พูดถึงภูมิภาคโทโฮคุหรือตะวันออกเฉียงเหนือของประเทศญี่ปุ่นแล้วอาจจะไม่ค่อยคุ้นเคยกัน บางคนนึกไปถึงของกินขึ้นชื่ออย่างลิ้นวัวย่างที่เมืองเซนได หรือแอปเปิ้ลของจังหวัดอาโอโมริ บ้างก็จดจำภูมิภาคนี้ได้จากเหตุการณ์น่าเศร้าอย่างสึนามิเมื่อมีนาคมปี 2011 ที่คลื่นยักษ์ซัดเข้าชายฝั่งของโทโฮคุจนบริเวณนี้เสียหายอย่างหนักแต่ภายหลังก็ได้รับการฟื้นฟูอย่างรวดเร็ว
ถ้าว่ากันด้วยเรื่องศิลปะแล้ว โทโฮคุอาจจะไม่ได้มีพิพิธภัณฑ์ศิลปะขึ้นชื่อแบบ Mori Art Museum หรือ National Art Center ที่โตเกียว แต่ใช่ว่าโทโฮคุจะไม่มีมิวเซียมน่าสนใจเลย มีทั้งประเภทที่มีคอลเล็กชั่นน่าสนใจและออกแบบได้โดดเด่นสวยงาม
ดังนั้นเราขอจัด 7 อันดับอาร์ตมิวเซียมไม่น่าพลาดของโทโฮคุตามนี้เลยจ้า
อันดับ 1
Aomori Museum of Art (อาโอโมริ)
พิพิธภัณฑ์ศิลปะประจำจังหวัดอาโอโมริที่อยู่ตอนเหนือสุดของโทโฮคุ ถือเป็นของดีประจำจังหวัดได้อย่างภาคภูมิใจ ด้วยดีไซน์สวยงามที่เล่นกับเหลี่ยมและโค้งอย่างแปลกตา โลโก้ประจำมิวเซียมรูปสามเหลี่ยมที่ปรากฏทั่วทั้งมิวเซียม และการใช้โทนสีขาวที่กระทั่งห้องน้ำยังขาวสว่างจนแสบตา
Aomori Museum of Art ไม่ได้สวยแต่ภายนอกเท่านั้น ด้านในมีคอลเล็กชั่นน่าสนใจอยู่ไม่น้อย เด็ดสุดคือโซนแสดงงานของศิลปินคนดัง โยชิโตโมะ นาระ (เขาเป็นคนจังหวัดอาโอโมริ) มี Aomori Dog ประติมากรรมรูปสุนัขสีขาวขนาดยักษ์เป็นไฮไลต์ที่ทุกคนต้องมาถ่ายรูป แถมการจะหาเจ้าหมาตัวนี้ยังต้องลัดเลาะเส้นทางซับซ้อนพอควรประหนึ่งเล่นเกมตามหาสมบัติ
ข้อดีของที่นี่คือเปิดวันจันทร์ด้วย (เปิดทุกวันจันทร์ที่ 1 และ 3 ของเดือน / ปกติแล้ววันจันทร์มักเป็นวันหยุดของมิวเซียมใดๆ) ข้อเสียคือเดินทางยากเล็กน้อยต้องฝ่าฟันกับการนั่งรถเมล์ที่ข้อมูลมีแต่ภาษาญี่ปุ่นล้วน แต่ไม่ต้องห่วงเป็นไป กูเกิ้ลทรานสเลทช่วยคุณได้แน่นอน
—————
การเดินทาง : นั่งรถเมล์ Nebutan สาย Shuttle de Root จากสถานี Aomori หรือ Shin-Aomori ก็ได้ให้ลงที่ป้าย Kenritsu Bijutsukan Mae ดูรายละเอียดรถเมล์ได้ที่ www.aomori-kanko-bus.co.jp
เว็บไซต์ : www.aomori-museum.jp
อันดับ 2
Akita Museum of Art (อาคิตะ)
แม้ภายนอกจะดูเป็นตึกเหลี่ยมสีเทาไม่น่าสนใจ แต่นี่คือสถานที่ที่ควรมายิ่งโดยเฉพาะถ้าคุณเป็นสายดีไซน์ เพราะมิวเซียมแห่งนี้ออกแบบโดย ทาดาโอะ อันโด สถาปนิกชาวญี่ปุ่นที่ผู้คนทั้งโลกพากันกราบไหว้ การเดินสำรวจทุกซอกทุกมุมของมิวเซียมถือเป็นเรื่องควรทำ เราจะเห็นว่าอันโดคุมโทนให้ทุกอย่างเป็นทรงสามเหลี่ยม บริเวณบันไดมีช่องแสงทำให้บรรยากาศดูขลัง หรือที่นั่งตรงชั้นสองเป็นกระจกใสที่มองออกไปเห็นบ่อน้ำขนาดใหญ่แสนสบายตา
นอกจากนั้น Akita Museum of Art ยังมีห้องนิทรรศการถาวรของ สึกุฮารุ ฟูจิตะ ศิลปินญี่ปุ่นไม่กี่คนที่ประสบความสำเร็จในโลกตะวันตก ไฮไลต์เด็ดคือ Annual Events in Akita งานจิตรกรรมฝาผนังความยาว 20 เมตร ที่พอไปยืนดูของจริงแล้วได้แต่ทึ่งว่าศิลปินต้องใช้พลังมหาศาลแค่ไหนถึงจะวาดภาพแบบนี้ได้
—————
การเดินทาง : สถานี Akita แล้วเดินต่ออีกประมาณ 10–15 นาที
เว็บไซต์ : www.akita-museum-of-art.jp
อันดับ 3
Sendai Mediatheque (เซนได)
อาคารกระจกโดดเด่นที่ตั้งอยู่กลางเมืองเซนได ภายในมีโครงสร้างประหลาดคล้ายตาข่ายปกคลุมไปทั่วอาคาร ออกแบบโดย โตโย อิโตะ สถาปนิกที่ลายเซ็นคือการออกแบบรูปทรงที่ดูไม่คุ้นตาแต่สามารถใช้งานได้จริง อย่างตึก Sendai Mediatheque ก็ไม่ใช่เพียงอาคารเก๋ๆ กลวงๆ แต่มันเป็นทั้งห้องสมุด แกลเลอรี่ โรงหนัง คาเฟ่ และศูนย์เก็บรวบรวมข้อมูลภาพและเสียงเหตุการณ์สึนามิปี 2011
สิ่งที่เราชอบมากของ Sendai Mediatheque คือการที่มันต้อนรับทุกคนแม้จะเป็นนักท่องเที่ยวต่างชาติก็สามารถเดินดุ่มๆ เข้าไปในห้องสมุดของที่นี่ได้โดยไม่ต้องแลกบัตรอะไรให้ลำไย หรือบริเวณชั้นหนึ่งก็มีไว้จัดกิจกรรมอย่างตอนที่ผู้เขียนไปก็เจอป้าๆ ลุงๆ กำลังเวิร์กช็อปการจัดดอกไม้อยู่ ถือเป็นตัวอย่างที่ดีของการอยู่ร่วมกันของพื้นที่ทางศิลปะกับชุมชน
—————
การเดินทาง : สถานี Kotodaikoen (Namboku Line)
เว็บไซต์ : www.smt.jp
อันดับ 4
Rias Ark Museum (เคเซนนุมะ)
เคเซนนุมะคือเมืองท่าเรือของจังหวัดมิยางิ นอกจากตลาดปลาแล้วอีกแห่งที่น่าไปก็คือ Rias Ark Museum บริเวณชั้นหนึ่งจะเป็นนิทรรศการหมุนเวียน ส่วนชั้นใต้ดินจะเป็นห้องแสดงงานถาวรรวมภาพถ่ายจากสึนามิปี 2011 แถมยังมีข้าวของหรือซากปรักหักพังที่หลงเหลืออยู่ให้ดูด้วย
สิ่งที่ประหลาดสุดๆ ของ Rias Ark Museum คือการออกแบบที่เมื่อดูจากภายนอกจะเหมือนฐานทัพอวกาศสีชมพู แต่เมื่อเข้าไปด้านจะเป็นอาคารทรงยาวที่แสงส่องผ่านเพดานลงมาตรงพื้นเป็นเส้นผ่าครึ่งตัวมิวเซียมแบบเป๊ะๆ ดังนั้นเราขอแนะนำให้ไปที่นี่ในวันที่ท้องฟ้าแจ่มใสจ้ะ
—————
การเดินทาง : นั่งแท็กซี่จากสถานี Kesennuma ประมาณ 15 นาทีราคาเที่ยวละ 2,000 เยน (แนะนำให้เตรียมชื่อภาษาญี่ปุ่นของมิวเซียมไปแล้วยื่นให้คนขับดูเลย)
เว็บไซต์ : rias-ark.sakura.ne.jp/2/en
อันดับ 5
Fukushima Prefectural Museum of Art (ฟุกุชิมะ)
พูดถึงจังหวัดฟุคุชิมะ บางคนอาจจะยังกลัวเรื่องกัมมันตภาพรังสีรั่วไหลจากโรงไฟฟ้านิวเคลียร์อยู่ ขอบอกว่าตอนนี้พื้นที่ส่วนใหญ่ถือว่าเป็นโซนปลอดภัยแล้ว เดินเที่ยวได้สบาย และถึงแม้ Fukushima Prefectural Museum of Art จะมีชื่อเชยๆ ประมาณพิพิธภัณฑ์ประจำจังหวัด แต่อย่าได้มองข้ามที่นี่ไปเชียวล่ะ
มิวเซียมแห่งนี้มีงานสะสมมากกว่า 2,000 ชิ้น โดยเฉพาะภาพแนวอิมเพรสชั่นนิสม์ของฝรั่งเศส ถึงจะเทียบเท่ามิวเซียมในปารีสไม่ได้ แต่ก็เดินชมเพลิดเพลินไม่น้อย
—————
การเดินทาง : สถานี Bijutsukantoshokanmae (ชื่อสถานียาวเป็นวาขนาดนี้เพราะมันแปลว่า ‘ด้านหน้าของพิพิธภัณฑ์และห้องสมุด’ ตรงตัวตามตำแหน่งที่ตั้งของสถานี)
เว็บไซต์ : art-museum.fcs.ed.jp
อันดับ 6
Miyagi Museum of Art (เซนได)
พิพิธภัณฑ์นี้อาจจะไม่ได้มีดีไซน์ที่โดดเด่นและดูเก่าหน่อยเพราะเปิดมาตั้งแต่ปี 1981 แต่ที่เราชอบมากคือระหว่างที่เดินไปยังมิวเซียมจะมีต้นไม้เรียงรายเต็มสองข้างทาง สมฐานะที่เซนไดได้ฉายาว่า ‘เมืองสีเขียว’ แห่งญี่ปุ่นเนื่องจากเป็นเมืองที่มีต้นไม้หนาแน่นเป็นพิเศษ ส่วน Miyagi Museum of Art ก็มักจะมีงานเด็ดๆ เวียนมาจัดเสมอ อาทิ นิทรรศการของ อากิโกะ ฮายาชิ นักวาดภาพหนังสือเด็กคนดัง หรือตอนนี้ก็มีงาน The Art of Disney – The Magic of Animation จัดอยู่
—————
การเดินทาง : สถานี International Center (Tozai Line)
เว็บไซต์ : www.pref.miyagi.jp/site/museum-en
อันดับ 7
Yamagata Museum of Art (ยามากาตะ)
เป็นมิวเซียมที่ขอจัดอยู่ในหมวด ‘ถ้ามีเวลาเหลือค่อยมาก็ได้’ เพราะตัวอาคารหน้าตาธรรมดาถึงขั้นแอบเชย ส่วนคอลเล็กชั่นจะมีงานแนวอิมเพรสชั่นนิสม์ของมาเนต์ โมเนต์ เรอนัวร์ และเซซานน์ แต่ถ้าใครเคยดูงานในฝั่งยุโรปมาแล้วก็ข้ามที่นี่ไปได้เลย
—————
การเดินทาง : สถานี Yamagata แล้วเดินต่ออีกประมาณ 15–20 นาที
เว็บไซต์ : yamagata-art-museum.or.jp
—————
ที่ว่าไปข้างต้นเป็นแค่เพียงมิวเซียมส่วนหนึ่งของโทโฮคุเท่านั้น ยังมีสถานที่อีกมากมายที่รอคุณไปค้นพบ ทั้งนี้ขอโน้ตไว้เล็กน้อยว่า มิวเซียมในโซนโทโฮคุไม่ค่อยจะมีภาษาอังกฤษ บางแห่งยังไปยากโดยเฉพาะมิวเซียมที่ต้องนั่งรถเมล์ เพราะรอบรถมักจะน้อย (บางสายวิ่งแค่ชั่วโมงละคัน) มันอาจเป็นการเดินทางที่ยากลำบากและจุดหมายปลายทางไม่ได้สวยงามยิ่งใหญ่อะไร แต่เชื่อว่ามันก็คงจะเป็นเสน่ห์อีกแบบหนึ่ง
—
Writer : คันฉัตร รังษีกาญจน์ส่อง
RECOMMENDED CONTENT
Toro y Moi (โตโร อี มัว) หรือ Chaz Bear (เมื่อก่อนเรารู้จักเขาในชื่อ Chaz Bundick) คือศิลปินที่มีสไตล์ดนตรีหลากหลายในทุกอัลบั้มที่ออกมา เพราะได้อิทธิพลการฟังดนตรีหลากหลายแนวตั้งแต่เด็ก ๆ เขาเป็นที่รู้จักจากผลงานสไตล์ chillwave/ bedroom pop