ถ้าพูดถึงงานอาร์ตแฟร์ที่น่าสนใจที่สุดในไทยตอนนี้คงหนีไม่พ้น Hotel Art Fair Bangkok เทศกาลศิลปะที่มาพร้อมกับคอนเซ็ปต์เก๋ๆ อย่างการเปลี่ยนโรงแรมให้เป็นอาร์ตสเปซย่อมๆ สำหรับคนรักงานศิลป์ทั้งผู้ซื้อและผู้ขาย ในปีนี้ Hotel Art Fair Bangkok ได้เกิดขึ้นเป็นครั้งที่ 4 แล้ว ซึ่งแน่นอนว่า มันคือการคอนเฟิร์มได้ว่างานนี้จะไม่ได้เป็นเพียงกระแสที่หายไปอย่างรวดเร็ว
ชื่อของผู้จัดอย่าง Farmgroup คงเป็นที่คุ้นเคยกันอย่างดีในแวดวงงานดีไซน์ แต๊บ-วรทิตย์ เครือวาณิชกิจ Creative Director และหนึ่งในผู้ก่อตั้งฟาร์มกรุ๊ป บอกเราว่าจุดเริ่มต้นของ Hotel Art Fair Bangkok มาจาก passion ในศิลปะของพวกเขาล้วนๆ
คิดว่า Hotel Art Fair Bangkok จะเป็นเสาหลักในการทำให้วงการศิลปะไทยขยายวงกว้างมากขึ้นด้วยหรือเปล่า
เราก็ไม่ได้ตั้งใจหรือวางกลยุทธ์ไว้ว่าจะเป็นเบอร์หนึ่ง เป็นเสาหลัก แต่รู้สึกว่าทำไมมันไม่มีใครทำซักที งั้นเราทำก็ได้ ซึ่งพอจะทำเราก็ต้องทำมันให้ดี ศิลปะเป็นคอนเท้นต์ที่เราชอบและรู้สึกว่ามีของดีเต็มประเทศเลย แต่ทำไมถึงไม่มีใครมาช่วยตรงนี้ Farmgroup มี passion กับเรื่องนี้ เรากับน้องๆ ในทีมมานั่งคุยกันว่า ถ้าไม่มีงานจ้างเราเลยเราอยากทำอะไร ซึ่งก็คิดว่าสิ่งนี้แหละที่เราอยากทำ
Feedback ของงาน 3 ปีที่ผ่านมา
เราได้ feedback ที่ดีมาตลอด มี negative นิดเดียวคือเราตั้งใจเปลี่ยนโรงแรมในทุกปี ถ้าทำโรงแรมเดียวทุกปีผมคิดว่ามันจะเพอร์เฟ็กต์ขึ้นเรื่อยๆ แต่เราจะเปลี่ยนทุกปีมันก็เลยมีปัญหาเกิดขึ้นในแง่ของการจอดรถทั้งในเรื่องของการจราจรหรืออะไรพวกนี้
ทำไมต้องเปลี่ยนโรงแรมทุกปี
ตั้งใจไว้ว่านอกจากงานนี้จะช่วยศิลปะไทยแล้วก็จะช่วยการท่องเที่ยวด้วย ถ้าย้อนไปตั้งแต่ปีแรกเราจะพยายามไปโรงแรมที่คนไทยเป็นเจ้าของ เป็นบูทีคโฮเทลหรือดีไซน์โฮเทล ไม่ได้เป็นโรงแรมใหญ่โตมาจากไหน
วิธีเลือกโรงแรม
อย่าเรียกว่าเลือกเลยครับ เรียกว่ากว่าจะหาเจอดีกว่า เพราะว่ามันมีน้อยมากที่จะไม่ใหญ่จนเกินไปหรือเล็กจนเกินไป แล้วได้คุยกับเจ้าของโดยตรงว่าเขายอมให้เรามาเอาเตียงออกอะไรอย่างนี้ไหม เรื่องพื้นที่ด้วย ก็อยากจะเข้าไปเจริญกรุงอะไรพวกนั้นเหมือนกัน แต่เราก็อยากให้มันยังใกล้ BTS พวกนี้ด้วย และแน่นอนว่าเป็นโรงแรมที่ appreciate ในงานศิลปะและดีไซน์
แล้ววิธีเลือกแกลลอรี่หรือศิลปิน
Hotel Art Fair Bangkok เราโฟกัสที่แกลเลอรี่ คือศิลปินเนี่ยเต็มบ้านเต็มเมืองไปหมด แต่ศิลปินถ้าไม่มีวินัยมันจะพัง แกลเลอรี่มันเป็นที่ที่ทำให้งานศิลปะมันเป็นมืออาชีพมากขึ้น ไม่ว่าจะเป็นการซื้อขาย ที่ทุกอย่างต้องการการการันตีหรือการแสดงงานที่ทุกต้อง ผมเลยให้ความสำคัญกับแกลเลอรี่มาก เราก็จะชวนแกลเลอรี่ที่เราชอบ ซึ่งในงานนี้ก็จะเป็น contemporary art เท่านั้น ก็โฟกัสลงไปอีก เริ่มจากชวนคนสนิทก่อน คนที่เรารู้จักหรือเคยมาออกงานกับเราแล้ว พอเราทำมาหลายปีก็จะรู้จักแกลเลอรี่มากขึ้น แต่จริงๆ มันก็มีอยู่แค่นี้แหละครับ ไม่ได้เลือกอะไรมาก
แต่จำนวนก็เพิ่มขึ้นทุกปี
ใช่ จริงๆ ก็ไม่ได้ตั้งใจจะให้เพิ่มขึ้นทุกปี ต้องบอกว่าสถานที่มันพาไปด้วย อย่างโรงแรมนี้มันมี 28 ห้อง เราจะเช่าแค่ 3-4 ชั้น 20 ห้องก็คงแปลกๆ เลยเช่าทั้งหมดนี้ละกัน ก็เลยจะไม่ใช่แกลเลอรี่อย่างเดียวละ แต่มีศิลปินหน้าใหม่ที่เป็นการรวมกันของกลุ่มเพื่อนเพื่อมาเช่าด้วย แล้วในปีนี้มีสตูดิโอออกแบบมาด้วยก็ค่อนข้างขยายมากขึ้น
ทำไมต้องเป็น Contemporary Art เท่านั้น
อาจจะเป็นความชอบของพวกเราที่ Farmgroup เราก็ทำงานในวงการดีไซน์วงการศิลปะมา แล้วโดนชุบเลี้ยงมาในยุคของศิลปะร่วมสมัยจริงๆ ความจริงศิลปะเราก็ชอบหมดแหละ แต่ประเทศไทย contemporary art ดูจะเป็นอะไรที่ตื่นเต้นที่สุด แล้วรู้สึกว่าคนก็อาจจะเบื่อกับศิลปะไทยเดิมหรือเปล่าเพราะเห็นกันมาบ่อยแล้ว
งาน Hotel art fair ได้กระตุ้นศิลปะเท่าที่คิดไว้หรือเปล่า
จริงๆ เราก็ไม่ได้มีอะไรวัดค่าว่าคนขายได้ดีขึ้นไหม คือหลายคนก็บอกว่าเขาขายดีขึ้นทุกปี แต่ช่วงหลังๆ เรามองว่าวงการศิลปะ ดีไซน์เนอร์ไทยเริ่มคึกคักขึ้น มีเพื่อนเราเริ่มซื้องานอาร์ตเลยมีความรู้สึกว่ามันตื่นตัวขึ้น แต่คงไม่ใช่เพราะผมคนเดียว คงหลายๆ ปัจจัยด้วย
คิดว่าทำไมศิลปะถึงมีการตื่นตัวมากขึ้น
ส่วนใหญ่จากประวัติศาสตร์โลก ศิลปะจะเกิดขึ้นจากการมีปัญหาทางการเมือง หรือการเคลื่อนไหวที่เกิดขึ้นในโลก ในประเทศผมก็คิดว่าศิลปินหลายคนใช้ศิลปะในการปลดปล่อยความรู้สึก ศิลปะมันไม่ใช่งานดีไซน์ที่ทำเพื่อคนอื่น ศิลปะทำออกมาจากตนเอง ถ้าส่วนตัวให้ผมเดา อาจเพราะ 2-3 ปีหลัง ความตึงเครียดจากเศรฐกิจและการเมืองทำให้คนผลิตงาน ทำให้ศิลปินมีเรื่องราวที่อยากจะเล่า อยากจะพูดออกมา ผมก็คิดว่าประเทศไทยอาจจะถึงจุดนั้นที่คนเริ่มกลับมาตื่นตัวผลิตงาน
แล้วก็คิดว่าเทคโนโลยี social media มันทำให้จากสมัยก่อนกว่าจะรู้จักใครสักคนต้องไปซื้อนิตยสารอ่าน แต่สมัยนี้คอนเท้นต์มันค่อนข้างเข้าถึงได้ง่ายขึ้น คนเลยเข้าถึงศิลปะมากขึ้น แล้วผมว่าศิลปะเป็นเครื่องมือที่ดีที่สุดในการขับเคลื่อนโลกของเรานอกจากการเมืองการศึกษาอะไรก็ตาม ศิลปะมันคือ universal language ผมว่าทุกคนไม่มีใครไม่ชอบศิลปะแน่ๆ
ทั้งที่เป็นสิ่งที่สามารถขับเคลื่อนวัฒนธรรมได้ แต่งานศิลปะในไทยมันดู Underrate หรือเปล่า
ก็รู้สึก แต่จริงๆ ไม่ใช่แค่ศิลปะมันรวมถึงงานดีไซน์ด้วย สถาปนิกและดีไซน์เนอร์ต่างๆ ก็รู้สึกว่าตัวเองไม่ได้รับความเป็นธรรมเหมือนประเทศที่เขาเจริญแล้วที่มีการสนับสนุนจากรัฐบาลเป็นเรื่องเป็นราว น้องๆ เด็กๆ ก็จะขี้บ่นเยอะ แต่ผมมาถึงจุดที่เลิกบ่นละ ผมคิดว่าบ่นไปมันไม่มีอะไรดีขึ้น ลงมือทำดีกว่า
ถ้าได้มางานนี้ก็จะรู้ว่าตัวเนื้อหาคอนเท้นต์ของตัวงานที่เกิดขึ้นมันมี target group เองคือผมไม่ได้ทำมาร์เก็ตติ้งหรือการพีอาร์ว่าจะเจาะกลุ่มไหนเป็นพิเศษ แต่ตัวงานศิลปะมันจะดึงดูดเฉพาะคนบางกลุ่มให้มาเอง ก็เลยยังเป็นกลุ่มที่แคบอยู่ ซึ่งเราตั้งใจจะขยายไปเรื่อยๆ เพราะศิลปะเป็นเรื่องของทุกคนแต่ก็ต้องยอมรับว่าคนที่มีเงินหน่อย หรืออะไรอย่างงี้หน่อยเพราะนั้นแหละเป็นกลุ่มที่ appreciate หรือสามารถซื้องานศิลปะในตอนนี้
การซื้อขายศิลปะในไทยเป็นไงบ้าง
เราก็ไม่รู้เรื่องกฎหมายอะไรมากมาย แต่ประเทศไทยการซื้อขายศิลปะมันยังดูเป็นสีเทาๆ มันไม่มีใครกล้าบอกตัวเลขที่แท้จริง เป็นสีเทาๆ ที่คนไม่พูดกันแต่รู้กัน ในขณะที่ต่างประเทศ ซื้อ เคลม Vat. ได้ เป็นการลงทุนเหมือนเราซื้อคอนโดได้ ประเทศไทยการซื้อขายมันคลุมเคลือ ซึ่งผมอยากทำให้มันเป็นเรื่องเป็นราวได้ซักที เพราะศิลปะเป็นการลงทุนทั้งนั้นเลย บางทีมันราคาขึ้นกว่าหุ้นอีกนะ เขาบอกว่ากระเป๋า Chanel Hermés และศิลปะเป็นอะไรที่น่าลงทุนที่สุด ไม่ใช่หุ้นหรืออสังหาริมทรัพย์แล้ว
อยากให้ Hotel Art Fair Bangkok กลายเป็นงานเทศกาลที่ยิ่งใหญ่เหมือนต่างประเทศไหม
ถ้าให้เป็นอย่าง Art Basel คงเป็นไปไม่ได้ ในเมื่อมันเป็น Hotel Art Fair Bangkok มันก็ต้องอยู่ในโรงแรมไปเรื่อยๆ แต่ทีมเราคุยกันว่าอยากทำงานในสเกลที่ใหญ่ขึ้นกว่านี้ เราวางแผนกัน แล้วคิดคอนเซ็ปต์อะไรไว้แล้ว หลังจากจบงานนี้เราก็จะเข้าไปคุยกับผู้ใหญ่หลายๆ ท่านว่าความเป็นไปได้เป็นอย่างไร
ทำ Art Fair ในไทยยากไหม
จะทำมันไม่ยากหรอก แต่หาเงินมาทำเนี่ยยาก (หัวเราะ) คืองานผมเป็นงานเล็กๆ ไม่มีใครอยากมาเป็นสปอนเซอร์ 3 ครั้งที่ผ่านมาเราควักเงินเราเอง ทำปีแรกขาดทุน ปีที่ 2 ก็ขาดทุนอยู่ ปีที่ 3 ค่อนข้าง break even (คุ้มทุน) ได้ โชคดีเราได้ ททท. มาช่วยปีนี้ ก็หวังว่าจะดีกว่า break even สักนิดหนึ่ง
ทุกคนก็อยากให้เป็นงานใหญ่ๆ แต่ผมรู้สึกว่าเราชอบทำสเกลประมาณนี้ มันทำไม่ยากถ้ามีทุนและใจรัก ในอดีตเราก็เคยมี Bangkok…bananas!! (เทศกาลศิลปวัฒนธรรมกรุงเทพฯ) หรืออาร์ตแฟร์อื่นๆ แต่ว่าเราจะไม่ค่อยเห็นมีอย่างต่อเนื่อง มันจะมีโป้งเดียวแล้วหายไป คนก็ลืมไป เราตั้งใจว่าของเราจะทำทุกปีให้ได้
ความคาดหวังต่อ Hotel Art Fair Bangkok รวมถึงโปรเจ็กต์ในอนาคต
ก็คงอยากทำแฟร์ใหญ่ๆ เจ๋งๆ ซักอันที่ทำได้ทุกปี ทำให้มีเงินเข้ามาในประเทศหมุนเวียนให้กับแกลเลอรี่ ศิลปิน ให้กับประเทศชาติ ผมว่าศิลปะไทยมันเป็นสินค้าส่งออกที่ดีพอๆ กับข้าวเลยนะ เรามีความฝันว่าอยากทำอาร์ทแฟร์ที่ฝรั่งต้องบินมา เหมือนเราบินไป Art Basel ที่ Hong Kong, Miami หรือ Switzerland แต่ที่เราคิดไว้คงไม่ใช้โมเดลนั้น จะให้ผมไปทำที่อิมแพ็คที่เมืองทองก็คงไม่มีใครไป เราก็มองในอีกรูปแบบหนึ่งแต่อยากให้สเกลใหญ่เท่านั้นคงจะดี
Art Fair สเกลใหญ่ๆ มันมีความเป็นไปได้ไหม
ก็กำลังพยายามอยู่ ผมอยากให้มันเป็นเหมือนเกาะนาโอชิมะ (ประเทศญี่ปุ่น) อยากให้มันเป็น destination คือไซส์ XL ที่แพลนไว้ ผมอยากออกต่างจังหวัด อยากปิดทั้งจังหวัดด้วยซ้ำไป ผมว่าประเทศไทยคนบินมาไม่อยากไปอิมแพ็คหรอก เขาอยากไปภูเก็ตไปเชียงใหม่ เราเอาเสน่ห์ประเทศไทยแล้วทำอาร์ตแฟร์แบบไทยๆ ตามจุดต่างๆ ดีกว่า นั้นคือโครงการที่เราวางไว้ที่กำลังจะเข้าไปคุยหลังจากงานนี้ว่ามีใครสนับสนุนหรือเปล่า เพราะถ้าอาร์ตแฟร์แบบประเทศไทยต้องเป็นอย่างนั้น
เราคงก๊อป-วางงานแบบ Art Basel ไม่ได้ เราต้องปรับให้เข้ากับประเทศเรา ซึ่งเราคิดว่าจุดเด่นคือการท่องเที่ยว นึกภาพว่าถ้าภูเก็ตทั้งเมือง 3 อาทิตย์มีทั้งงานศิลปะในน้ำ ในศาลากลางแล้วทิ้งไว้เลยนะ เหมือนเกาะอาโอชิม่าที่แบบทุกคนไปก็ต้องไปถ่ายกับสถาปัตยกรรมนู่นนี้ แล้วผมก็เปลี่ยนที่ไปเรื่อยๆ อาจจะเริ่มจากจังหวัดที่มันง่ายก่อน สักวันหนึ่งเราอาจไปสกลนครอะไรก็ได้ ให้มัน exotic ผมคิดว่าคนมาประเทศไทยน่าจะชอบความ exotic อะไรอย่างนี้หน่อย แล้วถ้าอยู่ๆ มี contemporary art ไปโผล่กลางสกลนครผมว่ามันเซ็กซี่มากเลยนะ ทำให้มันน่าไปแต่ก็เป็นโปรดักชั่นใหญ่มหากาพย์ ต้องมีหลายส่วนช่วย แต่ถ้าทำได้คงเจ๋งดี
…เราเชื่อว่าสิ่งที่ Farmgroup กำลังพูดถึงมันไม่ใช่ขายฝัน แต่มันคือการสร้างความฝัน ในโลกที่ขับเคลื่อนด้วยระบบเศรษฐกิจ ความฝันอาจเป็นเพียงหนึ่งปัจจัยสำคัญ แต่ในขณะเดียวกันสิ่งที่ขาดไม่ได้คงเป็นความพยายามและการมองเห็นความสำคัญจากคนภายนอก
“ถ้าคุณอยากทำงานดีๆให้มันเกิด เราฟาร์มกรุ๊ปก็ยินดีที่จะทำแน่ๆ เราเป็นดีไซเนอร์ เป็นศิลปิน ทำโครงการไปขอเงินไม่เป็น ถ้ามีใครอยากสนับสนุนโครงการขนาดใหญ่เรา เราก็ยินดี”
—
https://www.facebook.com/HotelArtFair
https://www.facebook.com/farmgroup
http://farmgroup.co.th
—
RECOMMENDED CONTENT
หลังจากห่างหายไปร่วม 2 ปี สำหรับสองคู่หูพี่น้อง Plastic Plastic ประกอบด้วย “เพลง ต้องตา-จิตดี (ร้องนำ,คีย์บอร์ด)” และ “ป้อง ปกป้อง-จิตดี(กีต้าร์)” วงดนตรีอินดี้ป็อปดูโอ้ จากสังกัด What the duck (วอท เดอะ ดัก) ที่สร้างสรรค์ผลงานด้านดนตรีมานานกว่า 12 ปี เจ้าของเพลงดังอย่าง “วันศุกร์” , “อยากรู้” , “Summer Hibernation” และ “ฮัม” พวกเขาได้หวนสู่วงการดนตรีอีกครั้ง พร้อมส่งเพลงฟีลกู๊ด ทำนองน่ารัก ที่ชวนทุกคนมาคลายความเหนื่อยล้าไปกับการล้มตัวลงบนหมอนสุดสบาย ในซิงเกิลใหม่ล่าสุดอย่าง “Pillow Pillow”