พบกันเป็นครั้งที่สองสำหรับทริปเที่ยวเวียดนาม หลังจากที่คราวที่แล้วเราได้พาทุกคนไปสัมผัสบรรยากาศและทิวทัศน์อันสวยงามของฮาลองเบย์กันเป็นที่เรียบร้อย (https://www.dooddot.com/vietnam-ha-long-bay-tour/) คราวนี้เราขอพาทุกคนกลับมาเที่ยวเมืองฮานอยกันบ้าง หลังจากที่เราได้เที่ยวฮาลองเบย์ไป 2 วัน 1 คืน ทีนี้เราก็มีเวลาอันเหลือเฟือที่จะเดินเที่ยวเมืองฮานอยให้หนำใจ ใช่แล้ว สำหรับทริปนี้เราเลือกที่จะเดินมากกว่านั่งรถแท็กซี่ไปยังสถานที่ต่างๆ เพราะเราคิดว่าถ้าได้เดิน เราน่าจะเห็นรายละเอียดของแต่ละย่านในเมืองฮานอยได้มากกว่าการนั่งรถ แล้วที่สำคัญประเทศเวียดนามนี่ก็ขึ้นชื่อในเรื่องของแท็กซี่ขี้โกงเป็นอันดับต้นๆเลย ถ้าไม่จำเป็นจริงๆเลี่ยงได้เราก็ขอเลี่ยงจะดีกว่า สำหรับทริปเที่ยวเมืองฮานอยครั้งนี้ เรามีเวลาทั้งหมดประมาณ 5-6 วันด้วยกัน ดังนั้นเราจึงพยายามตามเก็บสถานที่ท่องเที่ยวดังๆของเมืองหลวงแห่งนี้ให้ได้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ รวมถึงพวกร้านอาหารและคาเฟ่ฮิปๆมากมาย ที่มีให้เห็นอยู่แทบทุกพื้นที่ของท้องถนน เคียงคู่กับความเก่าของร้านอาหารเวียดนามดั้งเดิม เพื่อไม่ให้เป็นการเสียเวลา เราได้คัดเลือก 12 สถานที่ท่องเที่ยวสำคัญ รวมถึงแหล่งช้อปปิ้ง และร้านอาหาร ที่ทุกคนห้ามพลาดเมื่อไปเที่ยวเมืองฮานอยมาฝากกัน จะมีที่ไหนน่าสนใจบ้าง เลื่อนลงไปดูกันเลย!
วัด
สวนร่มรื่นภายในวิหารวรรณกรรมวันเมียว
“Temple of Literature – Van Mieu” วิหารวรรณกรรมวันเมียว
เริ่มต้น sight seeing ในเมืองฮานอย ด้วยการไปเที่ยวชมวัดดังต่างๆ เริ่มที่ “วิหารวรรณกรรมวันเมียว” หรือ วิหารวรรณคดีที่ชาวเวียดนามเรียกว่า “วันเหมียว” วัดนี้สร้างขึ้นในสมัยพระเจ้าหลีไทโต ในปี ค.ศ. 1070 โดยอุทิศให้แก่ขงจื้อ 6 ปี ต่อมาวิหารแห่งนี้ได้เชื่อมต่อกับกว็อกตื่อยาม ซึ่งเป็นโรงเรียนของพวกขุนนางสมัยก่อน และตอนหลังได้กลายเป็นมหาวิทยาลัยแห่งชาติแห่งแรกของเวียดนาม ในบริเวณของวิหารมีการแบ่งออกเป็นลานกว้าง ทางเดินปูด้วยหิน มีสวนร่มรื่นและมีบ่อน้ำสองข้างทาง มีกำแพงล้อมรอบ 5 แห่งด้วยกัน เมื่อรอดซุ้มประตูหลังประตูทางเข้าใหญ่เข้าไปข้างใน ก็จะเห็นประตูกำแพงใหญ่ที่มีชื่อว่า Dai Thanh Mon อันเป็นสัญลักษณ์ของกรุงฮานอย กับสระน้ำขนาดใหญ่ตรงกลางลาน สังเกตได้ว่าลักษณะการวางแผงผัง และโครงสร้างของวัดดูมีความเป็นจีนอยู่เยอะ ซึ่งก็คงได้รับอิทธิพลมาจากประเทศจีน เพราะเวียดนามเคยอยู่ภายไต้การปกครองของจีนมาก่อน สำหรับค่าเข้าที่นี่อยู่ที่ 20,000 ดอง หรือประมาณ 30 บาท
สะพาน เทฮุก (The Huc)
ทางเข้าสู่วัดหง็อกเซิน
“Ngoc Son Temple” วัดหง็อกเซิน
ต่อด้วย “วัดหง็อกเซิน” ซึ่งเป็นวัดโบราณบนเกาะเล็กๆ กลางทะเลสาบ Hoan Kiem หรือทะเลสาบคืนดาบ ตั้งอยู่บนเนินหยก สามารถเดินข้ามจากฝั่งไปยังตัววัดโดยข้ามสะพาน เทฮุก (The Huc) ที่มีความหมายอันไพเราะ โรแมนติกว่า “สะพานแสงอาทิตย์ยามเช้า” ซึ่งเป็นสะพานไม้สีแดงสด ดูสวยงามน่าถ่ายรูปมากๆ และแน่นอนว่านักท่องเที่ยวคนไหนมาเที่ยวเมืองฮานอย จะต้องมาถ่ายรูปบนสะพานนี้ ไม่อย่างนั้นเหมือนมาไม่ถึงที่ ภายในวัดประกอบด้วย ศาลเจ้าโบราณและ และเต่าสต๊าฟขนาดใหญ่ โดยเชื่อกันว่า เต่าตัวนี้คือเต่าศักดิ์สิทธิ์ 1 ใน 2 ตัวที่อาศัยอยู่ในทะเลสาบแห่งนี้มาตั้งแต่สมัยโบราณ เพราะฉะนั้นชาวเวียดนามมักจะเดินทางมาสักการะบูชาสิ่งศักดิ์สิทธิ์ภายในวัดแห่งนี้กันอยู่เป็นประจำ ส่วนตัวแล้วเราประทับใจกับสะพานไม้สีแดงตรงด้านหน้ามากกว่า เพราะดูสวยงามโรแมนติก อย่างกับฉากที่หลุดออกมาจากหนังจีนสมัยก่อนอย่างไงอย่างงั้น แต่ต้องบอกก่อนว่ามาที่นี่ต้องรีบหาจังหวะถ่ายรูปดีๆ เพราะทั้งนักท่องเที่ยวและคนเวียดนามที่มาเที่ยวที่นี่เยอะเหลือเกิน ตอนเดินนี่ไหล่แทบจะชนกันอยู่แล้ว จะมายืนโพสต์ท่าถ่ายรูปชิลล์ๆนี่ถือว่าหมดสิทธิ นอกจากว่าคุณจะมาตอนเย็นๆไปแล้ว คนถึงเริ่มน้อยลง แต่เราว่าไปช่วงเช้าๆถึงตอนกลางวันนี่แหละดีสุด แดดกำลังสวย ถึงแม้ว่าการถ่ายรูปเซลฟี่ หรือรูปคู่จะเป็นเรื่องที่ทุลักทุเลพอสมควร ส่วนค่าเข้าที่นี่ก็อยู่ที่ 20,000 ดอง เช่นกัน
“Tran Quoc Pagoda” วัดเจดีย์เตริ่นกว็อก
คราวนี้ออกมาจากตัวเมือง city center มาหน่อย กับวัดเจดีย์เตริ่นกว็อก ที่อยู่ติดกับทะเลสาบโฮไต วัดนี้เป็นวัดที่มีเจดีเก่าแก่ที่สุดแห่งหนึ่งของเวียดนาม เป็นเจดีย์สีชมพูอมส้ม ไล่ระดับเป็นชั้นๆขึ้นไปประมาณ 10 ชั้น และมีชายคายื่นออกมาคลุมเจดีย์แต่ละชั้น ซึ่งแต่ละชั้นก็จะมีพระพุทธรูปสีขาวประดิษฐานอยู่ในช่องรอบเจดีย์ ดูสวยงามและมีเอกลักษณ์อยู่ไม่น้อย ส่วนลักษณะของวิหารของวัดแห่งนี้จะเป็นแบบจีนโบราณชั้นเดียว ระหว่างทางเดินเข้าวัด ก็จะมีแม่ค้ามาตั้งซุ้มขายธูปเทียน เครื่องบูชาต่างๆในการกราบไหว้บูชาสิ่งศักดิ์สิทธิ์ประจำวัด ส่วนบริเวณบรรยากาศโดยรอบของวัดนี้ก็มีความร่มรื่น มีต้นไม้ดัดประดับอยู่มากมาย สามารถเดินชมรอบๆบริเวณวัดได้อย่างชิลล์ๆ อีกทั้งแถวนั้นก็ยังมีพวกร้านอาหารและคาเฟ่ที่ตั้งอยู่บนเรือ ใครแวะไปเที่ยวที่วัดนี้ เหนื่อยๆอยากนั่งพักก็สามารถไปนั่งชิลล์ในคาเฟ่บนเรือได้ ส่วนค่าเข้าที่นี่ไม่มี เข้าฟรีได้เลย
พิพิธภัณฑ์
จริงๆแล้วในเมืองฮานอยมีพิพิธภัณฑ์ให้เข้าชมอยู่หลายที่เหมือนกัน ซึ่งเราขอคัดอันเฉพาะที่เราได้ไปมาให้ชมกันดังต่อไปนี้
“Ho Chi Minh’s Mausoleum” สุสานโฮจิมินห์
สุสานโฮจิมินห์ ตั้งอยู่บนถนนเดียนเบียนฟู (Dien Bien Phu) บริเวณจัตุรัสบาดิงห์ (Ba Dinh) สุสานแห่งนี้ได้สร้างขึ้นเมื่อปี ค.ศ. 1973 เป็นอาคารหินอ่อนและหินแกรนิตที่ส่วนตัวสำหรับเราแล้วดูน่าเกรงขามอยู่เหมือนกัน น่าเสียดายมากๆที่ช่วงที่เราไปเป็นตอนช่วงสิ้นปีพอดี ซึ่งช่วงนี้ทางสุสานได้ทำการปิดไม่ให้คนภายนอกเข้าชม เนื่องจากต้องมีการส่งศพโฮจิมินห์ ไปดังต่างประเทศเพื่อให้ได้รับการซ่อมแซม โดยปกติแล้วด้านในของสุสานจะมีการเปิดให้เข้าพบกับศพโฮจิมินห์ ซึ่งอาบน้ำยาอยู่ในโลงแก้วเพื่อให้ผู้คนที่เข้ามาชมได้รู้จักกับผู้นำของประเทศเวียดนาม แต่เพราะว่าสุสานดันปิด เราเลยได้แต่เดินชมวิวรอบๆบริเวณจัตุรัสบาดิงห์ และละแวกใกล้เคียง ที่เป็นสวนสาธารณะ และบ้านที่สร้างบนเสาสูงซึ่งเชื่อกันว่าเป็นที่อยู่ของโฮจิมินห์ วันนั้นเลยอดไม่ได้ที่จะรู้สึกแป๊กหน่อยๆ….
“The Presidential Palace” ทำเนียบประธานาธิบดี
ทำเนียบประธานาธิบดี เป็นอาคารทรงโคโลเนียลสีเหลือง ที่ทางฝรั่งเศสสร้างขึ้นในปีค.ศ. 1901 เพื่อใช้เป็นที่ทำการของผู้สำเร็จราชการชาวฝรั่งเศสแห่งอินโด-ไชน่า ที่นี่ยังเป็นสถานที่ทำงานของประธานาธิบดีโฮจิมินห์เมื่อครั้งยังมีชีวิตอยู่ด้วยเช่นกัน ปัจจุบันเป็นที่รับแขกเมืองของเวียดนาม ซึ่งวันที่เราไปก็ปิดให้เข้าชมเช่นกันจ้า เลยได้แต่ถ่ายรูปจากภายนอกกลับมา
“Ho Chi Minh’s Vestige in The Presidential Palace Area” บ้านพักโฮจิมินห์
ด้านหลังทำเนียบจะเป็นบ้านไม้หลังเล็กๆ ซึ่งเป็นบ้านพักของโฮจิมินห์ตั้งแต่ปี ค.ศ. 1954 จนถึงช่วงสุดท้ายของชีวิต ในปี ค.ศ. 1969 ข้างบนบ้านพวกเราก็จะเห็นห้องหนังสือและห้องนอนของโฮจิมินห์ ซึ่งแต่ละห้องก็จะดูเรียบง่าย สะท้อนความเป็นอยู่แบบสมถะของประธานาธิบดีโฮจิมินห์ได้เป็นอย่างดี
“Vietnamese Women’s Museum” พิพิธภัณฑ์สตรีเวียดนาม
ตามผลโหวตเมื่อปลายเดือนกันยายนปี 2012 ที่จัดโดยเว็บไซต์ TripAdvisor ซึ่งเป็นเว็บไซต์ท่องเที่ยวที่ใหญ่ที่สุดในโลก ปรากฏว่า พิพิธภัณฑ์สตรีเวียดนามแห่งนี้เป็นสถานที่ท่องเที่ยวที่น่าสนใจที่สุดในกรุงฮานอยประจำปี 2012 ซึ่งพอเราได้เข้าไปเยี่ยมชมนิทรรศการต่างๆด้านใน เราก็ไม่สงสัยเลยว่าทำไมทาง TripAdvisor ถึงยกตำแหน่งนี้ให้กับพิพิธภัณฑ์ที่ดูภายนอกแล้วแสนจะธรรมดาแห่งนี้ เพราะข้างในนั้นเต็มไปด้วยการจัดแสดงที่น่าประทับใจเกี่ยวกับความกล้าหาญของผู้หญิงเวียดนามในช่วงสงคราม ที่ร่วมรบเคียงบ่าเคียงไหล่กับพวกผู้ชาย รวมถึงนิทรรศการที่บอกเล่าเรื่องราวการต่อสู้ชีวิตของแม่ค้าหาบเร่ในกรุงฮานอยในปัจจุบัน ผ่านรูปถ่ายและวีดีโอสัมภาษณ์ ซึ่งทั้งสองนิทรรศการดูแล้วทำให้รู้สึกสะเทือนใจอยู่ไม่น้อยเลย แต่หลังจากที่ได้ชมพิพิธภัณฑ์แห่งนี้ เราก็รู้สึกทึ่งและประทับใจที่ประเทศเวียดนามได้เห็นความสำคัญของการนำเสนอความรู้สึกนึกคิดและวิถีชีวิตของผู้หญิงเวียดนามมากขนาดนี้ ถึงขั้นสร้างพิพิธภัณฑ์สตรีขึ้นมาให้คนเวียดนามรุ่นใหม่ รวมถึงชาวต่างชาติได้เข้ามาชมกัน สำหรับค่าเข้าของที่นี่อยู่ที่ 30,000 ดอง หรือประมาณ 45 บาท
สวนสาธารณะ
“Hoan Kiem Lake” ทะเลสาบฮหว่านเกี๊ยม
ทะเลสาบแห่งนี้ตั้งอยู่บริเวณใจกลางเมืองเก่าของกรุงฮานอย มีชื่อเรียกอีกชื่อว่า “ทะเลสาบคืนดาบ” เนื่องจากมีตำนานเล่าขานกันถึงสถานที่แห่งนี้ว่าในศตวรรษที่ 15 จักรพรรดิเล เหล่ย แห่งราชวงศ์เล ได้ใช้ดาบศักดิ์สิทธิ์ในการขับไล่ชาวจีนแห่งราชวงศ์หมิงที่รุกรานให้ออกไปจากเวียดนาม ในขณะที่พระองค์ประทับอยู่บนเรือ ณ ทะเลสาบแห่งนี้ ก็มีตะพาบยักษ์ตัวหนึ่งโผล่ขึ้นมาจากผิวน้ำและบอกให้พระองค์ส่งดาบนั้นกลับคืนแด่จ้าวมังกร ทันใดนั้นดาบก็ได้พุ่งออกจากฝักดาบเข้าไปในปากของตะพาบก่อนที่จะหายกลับลงไปสู่ใต้ผิวน้ำ อันเป็นที่มาของชื่อทะเลสาบคืนดาบ ทะเลสาบแห่งนี้เป็นที่ตั้งของ “วัดหง็อกเซิน” ที่มีสะพานไม้สีแดงสดอย่าง “สะพานเทฮุก” เป็นจุดถ่ายรูป นอกจากนี้ยังมีหอคอยโบราณที่โผล่ขึ้นพ้นน้ำนามว่า “ท้าปสั่ว” (Tháp Rùa) ซึ่งหมายถึง “หอคอยเต่า” หรือ “หอคอยตะพาบ” ที่สร้างขึ้นในสมัยศตวรรษที่ 18 ให้ทุกคนได้ชมกันอีกด้วย ซึ่งทะเลสาบฮหว่านเกี๊ยมแห่งนี้ปัจจุบันถือเป็นสถานที่ท่องเที่ยวพักผ่อนหย่อนใจของชาวฮานอย โดยมีการสร้างเป็นสวนสาธารณะล้อมรอบ และจะเห็นได้ว่ามีครอบครัวและคู่รักมากมายมานั่งชมวิวเพลินๆอยู่ที่นี่เยอะมาก ส่วนนักท่องเที่ยวที่มาถ่ายรูปที่นี่ก็มีให้เห็นเป็นจำนวนมากเช่นกัน เรียกว่าใครที่มาเที่ยวเมืองฮานอย ต้องห้ามพลาดมาเดินเล่น ชมวิวที่นี่ ไม่งั้นเหมือนมาไม่ถึงฮานอย
แหล่งช้อปปิ้ง และคาเฟ่ที่น่าสนใจ
ข้างหน้าตลาดขายดอกไม้ในย่าน Old Quarter
“Old Quarter” ย่านเมืองเก่าของกรุงฮานอย
Old Quarter เป็นย่านหัตถกรรมที่มีประวัติยาวนานกว่า 600 ปี มีถนนตัดผ่านทั้งหมด 36 สายด้วยกัน ในอดีตถนนแต่ละสายก็จะขายของหัตถกรรมสอดคล้องตามชื่อเรียกของถนนต่างๆ แต่ปัจจุบันสินค้าที่วางขายอาจจะไม่ได้สอดคล้องกับชื่อถนนเท่าไหร่ ที่นี่ถือเป็นแหล่งช้อปปิ้ง เที่ยว กิน ดื่ม หลักๆเลยของนักท่องเที่ยว รวมทั้งชาวฮานอยเอง เพราะที่นี่อัดแน่นไปด้วยร้านค้า ร้านอาหาร และคาเฟ่ มากมายให้คุณเดินชมอย่างไม่มีเบื่อจริงๆ โดยเฉพาะคืนวันศุกร์-อาทิตย์ที่ย่านนี้จะมี Night market ขายเสื้อผ้า และของใช้จุกจิกเยอะแยะไปหมด ดังนั้นย่านนี้จะคึกคักไปด้วยผู้คนตลอดเวลาตั้งแต่เช้าจรดเย็น จุดเด่นของย่าน Old Quarter สำหรับเราคือถนนแต่ละสายจะขายของแตกต่างกันออกไป อย่างเช่นถนน ‘Hang Dau’ ก็จะขายแต่รองเท้าตลอดทั้งสาย ถนน ‘Hang Gai’ ก็จะเต็มไปด้วยผ้าไหม หรือถนน ‘Cau Go’ ก็จะเต็มไปด้วยเสื้อผ้าและเครื่องประดับผู้หญิงเป็นต้น แต่จริงๆแล้วปัจจุบันถนนแต่ละสายก็ไม่ได้แยกประเภทของสินค้าชัดเจนเหมือนในอดีตขนาดนั้น เพราะถนนแต่ละสายส่วนมากจะขายสินค้าคละกันไปมากกว่า ถ้าคุณพักอยู่ที่โรงแรมในย่าน Old Quarter (ที่นี่มีโรงแรมตั้งอยู่เกือบทุกมุมถนน) เราแนะนำว่าคุณควรเดินสำรวจย่านนี้ให้หนำใจไปเลย เพราะคุณอาจได้ค้นพบร้านหรือถนนที่น่าสนใจโดยไม่คาดคิดก็ได้ จำได้ว่ามีอยู่วันหนึ่งเรากับแฟนก็เดินเล่นไปเรื่อยๆตามถนนเส้นต่างๆ เข้าถนนนั้นออกถนนนี้ไปเรื่อย แล้วจู่ๆพวกเราก็มาพบกับถนนเส้นเล็กๆอยู่เส้นหนึ่ง ซึ่งเต็มไปด้วยร้านเสื้อผ้าแนวบูติคสวยๆทันสมัยเยอะมาก รวมถึงร้านกาแฟแนวฮิปสเตอร์อยู่ 2-3 ร้าน ขอบอกว่าแต่ละร้านเห็นแล้วน่าเข้าทุกร้านเลย ตอนนั้นถือเป็นโมเม้นท์ที่เรารู้สึกตื่นเต้นอยู่เหมือนกัน เพราะส่วนใหญ่พวกร้านตามถนนในย่าน Old Quarter จะออกเก่าๆดูเป็นร้านค้าในย่านตลาดเสียมากกว่า เอาเป็นว่าใครที่ชอบเดินเล่นช้อปปิ้ง โดยเฉพาะในบรรยากาศที่มีความเก่าแก่หน่อยละก็ น่าจะชอบย่าน Old Quarter กัน เพราะคุณสามารถหาซื้อทุกอย่างจากย่านนี้ได้ และที่สำคัญได้ซึมซับบรรยากาศอันเก่าแก่ และวิถีชีวิตของคนเมืองฮานอยดั้งเดิมอย่างใกล้ชิด
Hanoi Opera House
“French Quarter” ย่านเมืองฝรั่งเศส
เที่ยวชมย่านเมืองเก่าอย่าง Old Quarter กันไปแล้ว คราวนี้ลองมาเดินเล่นสูดอากาศ หลีกหนีจากความแออัดพลุกพล่านของ Old Quarter มาที่ย่าน French Quarter กันบ้างดีกว่า ย่านนี้คุณจะพบกับถนนอันกว้างขวาง ตึกโคโลเนียลเก่าแก่สวยงามมากมาย โรงแรมหรูระดับห้าดาว ร้านอาหาร คาเฟ่ และช็อปแบรนด์เนมต่างๆ อาทิ Louis Vuitton, Hermès, Gucci และแม้กระทั่ง Starbucks ที่มีให้เห็นนับครั้งได้ นอกจากนี้ยังมีห้างสรรพสินค้า Tràng Tien Plaza ที่พอเดินเข้าไปข้างในทำให้เรานึกถึงห้าง Harrods ในกรุงลอนดอน เพราะแต่ละชั้นนั้นตกแต่งด้วยสีทองอร่าม และดีไซน์ที่เป็นแบบยุโรปเก่าสมัยก่อน
ย่าน French Quarter ที่ว่านี้อยู่ทางไต้ของทะเลสาบฮหว่านเกี๊ยม ในศตวรรษที่ 19 สมัยที่ชาวฝรั่งเศสเข้าปกครองเมืองฮานอย พวกเขาได้ทุบทำลายตึกสไตล์เวียดนามเก่าๆออกไปหลายส่วน และแทนที่ด้วยการสร้างตึกสไตล์วิลล่าฝรั่งเศส ดังนั้นนอกจากย่านนี้จะเต็มไปด้วยตึกสไตล์ฝรั่งเศสแล้ว การวางแผงผังของถนนก็ถอดแบบมาจากประเทศฝรั่งเศสเช่นกัน ที่มีความกว้างขวาง มีวงเวียนใหญ่ และเต็มไปด้วยต้นไม้เขียวขจี เป็นย่านที่เราแนะนำให้มาเดินเล่นชิลล์ๆยามบ่ายได้สบายๆ จะถ่ายรูปกับ “Hanoi Opera House” เดินชมพิพิธภัณฑ์ “National Museum of Vietnamese History” แล้วปิดท้ายด้วยการไปนั่งทานอาหารตามร้านอาหาร หรือคาเฟ่เก่ๆก็แล้วแต่ใจชอบเลย เพราะที่ย่านนี้มีร้านอาหารและคาเฟ๋เก๋ไก๋ให้เลือกเยอะมาก ตั้งแต่สไตล์ฝรั่งเศส ที่อย่างกับหลุดออกมาจากยุค 1920’s เหมือนหนังเรื่อง The Great Gatsby ไปจนถึงแบบเอเชียนๆ exotic สไตล์อินโดจีน
ข้างหน้าร้าน The Hanoi Social Club
Social Club Burger และ Hot Chocolate
“The Hanoi Social Club” (https://www.facebook.com/TheHanoiSocialClub)
ทุกครั้งที่เราค้นหาลิสต์คาเฟ่ที่น่าสนใจในเมืองฮานอย ชื่อคาเฟ่ “The Hanoi Social Club” จะต้องติดอยู่ในอันดับต้นๆเสมอ ร้านนี้ตั้งอยู่ในย่าน Old Quarter อยู่ชั้นล่างของตึกเก่าสีเหลืองสไตล์โคโลเนียล วันที่เราไปตอนนั้นเป็นช่วงกลางคืน ข้างในร้านจะหรี่ไฟค่อนข้างมืด มีการจุดเทียนตามโต๊ะแต่ละโต๊ะ เราจึงเห็นการตกแต่งร้านไม่ค่อยชัดเท่าไหร่ แต่ก็รู้สึกได้เลยว่าร้านนี้อาร์ตมาก การตกแต่ง รวมถึงเฟอร์นิเจอร์ที่ใช้ให้บรรยากาศเหมือนนั่งอยู่ในบ้านสไตล์อินโดจีนสมัยก่อน ดูเรโทรมาก ส่วนเมนูอาหารที่นี่จะเน้นไปทางอาหารฝรั่งสไตล์ vegan และ vegetarian รักสุขภาพ แต่ก็ยังมีจานเนื้อ อย่างเช่นพวกแฮมเบอร์เกอร์และแซนด์วิชให้พวก meat eaters อย่างเราได้ทานเหมือนกัน แต่ละจานจะมีขนาดค่อนข้างใหญ่และเยอะ เพราะฉะนั้นถ้าคิดจะมาทานอาหารร้านนี้ แนะนำว่าให้มาตอนกำลังหิวๆ เพราะกินเสร็จแล้วคุณจะรู้สึกอิ่มแปล้ไม่เบาเลย ร้านนี้เปิดตั้งแต่แปดโมงเช้า จนถึงห้าทุ่ม กินเสร็จแล้วก็อย่าลืมแวะเดินเล่นในถนนที่ร้านนี้ตั้งอยู่ด้วย โดยเฉพาะสาวๆ เพราะว่าที่ถนนนี้มีร้านเสื้อผ้าแฟชั่นบูติคสวยๆทันสมัยอยู่หลายร้านเหมือนกัน เชื่อว่าสาวๆทุกคนเห็นแล้วจะต้องชอบกันทั้งนั้น
บรรยากาศภายใน The KAfe
Caesar Salad with Quail Eggs and Tofu Croutons และ Crumbed Garlic Chicken Croquettes with Tomato Sauce and Sunflower Seed Pesto
“The KAfe” (http://thekafe.vn/index.php/en/)
สุดท้าย กับคาเฟ่ที่มีความทันสมัยขึ้นมาหน่อยกับร้านที่ชื่อว่า “The KAfe” บนถนน Dien Bien Phu คาเฟ่นี้จะออกแนวโมเดิร์น ดูมีความเป็น urban แบบวิถีคนเมืองสมัยใหม่ ลูกค้าส่วนใหญ่ก็จะเป็นหนุ่มสาวเวียดนามรุ่นใหม่ ไปจนถึงชาวออฟฟิสที่ดูโตขึ้นมาหน่อย แล้วก็ชาวต่างชาติ คือเอาเป็นว่าพอเข้าไปนั่งร้านนี้ จะรู้สึกว่าตั้งแต่ร้านไปจนถึงลูกค้า ทุกอย่างดูใหม่ ทันสมัย เป็น new generation ค่อนข้างขัดกับสภาพแวดล้อมภายนอกของเมืองฮานอยที่ยังมีความเก่า ดั้งเดิม ให้เห็นอยู่มาก ร้านนี้เปิดตั้งแต่เจ็ดโมงเช้า ไปจนถึงห้าทุ่มครึ่ง โดยเมนูอาหารของที่นี่ก็จะเน้นไปที่อาหารฝรั่งเช่นกัน ส่วนใหญ่จะเป็นแนว comfort food กินง่าย มีให้เลือกตั้งแต่แพนเค้ก ขนมปังแบบโฮมเม้ด เมนูไข่ต่างๆ เบอร์เกอร์ พาสต้า ทาปาส ไปจนถึงของหวานเช่น คัพเค้ก คุกกี้ มาการอง afternoon tea set และอีกมากมาย ส่วนเครื่องดื่มก็มีให้เลือกตั้งแต่ชา กาแฟ น้ำผลไม้ สมูตตี้ ค็อกเทล จนถึงเบียร์ แนะนำว่าให้ลองเข้าไปในเว็บไซต์ที่เราให้ทางด้านบน แล้วกดเข้าไปดูเมนูอาหารด้วยตัวเอง เพราะแต่ละอย่างนั้นมีความน่าสนใจไม่น้อย อีกอย่างหนึ่งคือถ้าคุณไปเที่ยวเมืองฮานอย แล้วอยากลองเปลี่ยนบรรยากาศไปสัมผัสกับไลฟ์สไตล์ของคนหนุ่มสาวเวียดนามสมัยใหม่ เราแนะนำว่าร้านนี้ควรอยู่ในลิสต์คาเฟ่ของคุณ จะว่าไปแล้วบรรยากาศของ The KAfe ก็คล้ายๆกับร้าน The Rocket Coffeebar บ้านเราอยู่เหมือนกัน
เป็นยังไงบ้างกับ 12 สถานที่ที่เราได้คัดมาให้ชมกัน? แน่นอนว่านี่เป็นแค่ส่วนหนึ่งของสถานที่ท่องเที่ยวในเมืองฮานอยเพียงเท่านั้น น่าเสียดายที่บางสถานที่ตอนช่วงที่เราไปไม่ได้มีการปิดไม่ให้เข้าบ้าง หรือกำลังปิดเพื่อซ่อมแซมบ้าง แต่ถึงอย่างนั้น บางสถานที่อย่างเช่นพวกพิพิธภัณฑ์ สำหรับเราแค่เพียงได้เดินผ่าน แล้วได้ถ่ายรูปกลับมาก็ถือว่าโอเคแล้ว ส่วนเรื่องอาหารการกิน ในเมืองฮานอยก็มีให้เลือกเยอะแยะไม่หวาดไม่ไหว มีตั้งแต่ร้านเฝอข้างทาง ไปจนถึงร้านอาหารเวียดนามอย่างดี รวมถึงคาเฟ่เก๋ไก๋มากมายที่แต่ละร้านนั้นมีการตกแต่งได้อย่างมีคาแร็คเตอร์โหดๆทั้งนั้น จนคาเฟ่ที่ว่าฮิปๆของบ้านเราเห็นเข้าเป็นต้องมีหนาวกันบ้างล่ะ เชื่อว่าถ้าใครได้ไปเที่ยวเมืองฮานอย ก็น่าจะชื่นชอบไม่มากก็น้อย เพราะเมืองนี้เป็นเมืองเก่าแก่ที่เต็มไปด้วยสีสัน ต่อให้บางย่านจะมีความเจริญแทรกเข้ามาบ้างแล้ว ก็ยังไม่วายมีร่องรอยของความดั้งเดิมแฝงอยู่ด้วย ถือเป็นเมืองที่คุณต้องไปเห็นเองกับตา เพราะต่อให้เราเล่าหรือนำภาพมาให้ชมกัน ก็ไม่มีทางสู้ให้คุณได้เดินทางไปถึงที่ และสัมผัสมนต์เสน่ห์ของฮานอยด้วยตัวเองได้
Writer: Thip S. Selley
Image by: Thip S. Selley, The KAfe, Flickr, The Star Online, sacalapetaca.wordpress
RECOMMENDED CONTENT
นาทีนี้ถ้าพูดถึงศิลปินและโปรดิวเซอร์มากความสามารถ “THE TOYS” หรือ “ทอย-ธันวาบุญสูงเนิน” จากสังกัดค่ายเพลง What The Duck (วอท เดอะ ดัก) คงเป็นชื่อต้นๆที่ใครหลายคนนึกถึง เพราะจากผลงานที่ผ่านมา ไม่ว่าจะเป็นเพลง หน้าหนาวที่แล้ว ,ก่อนฤดูฝน , เมะ ,ไวน์ลดา ได้กลายเป็นเพลงระดับเมก้าฮิตติดชาร์ท ซึ่งล่าสุด THE TOYS ประกาศคัมแบ็คมาพร้อม “6667” โปรเจกต์ใหม่น่าติดตามที่จะมาสร้างตำนานครั้งใหม่ให้กับวงการเพลงไทย