ในบรรดาเครื่องดื่มที่เรียงแถวอยู่บนบาร์ วิสกี้จัดว่ามีคาแร็กเตอร์คงเส้นคงวาในเรื่องของความเจนจัดชัดลิ้นที่สุด ด้วยส่วนผสมที่บ่มหมักจนได้รสสัมผัส ขั้นตอนการกลั่นอันสุดจะพิถีพิถันชั้นเยี่ยม ไปจนถึงธรรมเนียมการดื่มอันแสนละเมียดที่ช่วยส่งให้เครื่องดื่มแต่ละแก้วมีความหมาย จึงไม่แปลกถ้าผู้ชายส่วนใหญ่จะยกให้วิสกี้เป็นเครื่องดื่มคู่ใจ เพื่อสะท้อนความเคร่งขรึมและคมคาย ยิ่งถ้าดื่มอย่างผู้รู้จริง จะยิ่งเพิ่มเสน่ห์ชวนหลงใหลให้สาวๆใจละลายเมื่อดื่มด้วยกัน
WHERE WHISKY CAME FROM?
คำว่า วิสกี้ เดิมทีมาจากภาษาเกลิคที่แปลว่า water of life หรือน้ำของชีวิต ในภาษาอังกฤษจะเขียนว่า whisky แต่ถ้าอังกฤษแบบไอริชจะเขียน whiskey โดยวิสกี้เป็นเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ที่ใช้เทคนิคการกลั่นจากธัญพืชสารพัดชนิดขึ้นอยู่กับแหล่งที่มา ส่วนต้นกำเนิดวิสกี้นั้น มีหลักฐานพบว่ามีมาตั้งแต่ยุคสมัยอาณาจักรบาบิโลเนียและเมโสโปเตเมียเลยทีเดียว ซึ่งในยุคนั้นเริ่มเรียนรู้วิธีการผลิตน้ำหอมและกลิ่นโดยการกลั่น ต่อมาในยุคกลาง ศาสนาคริสต์ต้องใช้เครื่องดื่มมึนเมาประกอบพิธีทางศาสนา ทำให้ต้องคิดค้นสูตรน้ำหมักจากพืชพรรณธัญญาหารขึ้นมา และเชื่อกันว่ากรรมวิธีดังกล่าวมีที่มาจากประเทศไอร์แลนด์และสก็อตแลนด์เป็นหลัก ทำให้วิสกี้จากทั้งสองประเทศเป็นยอดชายในหมวดวิสกี้จากทั่วโลกที่ได้รับการยอมรับในความเข้มข้นละมุนละไม
TYPES OF WHISKY
อย่างที่บอก วิสกี้ถูกกลั่นมาจากธัญพืชหลายชนิดด้วยกัน โดยส่วนมากจะใช้ข้าวมอลต์ แต่ก็มีบ้างที่เป็นข้าวไรย์ ข้าวโพด หรือข้าวสาลี โดยวิสกี้จากแต่ละที่ แต่ละชนิด ก็มีปริมาณแอลกอฮอล์ และคุณภาพแตกต่างกันออกไป ซึ่งถูกแบ่งสรรเข้าหมวดได้ตามนี้
– Single Malt Whisky : วิสกี้ที่ใช้ข้าวมอลต์ 100% ผสมกับน้ำ กลั่นมาจากโรงกลั่นเดียวเท่านั้น ก่อนจะส่งไปให้โรงผสมวิสกี้จัดการต่อ รสสัมผัสที่ได้จึงค่อนข้างแจ่มชัด และมีเอกลักษณ์เฉพาะตัว
– Blended Malt Whisky : ส่วนผสมของวิสกี้ที่ใช้ข้าวมอลต์ชนิดเดียว แต่กลั่นจากหลายโรงกลั่น สังเกตได้จากฉลากแปะข้างขวดที่เขียนว่า Pure Malt หรือ Malt เฉยๆ ซึ่งจะบ่งบอกว่าวิสกี้ตัวนี้เป็น Blended Malt
– Blended Whisky : สำหรับวิสกี้ชนิดนี้จะผสมผสานวิสกี้หลายๆชนิด จากหลายๆโรงกลั่นเข้าด้วยกัน โดยเป็นหน้าที่ของโรงผสมวิสกี้ที่จะต้องหาจุดกึ่งกลางของรสชาติให้ได้ และจะนิยมใช้ชื่อแบรนด์ มากกว่าที่จะใช้ชื่อโรงกลั่นใดโรงกลั่นหนึ่งแปะหราหน้าขวด
– Cask Strength : วิสกี้ชนิดหายาก และมักจะเป็นวิสกี้ที่คัดสรรมาอย่างดีแล้วเพื่อบรรจุขวดในแบบนี้ เพราะเป็นวิสกี้บริสุทธิ์ บรรจุลงถังไม้ ไม่เจือปนอะไร รสชาติที่ได้เหมือนสวรรค์ของคอวิสกี้ตัวจริง
– Single Cask : นี่เป็นวิสกี้จากแต่ละถังไม้ที่บรรจุขวด แล้วแปะชื่อเฉพาะของถัง รวมถึงหมายเลขถัง และปีที่บ่ม ทำให้ได้รสจริงใจ ต่างจากวิสกี้ที่ผลิตในโรงผสมภายใต้ชื่อแบรนด์
DOES SCOTCH DO IT BEST?
ใครๆก็คิดว่าชาวสก็อตแลนด์บ่มวิสกี้ได้รสดีที่สุด ทำไมล่ะ? สก็อตวิกี้โดยส่วนมากจะใช้ข้าวมอลต์ผสมกับธัญพืชอื่นๆที่ให้กลิ่นหอมแตะจมูก ใช้การกลั่นสองครั้ง หรือมากกว่านั้น และต้องกลั่นในประเทศสก็อตแลนด์ โดยจะมีกำหนดอายุการบ่มในถังไม้โอ้คขั้นต่ำ 3 ปีขึ้นไป ทำให้ทุกขวดของวิสกี้จากประเทศนี้ ต้องระบุอายุที่น้อยที่สุดที่ผลิตวิสกี้ เพื่อการันตีความเก๋าของรสชาติ ส่วนถังไม้โอ้ค ก็ต้องเป็นถังไม้โอ้คยุโรป ซึ่งจะให้วิสกี้ที่สมบูรณ์แบบกว่า เนื่องจากไม้โอ้คจะมีรูพรุนตามกาลเวลา เมื่อวิสกี้เข้าไปแทรกซึมตามรูเหล่านั้น จะทำให้เกิดการรวมพลังระหว่างกลิ่นไม้โอ้คกับวิสกี้ รวมถึงรสชาติที่เข้ากันเป็นอย่างดี จนนักสะสมวิสกี้ยกให้เป็น Angel’s share หรือแปลง่ายๆว่า รสชาติเทพที่ยากจะลืมเลือน
WHAT ABOUT OTHER’S WHISKY?
ไม่ใช่แค่สก็อตแลนด์ที่มีวิสกี้ขั้นปรมาจารย์ เพราะที่อเมริกาก็มีวิสกี้รสชาติสวรรค์เหมือนกัน อย่าง Bourbon หรือเบอร์เบินที่ทำจากข้าวโพดอย่างน้อย 51% ทำให้ได้กลิ่นที่หอมหวาน และรสชาติที่ไม่แสบคอ ส่วนไอร์แลนด์ที่ร่วมสร้างวิสกี้มาด้วยกัน ก็ได้ชื่อว่ากลั่นวิสกี้ได้ดีติดอันดับโลก โดยจะใช้ธัญพืชอย่างข้าวบาร์เลย์เป็นหลัก และกลั่นในเครื่องกลั่นแบบ Pot still โดยมีวิสกี้ดังๆอย่าง Jameson ที่รสชาติดื่มเพลินลื่นคอ ในขณะที่ญี่ปุ่นก็นิยม Single malt whisky แบบสก็อตแลนด์ แต่ใช้วิธีกลั่นแบบไอร์แลนด์ มีแบรนด์ดังอย่าง Suntory (เห็นได้จากฉากหนึ่งในภาพยนตร์ Lost in Translation) และ Nikka ที่น่าจะถูกจริตคอวิสกี้ไทยไม่น้อยเหมือนกัน
DRINK IT LIKE A PRO!
มีนัดกับสาวสวย ลองสั่งวิสกี้มาดื่มหล่อๆ แล้วโชว์เก๋าด้วยการดื่มอย่างโปร รับรองว่านอกจากจะน่าประทับใจแล้ว บาร์เทนเดอร์จะต้องปรบมือ (ในใจ) ให้กับความทรงภูมิของคุณ
1. CHOOSE IT : เลือกแก้ววิสกี้แบบมือฉมัง ต้องเลือกแก้วทรงทิวลิป ซึ่งจะช่วยให้คุณจิบวิสกี้ได้อย่างคล่องมือ และได้กลิ่นที่ลอยมาแตะจมูกจากคอแก้ว หรือถ้าไม่มีจริงๆ ก็สามารถใช้แก้วแชมเปญจ์หรือแก้วไวน์ก็ได้ ดีกว่าแก้วคอสั้นๆแบบที่คนนิยมใช้กันในบาร์
2. POUR IT : เวลาจะรินวิสกี้ ให้รินปริมาณน้อยๆและรินอย่างช้าๆ ไม่ควรเกิน 1 ออนซ์ จากนั้นให้เขย่าแก้ววนๆ อย่างเบามือ เพื่อให้วิสกี้ฉาบภายในแก้วบางๆ ซึ่งจะได้อรรถรสการดื่มยิ่งขึ้นกว่าเดิม
3. SCENT IT : ดมวิสกี้ก่อนดื่ม โดยสูดกลิ่นวิสกี้จากปากแก้ว แล้วนำจมูกออกห่าง เพราะกลิ่นแรกที่แตะจะเป็นกลิ่นแอลกอฮอล์หนักๆ แสบจมูก จากนั้นให้กลับมาดมอีกครั้ง คราวนี้จะได้กลิ่นวิสกี้เต็มๆ ใช้เวลาซัก 20-30 นาที เพื่อดมกลิ่นวิสกี้ให้ชัดขึ้น หลายคนจะได้กลิ่นไหม้ของมอลต์และบาร์เลย์ ได้กลิ่นผลไม้จางๆ ได้กลิ่นหวานจากส่วนผสมอื่นๆ อย่างวานิลลา หรือน้ำผึ้ง หรือกลิ่นไม้ที่มาจากถังไม้โอ้ค
4. SIP IT : จิบน้อยๆ ให้วิสกี้อยู่ที่ลิ้นแบบพอดีๆ กลั้วปากด้วยวิสกี้อีกหน่อย จะได้สัมผัสความนุ่มที่แตกต่างจากวิสกี้แต่ละตัว
5. ADD IT : นักดื่มวิสกี้ชี้แจงว่า การเติมน้ำลงในวิสกี้ในปริมาณที่พอเหมาะ คือราวๆ 1 ช้อนชา จะช่วยเจือจางแอลกอฮอล์ลงอีก 30% เพื่อให้ได้กลิ่นของส่วนผสมชั้นดีที่อาจจะถูกแอลกฮอฮอล์กลบไว้ อีกอย่าง การเจือจางจะช่วยให้นักดื่ม กลายสภาพจากเด็กน้อยไปเป็นผู้ชาย เพราะจะเข้าถึงประสบการณ์การดื่มที่เท่ขึ้นได้ โดยไม่ต้องเมาแอ๋ก่อนจบงาน
6. INDULGE IT : อย่าดื่มแบบกระโชกโฮกฮากเหมือนกระหายมาจากไหน แต่ให้ดื่มแบบใจเย็นๆ ค่อยเป็นค่อยไป และชวนสาวข้างๆ ทดสอบกลิ่นวิสกี้ไปด้วยกัน เป็นไงล่ะ หล่อกว่าเดิมไปอีกเท่าตัว
WARNING!
เปิดวิสกี้ขวดแล้ว เก็บไว้ได้นานเท่าไหร่? กูรูบอกว่า ถ้าเปิดมาแล้วก็ต้องดื่มให้หมดภายในระยะเวลาไม่เกิน 1 ปี หรือเร็วที่สุดเท่าที่จะเร็วได้ เพราะอ็อกซิเจนจะไปทำลายคาแร็กเตอร์ของวิสกี้จนหมด และทำให้วิสกี้เปรี้ยวขึ้น เหมือนน้ำส้มสายชู ทางที่ดีจึงควรดื่มให้จบตั้งแต่เปิดขวด และดื่มอย่างมีความรับผิดชอบด้วยนะครับคุณๆ ทั้งหลาย เอ้า Cheers!
Writer: Natty Pongpiboonkiat
Images by http://lemoutonrouge.co.uk, alphacoders.com, businessinsider.com
http://imgs.ntd.tv/, http://www.independent.co.uk, gawkerassets.com
RECOMMENDED CONTENT
เรียกกระแสฮือฮาน้ำตาแตกกันสนั่นโลกโซเชียล สำหรับวงดนตรีอินดี้ป็อป 2 รุ่นอย่าง “Landokmai” (ลานดอกไม้) และ “Whal & Dolph” (วาฬ แอนด์ ดอล์ฟ) สังกัดค่ายเพลง What The Duck (วอท เดอะ ดัก) ที่แฟนเพลงต่างเรียกร้อง