พอทราบว่าทางดู๊ดดอทได้รับโอกาสสุด exclusive จากช่างภาพระดับโลก Ralph Gibson เนื่องในโอกาสเดินทางมายังกรุงเทพฯ เพื่อแสดงและเปิดนิทรรศการภาพถ่าย ‘Nude and Muses‘ ที่ Leica Gallery Bangkok เราก็ดีใจจนละความตื่นเต้นไว้ไม่อยู่ เตรียมคำถามสัมภาษณ์ด้วยความรู้สึกยากยิ่ง เพราะชายอายุเกือบ 80 ผู้นี้ให้สัมภาษณ์กับสื่อมากมายมาแล้วทั่วโลก ตอบคำถามมาแล้วเป็นร้อย เราจึงกังวัลมากว่าคำถามของเราจะซ้ำซากจำเจ จนพานทำให้ราล์ฟแสดงอาการเบื่อหรือไม่
หลังจากที่ช่วงเช้าของวันสัมภาษณ์ ราล์ฟมีตารางออกไปล่องเรือคลองแสนแสบเพื่อพักผ่อนและถ่ายภาพกรุงเทพฯ ด้วยกล้อง Leica ตัวโปรดของเขา ช่วงบ่ายราล์ฟก็กลับมาที่ Leica Gallery Bangkok เพื่อให้สัมภาษณ์กับเรา ก่อนสัมภาษณ์ทุกอย่างยังคงเคร่งเครียดและน่าตื่นเต้น แต่เราก็สัมผัสได้ว่าราล์ฟเป็นคนสบายๆ และระหว่างที่สัมภาษณ์ด้วยความกระท่อนกระแท่นของตัวผู้สัมภาษณ์เอง เราก็ค้นพบว่า…
ราล์ฟเปรียบได้กับคุณลุงใจดี ที่แม้ว่าจะดูท่าทีดุดัน เพราะผ่านโลกแห่งการทำงานเป็นช่างภาพมาอย่างหลากหลายและโชกโชน แต่ระหว่างบรรทัดของคำตอบนั้น ล้วนแล้วแต่เป็นเหมือนข้อคิดที่ดี และช่วยให้เราหันกลับมาถามตัวเองในคำถามเหล่านั้นด้วยเช่นกัน
และนี่คือบทสัมภาษณ์ ที่ทำให้เราได้รู้ว่า นี่แหละ… คือสุดยอดช่างภาพที่นิยามตัวเองด้วยคำว่า ‘Be Original‘ อย่างแท้จริง
ใน Biography ของคุณบอกว่า ตอนเป็นเด็ก คุณมักจะใช้ชีวิตส่วนใหญ่ในกองถ่ายภาพยนตร์กับคุณพ่อของคุณ บอกเราหน่อยว่าในช่วงเวลานั้นมีอะไรที่คุณประทับใจมาจนถึงทุกวันนี้บ้าง
ยุคก่อนการทำหนังทุกอย่างคือแมนน่วลทั้งหมด มันไม่มีเทคโนโลยีที่ทันสมัยเหมือนสมัยนี้ ทุกอย่างมันเกิดขึ้นครั้งเดียว ถ่ายคัทเดียว กล้องถ่ายทำเต็มไปหมดเลย ที่ชอบประทับใจมากที่สุดคือเรื่องแสง แต่ก่อนมันยังไม่มีแสงประดิษฐ์เหมือนปัจจุบัน ทุกอย่างเลยต้องถ่ายด้วยแสงธรรมชาติ แสงในตอนนั้นเลยเป็นเรื่องเพอร์เฟ็กต์มากสำหรับผม มันเลยทำให้เวลาทำงาน ผมชอบทำงานกับแสงธรรมชาติมากกว่า ไม่ค่อยทำงานในสตูดิโอ ผมไม่ชอบใช้แฟลช
เดี๋ยวนี้ทุกคนรู้กันหมดแล้วว่าภาพไหนใช้แฟลชหรือไม่ใช้แฟลช ผมเลยไม่ค่อยชอบให้มีการเอาภาพทั้งสองแบบมาเปรียบเทียบกันสักเท่าไหร่ เพราะแค่เรื่องแสง มันก็ต่างกันมากแล้ว และถ้าคุณสังเกต หรือเป็นแฟนผลงานของผม 99 เปอร์เซ็นต์ของภาพที่ผมถ่ายใช้แสงธรรมชาติ
หลังจากที่ใช้ชีวิตอยู่ในกองถ่ายแล้ว เราเห็นว่าคุณได้ทำงานเป็นช่างภาพในกองทัพเรือสหรัฐฯ ด้วย คุณเรียนรู้อะไรจากในนั้นบ้าง
การถ่ายภาพในกองทัพเป็นเรื่องยากมากในยุคที่กล้องยังเป็นแบบออโต้เมติก พลาดแล้วคือพลาดเลย แถมยังต้องดูแลรักษาชีวิตตัวเองอีก ห้องดำสำหรับล้างรูปก็ไม่มี อีกอย่างคือส่วนมากมักจะไม่ได้ภาพที่ดีนักหรอก ผมเลยนับถือคนที่ทำงานในตำแหน่งนี้ของกองทัพมาก และก็เรียนรู้วิธีการทำงานมามากมายซึ่งส่วนใหญ่เอามาใช้ในตอนที่เป็นช่างภาพข่าวด้วย
การได้ทำงานกับช่างภาพรุ่นพี่ชื่อดังอย่าง Robert Frank และ Dorothea Lange นั้นให้บทเรียนอะไรกับคุณบ้าง
‘Be Original’ คือข้อสรุปจากการทำงานกับทั้งคู่นะ คุณต้องทำงานให้เป็นเอกลักษณ์ อย่าไปเลียนแบบในทุกอย่าง คุณไปเรียนรู้จากพวกเขา แต่ไม่ใช่ให้ไปเลียนแบบเขา original มันคือเอกลักษณ์ในงานของผมเลยนะ ตัวผมเองเป็นคนสื่อสารไม่เก่งเลย เพราะอย่างนั้นเลยทำให้ผมชอบสื่อสารด้วยภาพถ่ายมากกว่า ภาพของผมมันเหมือนกับบทสนทนากับความจริงที่อยู่ตรงหน้า มันคือการรับรู้ว่าสิ่งที่เห็นนั้นคืออะไร เป็นอย่างไร แล้วสื่อสารมันออกมา
เราเห็นวิดีโอตัวหนึ่งของ Nowness คุณบอกว่าคุณหลงใหลในการทำหนังสือภาพมาก ช่วยบอกเราหน่อยว่าหนังสือภาพมันมีเสน่ห์อย่างไร
เวลาทำหนังสือภาพ คุณจะได้มีโอกาสวางไดเร็กชั่น วางเรื่องราวของมัน สมมติว่าคุณมีภาพถ่ายสี่สิบแปดภาพ แต่พอมันมาอยู่ในหนังสือภาพมันร้อยเรียงและบอกเล่าได้มากกว่านั้น ผมอยากให้หนังสือภาพเป็นมากว่าการบันทึกช่วงเวลาเอาไว้ อยากให้ภาพเหล่านั้นได้มีโอกาสพูดคุยกับผู้คน มากกว่าอยู่แค่ในแกลเลอรี่
ภาพถ่ายที่นำมาจัดแสดงในครั้งนี้ส่วนใหญ่จะเป็นภาพนู้ด และคุณระบุไว้ในคำอธิบายนิทรรศการว่า มันคือถ่ายภาพในช่วงเวลา ‘private moment’ ช่วยขยายความหน่อยว่าช่วงเวลานี้มันเป็นอย่างไร
ผมว่าภาพถ่ายนู้ดมันบ่งบอกถึงความส่วนตัว นู้ดมันคือความเป็นคน ช่วงเวลานั้นมันเลยเป็นช่วงเวลาที่คนคนนั้นจะเป็นตัวของตัวเองที่สุด การมีอยู่ของตัวผมคือการเข้าไปมีส่วนร่วมในโมเม้นต์นั้น และเลือกเอาเสี้ยวหนึ่งของมันออกมา และมักจะเป็นช่วงเวลาที่ผมประทับใจที่สุดเสมอ
ผมแทบไม่ได้สนใจในตัวแบบเลย ไม่ได้สนว่าเธอจะมีรูปร่างงดงามแค่ไหน ผมกลับสนใจเรื่องราวมากกว่า เรื่องราวของแบบมันก่อรูปร่างได้งดงามกว่า และกลายเป็นว่าภาพถ่ายคือการสื่อสารว่าผมเรียนรู้อะไรจากแบบ แน่นอนล่ะ ว่าแบบที่ผมชอบถ่ายก็คือคนที่ผมสนิทสนมที่สุดนั่นเอง
เห็นว่าช่วงหลังคุณเอาดนตรีมาประกอบกับการจัดแสดงภาพถ่าย ทั้งสองมันเกี่ยวข้องกันอย่างไร
มีคนบอกว่าภาพถ่ายมันคือความจริง แต่คุณไม่เห็นจริงๆ หรอกว่าความจริงมันคืออะไร มันไม่หนึ่งร้อยเปอร์เซ็นต์ มันคือรูปธรรมกับนามธรรมมากกว่า ผมเลยสนใจในท่วงทำนอง (melody) เพราะมันมีความนามธรรมที่เป็นรูปธรรม คุณได้ยินเสียงแอร์ไหม คุณว่ามันคือเสียงหรือมันคือทำนอง (เราตอบกลับไปว่า มันคือเสียง) นั่นแหละคือสิ่งที่ทำให้ผมอยากลองนำมันมาผสมผสานกันดู คุณอาจจะเห็นความจริงจากท่วงทำนองก็ได้
คำถามนี้อาจฟังดูหยาบคายไปหน่อย คุณว่าจำเป็นแค่ไหนที่ภาพถ่ายต้องมีป้ายคำบรรยายอยู่ข้างๆ
ผมว่าการมีคำบรรยายเป็นสิ่งที่โง่มาก สำหรับผม ผมไม่เคยมีชื่อภาพหรือคำบรรยายภาพเลย คุณว่ามันตลกมั้ยล่ะ ตั้งชื่อภาพว่า Untitled ตั้งทำไม ไร้สาระมาก! (หัวเราะ)
สำหรับชายที่อายุกำลังจะขึ้นเลข 8 แล้ว (ปัจจุบันราล์ฟอายุ 79 ปี) มีนิทรรศการและหนังสือภาพมากมาย คุณว่านี่คือจุดที่คุณประสบความสำเร็จแล้วหรือยัง
ประสบความสำเร็จเหรอ (นิ่งคิด) …ผมยึดถือคติ ‘No More, No Less’ นะ นี่คือจุดที่ผมอยู่ และทำอยู่ ประสบความสำเร็จคืออะไร ผมอยากได้อะไร ผมก็ต้องทำงานแลกมันมา และผมก็ยังคงอยากได้อะไรต่อมิอะไรอยู่ ผมก็เลยยังคงทำงานอยู่ อย่างนี้เรียกประสบความสำเร็จมั้ยนะ
เราไม่ค่อยเห็นคุณใส่สูทเลย ส่วนใหญ่เราจะเห็นคุณในเสื้อเชิ้ตสบายๆ กับรองเท้าสนี้กเกอร์เท่ๆ สักคู่ นี่คือเคล็ดลับที่ทำให้คุณยังดูหนุ่มและดูมีพลังในการทำงานตลอดเวลาหรือเปล่า
ผมไม่ค่อยอยากให้ตัวเองดูเป็นนักธุรกิจน่ะ เชื่อมั้ยว่าผมแทบไม่ค่อยได้ใส่เน็คไทเลย ส่องกระจกแล้วมันเหมือนผมกำลังแลบลิ้นอยู่ตลอดเวลา ถ้าจะต้องใส่ผมเลยชอบเน็คไทสีดำมากกว่า ส่วนเสื้อผ้าผมชอบเสื้อผ้าแบรนด์เนมที่ประณีตมากกว่า คือดูเป็นคนทำงานที่ไม่ทางการจนเกินไป
เคยวางแผนว่าจะหยุดอาชีพช่างภาพไหม
ไม่มีเหตุผลที่จะต้องหยุดทำงานเลย ถ้าหยุดทำงานแล้วมันจะเกิดอะไรขึ้นมั้ย ผมไม่รู้ ผมแค่ไม่มีเหตุที่จะต้องกลับไปอยู่บ้าน ใช้ชีวิตบั้นปลายด้วยการไม่ทำอะไรเลย เอาจริงๆ การถามคำถามคำถามนี้ มันเหมือนว่าคุณกำลังทำงานที่คุณไม่ชอบอยู่เลยนะ คุณเลยตัดสินใจจะไปอ่านหนังสือ ไปทำสวน ไปทำอย่างอื่นแทน
อย่างที่บอกว่าผมอยากทำงานไปเรื่อยๆ เพราะมันคือความสุขของผม และผมไม่คิดที่จะหยุดเลย
—————
‘Nude and Muses’
นิทรรศการภาพถ่ายโดย Ralph Gibson
จัดแสดงถึงวันที่ 25 มิถุนายนนี้
ที่ Leica Gallery Bangkok
ชั้น 3 Gaysorn Village
facebook.com/LeicaGalleryBangkok
ขอขอบคุณ Leica Gallery Bangkok
สำหรับสถานที่และการประสานงานสัมภาษณ์ในครั้งนี้
RECOMMENDED CONTENT
ทุกวันนี้ศิลปะในการผลิตมิวสิควิดีโอนั้นถือว่าก้าวหน้าไปอย่างมาก ทั้งในเรื่องเทคนิคและวิธีการเล่า ที่ศิลปินไม่น้อยให้ความสำคัญกับมันไม่แพ้ตัวเพลงที่พวกเขาทำ