่ชอบ Theme ไหน ก็จะไปอยู่ที่นั่น เหมือนเราเลือกร้านอาหาร เราเลือกร้านอาหารด้วยสายตาก่อน ไม่รู่อร่อยหรือเปล่า คนทุกวันนี้ไม่ได้อยากทำงานในออฟฟิศแล้วแต่อยากทำงานในที่ที่เรียกว่า Workplace ที่มันสบายใจ คนจะตามหาอะไรแบบนั้น
EPSON L565
- มัลติฟังก์ชันอิงค์เจ็ท Print/ Copy/ Scan/ Fax(With ADF)
- ความละเอียดในการพิมพ์สูงสุด 5760 × 1440 dpi.
- พิมพ์งานแบบร่างด้วยความเร็วขาวดำ 33 แผ่น/นาที, สี 15 แผ่น/นาที
- พิมพ์งานความเร็วมาตรฐานขาวดำ 9.2 pm, สี 4.5 ipm
- ความเร็วการถ่ายเอกสารขาวดำ 7.7 ipm, สี 3.8 ipm
- ความละเอียดการสแกนสูงสุด 1200 × 2400 dpi(optical)
- ส่งแฟกซ์ที่ความเร็ว 33.6 Kbps, ประมาณ 3 วินาที/หน้า
- รองรับการส่งแฟกซ์ทั้งแบบ Flatbed และถาด ADF
- ถาดป้อนกระดาษรองรับสูงสุด 100 แผ่น (A4/75 แกรม)
- รองรับการเชื่อมต่อแบบ USB 2.0 และ เครือข่าย 100BASE-TX/10BASE-T
- รองรับการเชื่อมต่อไร้สายในแบบ Wi-Fi และ Wi-fi Direct
EPSON
Website: www.epson.co.th
Facebook: www.facebook.com/
RECOMMENDED CONTENT
เบื้อหลัง The Fast and the Furious: Tokyo Drift ที่เปิดตัวไปเมื่อปี 2006 กำกับโดย Justin Lin เป็นหนึ่งภาคที่ประสบความสำเร็จอย่างมาก ทำรายได้ถึง 5,300 ล้านบาท